ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 กันยายน 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | วิถีแห่งอำนาจ |
ผู้เขียน | เสถียร จันทิมาธร |
เผยแพร่ |
การออกจากสุสานโบราณครั้งนี้ของเอี้ยก่วยและเซียวเล้งนึ่ง คือ การออกจากโลกแห่งวัยเยาว์เข้าไปสู่โลกกว้างอันมากด้วยความตื่นตา ตื่นใจ
เพียงชั่วระยะเวลาอันสั้นต่อจากนั้นได้ส่งแรงสะเทือนอย่างลึกซึ้งและกว้างขวาง
1 ได้นำไปสู่การใช้ชีวิตร่วมกันอย่างแนบแน่นระหว่างเอี๊ยก่วยกับเซียวเล้งนึ่ง แต่ก็เป็นความสัมพันธ์อันบริสุทธิ์
“จุดแดง” บนข้อแขนยังดำรงอยู่
1 ได้นำไปสู่การได้พบกันอีกครั้งระหว่างเอี้ยก่วยกับอาวเอี้ยงฮง แม้อาวเอี้ยงฮงจะเลอะๆ เลือนๆ แต่ก็เป็นความเลอะๆ เลือนๆ อย่างเป็นระบบ
1 ได้นำไปสู่การปะทะอย่างลึกซึ้งระหว่างวิชาฝีมือ 2 วิชา
เพราะว่าก่อนออกจากสุสานโบราณ เซียวเล้งนึ่งได้มีโอกาสศึกษาเคล็ดวิชาเดินลมปราณเพื่อคลายจุดจากคัมภีร์เก้าอิม แต่เมื่อได้ปะเข้ากับอาวเอี้ยงฮงนางถูกจี้สกัดจุดด้วยเคล็ดวิชาของอาวเอี้ยงฮงอันสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง
สถานการณ์ที่เซียวเล้งนึ่งถูกอาวเอี้ยงฮงสยบด้วยเคล็ดวิชาลมปราณคางคกนี้เองได้นำไปสู่สถานการณ์ใหญ่
ขอให้ศึกษาจากสำนวนแปลของ น.นพรัตน์
เซียวเล้งนึ่งล้มระทวยกับพื้นในใจทั้งขุ่นเคืองทั้งขบขัน หวนนึกถึง นางแม้ฝีมือถึงขั้นลึกล้ำจะอย่างไรขาดประสบการณ์ต่อสู้กระทั่งถูกลอบทำร้ายและจู่โจมใส่
ดังนั้น โคจรพลังลมปราณนพยมคลายจุดให้แก่ตัวเอง
สูดลมหายใจคำ 1 ทะลวงใส่จุดหลายครา หาคาดไม่ว่าจุดทั้ง 2 แห่งมิเพียงไม่มีอาการผ่อนคลาย ตรงกันข้าม ยังชาด้านกว่าเดิม สร้างความตระหนกยิ่ง
ที่แท้วิชาของอาวเอี้ยงฮงตรงกันข้ามกับคัมภีร์นพยม
นางใช้เคล็ดวิชาที่เฮ้งเต็งเอี้ยงตกทอดทิ้งไว้ทะลวงคลี่คลายคิดหมายหลุดพ้นกลับหนักหนากว่าเดิม นางทดลองอยู่หลายครั้งรู้สึกว่าตำแหน่งที่ถูกจี้ใส่ปวดอยู่แปลบปลาบ ดังนั้น ไม่กล้าทดลองอีก
หวนนึกถึงคนเสียสตินั้นพอถ่ายทอดฝีมือเสร็จสิ้นย่อมรุดมาตกตายเอง
เซียวเล้งนึ่งไม่ใส่ใจทุกเรื่องราว ยามนั้นไม่ร้อนรุ่มใจ เงยหน้ามองดูดาราบนท้องสภาอยู่ครู่หนึ่งก็พริ้มลงหลับไหล
ผ่านไปเนิ่นนานบนดวงตามีวัตถุกระทบถูก นางแม้อยู่ในยามวิกาลสามารถมองเห็นเช่นตอนกลางวัน ยามนี้กลับไม่เห็นสิ่งใด ที่แท้ 2 ตาถูกผู้คนใช้ผ้าผูกปิดไว้ จากนั้น พบว่ามีคนกางแขนโอบกอดนาง
คนผู้นี้ตอนโอบกอดแรกเริ่มหวาดหวั่นขลาดเขลา ต่อมากำเริบเสิบสานทีละน้อย จนกลายเป็นบังอาจ สร้างความตื่นตระหนกแก่เซียวเล้งนึ่งยิ่ง อ้าปากหมายส่งเสียงร้องจนใจที่ปากและลิ้นยากขยับเขยื้อน
รู้สึกว่าคนผู้นั้นใช้ริมฝีปากจูบข้างแก้มของนาง
ตอนแรกนางเข้าใจว่าเป็นอาวเอี้ยงฮงคิดขืนใจ แต่เมื่อใบหน้าคนผู้นั้นกระทบถูกนางรู้สึกว่าใบหน้านั้นเรียบลื่นต้องมิใช่อาวเอี้ยงฮงที่ไว้หนวดเครารกครึ้ม
นางบังเกิดจิตวาบหวาม ความหวาดหวั่นพรั่นพรึงค่อยผ่อนคลาย บังเกิดอารมณ์พิศวาสขึ้นแทนที่ คาดว่าเป็นเอี้ยก่วยหยอกเย้านาง รู้สึกว่า 2 มือของเขายิ่งมายิ่งไม่เรียบร้อย เปลื้องเสื้อผ้าแก้สายรัดให้แก่นางอย่างแช่มช้า เซียวเล้งนึ่งไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่าย 1 กระทำการตามอำเภอใจ
ในใจทั้งตื่นเต้นยินดี ทั้งอุธัจเอียงอาย
ตัดมาอีกฉาก 1 เมื่อเอี้ยก่วยแยกจากการฝึกวิชาฝีมือกับอาวเอี้ยงฮงกลับมายังกระท่อมมุงจาก เห็นในพุ่มไม้ดอกมีเท้าของเซียวเล้งนึ่งโผล่พ้นออกมา
กลับไม่ไหวติง คล้ายหลับไปแล้ว
เอี้ยก่วยร้องเรียก “โกว โกว” 2 คราไม่ได้ยินเสียงตอบรับจึงมุดเข้าพุ่มไม้เห็นเซียวเล้งนึ่งนอนหงายกับพื้น บนดวงตาผูกไว้ด้วยผ้าเขียวผืน 1 บังเกิดความตื่นเต้นสงสัยอยู่บ้างยื่นมือแก้ผ้าเขียวที่ผูกตาของนางออก
เห็นแววตาของนางประหลาดพิสดาร 2 ข้างแก้มแดงซ่านเต็มไปด้วยความอุธัจเอียงอาย
“โกว โกว ผู้ใดผูกผ้าผืนนั้นบนดวงตาท่าน”
เซียวเล้งนึ่งไม่ตอบคำ ดวงตาทอแววตำหนิติเตียนอยู่บ้าง เอี้ยก่วยเห็นร่างนางอ่อนระทวยคล้ายถูกผู้คนจี้สกัดจุดไว้ จึงยื่นมือฉุดดึงนางแล้วตบคลายจุดให้ หาคาดไม่ว่าขณะที่เซียวเล้งนึ่งถูกจี้สกัดจุดตลอดทั้งร่างอ่อนล้าระทวย แต่เมื่อคลายจุดให้
นางยังแอบอิงระทวยกับร่างเอี้ยก่วยคล้ายกับโครงกระดูดทั่วด้านหลอมละลายไปสิ้น
เซียวเล้งนึ่งม้วนแขนเสื้อขึ้นเผยเห็นข้อแขนที่ขาวราวเง่าบัวหิมะเห็นเป็นความขาวผ่องราวกับหยกปราศจากไฝฝ้าแม้แต่น้อย
ชาดพรหมจรรย์สีแดงสดไม่ทราบอันตรธานไปที่ใด