ฉัตรสุมาลย์ / เส้นทางสายไหม : ชมสวนองุ่นผู่เถาโกว

ยังอยู่ที่เมืองถูลู่ฟาน เมืองที่มีผู้หญิงสวยนั่นแหละค่ะ

ชื่อเมืองนี่เรียกหลายอย่างค่ะ Turfan คือ เทอร์ฟาน หรือทัวปาน แต่ในบทความนี้เรียกตามเสียงจีนกลางว่า ถูลู่ฟาน เป็นเมืองอยู่ทางตะวันออกของมณฑลซินเจียง แต่ตัวมณฑลนี้เป็นมณฑลทางตะวันตกของจีนนะคะ

ชาวพื้นเมืองส่วนใหญ่เป็นชาวอุยเกอร์ (อุยกูร์) ภาษาที่ใช้คือ เว่ยอู๋เออร์ ภาษาเฉพาะของชาวอุยเกอร์ โดยชาติพันธุ์เป็นเติร์กผสมมองโกล นับถือศาสนาอิสลาม ผู้หญิงของเขาจึงมีผ้าคลุมผมเสมอ

ถูลู่ฟานมีพื้นที่ 69,324 ตร.ก.ม. มีประชากรที่สำรวจไว้ตั้งแต่ 2003 เป็นจำนวน 570,000 คน น้อยกว่าภูฐานนิดหน่อย

คราวนี้ไปชมสวนองุ่น แต่ไม่ใช่เวลาเก็บองุ่น แม้กระนั้น ก็ได้เห็นการทำงานของชาวอุยเกอร์ (อุยกูร์) ผู้หญิงเป็นแรงงานสำคัญในการเก็บองุ่น และตากองุ่นในห้องตากองุ่นที่เรียกว่า เหลี่ยวฟาง เป็นห้องสี่เหลี่ยม ผนังห้องวางก้อนอิฐสลับกันให้เกิดช่องว่างตลอดแนวค่ะ (ดูรูป) ตอนที่เอามาแขวน ก็แขวนองุ่นทั้งพวงบนไม้ที่มีแกนเป็นหลักลงมาจากหลังคา ที่องุ่นที่นี่เป็นที่นิยมมากเพาะปลูกแบบธรรมชาติ ไม่ฉีดยา ไม่ใช้ปุ๋ย อาศัยธรรมชาติเป็นหลัก

จุดนี้เราได้ลิ้มรสแตงฮามี่ที่มีชื่อเสียง คือแคนตาลูป ผลขนาดที่บ้านเราแต่หวานจริงๆ ค่ะ กับสภาพอากาศที่เป็นทะเลทราย ชื่นใจมากๆ

ไม่ได้องุ่นสด เพราะเรามานอกฤดูกาล แต่ก็เพื่อให้ขึ้นชื่อว่าเรามาถึงถูลู่ฟาน พวกเราหลายคนก็ซื้อองุ่นแห้งกลับไปหลายกิโลอยู่

 

จากนั้น หลังอาหารกลางวันที่ได้ชื่นชมแตงฮามี่แล้ว เราไปชมเมืองโบราณ เจียวเหอกู่เฉิน เป็นเมืองโบราณที่สร้างด้วยดินที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีอายุกว่า 2,000 ปีในพื้นที่ 47,000 ตารางเมตร ในเมืองโบราณนี้ มีประชากร 2,000 คน เป็นพระเสีย 1,400 รูป เนื่องจากมีแม่น้ำโอบล้อมสองข้าง ทำให้เมืองนี้มีลักษณะเป็นเกาะไปโดยปริยาย

มีความมั่งคงในด้านความปลอดภัย คนนอกจะเข้ามาตีลำบากเพราะตลิ่งสูงถึง 15 เมตร

ที่น่าสนใจ ภายในพื้นที่ดังกล่าว มีส่วนที่แบ่งเป็นเขตวัด เขตราชการ และเขตที่อยู่ของประชาชนทั่วไป สิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่สร้างสมัยราชวงศ์ถัง รัฐบาลรักษาเมืองโบราณนี้ไว้อย่างดี

เปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ แต่ทำทางไว้เป็นไม้ กันเขตเพื่อมิให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสร้างความเสียหาย

ทิวทัศน์ที่นี่น่าสนใจ คณะเราค่อยๆ เดินเข้าไป รถเข็นก็เข็นไปไกลที่สุดที่ทางจะอำนวย จากนั้น ก็ลงเดินไปตามทางที่ทำไว้อย่างดี มีราวให้เกาะเพื่อความปลอดภัย

คณะเราได้ถ่ายรูปลักษณะบ้านดินที่น่าอัศจรรย์ว่ายังมีเหลืออยู่ทั้งชั้นล่างและชั้นบน

จากนั้น เราไปชมมินาเร็ตซูกงถ่า ในรายการเรียกว่า เจดีย์ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นศาสนาพุทธ แต่จริงๆ เป็นมินาเร็ต จุดนี้อยู่ห่างจากเมืองถูลู่ฟานมา 2 กิโลเมตรเท่านั้นเอง

ดอกไม้ โดยเฉพาะดอกกุหลาบในสวนด้านหน้า งดงามหลากหลาย พวกเราหลายคนเลยหลงเพลินอยู่ในดงกุหลาบ

ทางขึ้นเป็นบันไดหลายขั้น ท่านธัมมนันทาเลือกที่จะนั่งรอบนรถเข็น มีสาวๆ ชาวอุยเกอร์เดินลงมา ถ้าไม่บอกจะนึกว่าเป็นสาวรัสเซีย แต่งตัวดีใส่โค้ต รองเท้าส้นสูง ทาปากแดง พอเห็นท่านธัมมนันทารออยู่ข้างล่าง ก็ทำท่าทางบอกว่าสามารถขึ้นไปที่สุเหร่าข้างบนได้ เรียกว่ามีใจคอโอบอ้อมอารีกับคนต่างศาสนา

ท่านธัมมนันทาค่อนข้างเคร่งครัดกับการที่จะเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอื่นโดยเฉพาะศาสนาอิสลาม เพราะอาจจะสร้างความเข้าใจผิด หรือความไม่พอใจได้ง่ายๆ

 

ลักษณะที่เรียกว่ามินาเร็ตนี้ เหมือนหอคอย มีองค์เดียวสูง 44 เมตร มีฐานรอบด้านละ 10 เมตร สร้างประมาณ ค.ศ.1777 เพื่อแสดงความขอบคุณต่อนายพลเอ๋อหมิ่นโฮจา ทหารชาวเมืองถูลู่ฟาน

ความงามของหอคอยนี้ คือ การเรียงอิฐสีแดงทราย เป็นลวดลายเรขาคณิตมากกว่า 15 ลาย ทั้งลายดอกไม้ รูปคลื่น ฯลฯ ไม่เคยเห็นลวดลายเช่นนี้ ที่อยู่ในสถาปัตยกรรมอันเดียวกันมาก่อน

ร้านขายของที่อยู่ด้านหน้า ทั้งๆ ที่ขายอยู่หน้าสุเหร่าของศาสนาอิสลาม มีขายทั้งพระพุทธรูปและภาชนะที่ใช้ในการทำพิธีของพุทธศาสนามหายาน

การนับถือศาสนาอิสลามของชาวพื้นเมืองที่นี่ ค่อนข้างจะกลายไปเยอะ เช่น การถือศีลอดในเดือนรอมฎอน เรารู้จักกันว่า ชาวมุสลิมจะถือทั้งเดือน โดยจะไม่รับประทานอาหารหรือน้ำตลอดวัน จะกินได้เมื่อพระอาทิตย์ตกแล้ว แต่ที่นั่น เขาจะเลือกถือวันใดก็ได้ ตามความสะดวก คือ ถือเดือนนี้ 3 วัน ไปบวกกับเดือนโน้นอีก 5 วัน ก็ไม่ว่ากัน แต่ขอให้ครบเดือนในหนึ่งปี

ส่วนภรรยาที่เราเคยทราบว่า พระคัมภีร์อนุญาตไว้ 4 คน แต่ต้องดูแลนางได้อย่างเสมอภาคกันนั้น ที่นั่น เขาให้มีได้ 5 คน เราร้อง “เรอะ” ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่การปฏิบัติทางศาสนานั้นก็จะผันแปรไปตามถิ่น

รัฐเข้ามามีบทบาทมากเหมือนกัน ในการบังคับให้พลเมืองในประเทศจีนทุกคนต้องเรียนภาษาจีน ทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน ชาวอุยเกอร์มีภาษาของตนเอง แต่กลายเป็นว่า บ้านใดสามารถรักษาไว้มากน้อยเพียงใดเป็นเรื่องส่วนตัว ที่สำคัญจะไปโยงกับศาสนาเพราะชาวมุสลิมอุยเกอร์ก็ยังต้องไปสุเหร่า และการสวดในสุเหร่าก็ต้องเป็นภาษาอาหรับ

ทิ้งปัญหาให้เราขบคิดต่อ

 

จากถูลู่ฟานเราเดินทางโดยรถทัวร์ขึ้นตะวันตกเฉียงเหนือไปอีก 190 ก.ม. ไปสิ้นสุดที่เมืองสุดท้ายของเราในทริปนี้ คือเมืองอุรุมฉี หรือออกเสียงแบบจีนกลางว่า อูลูมูฉี

ศัพท์เดิมเป็นภาษามองโกลค่ะ แปลว่าทุ่งหญ้าที่งดงาม

เฉพาะชื่อเมืองก็เป็นสิริมงคลนะคะ เมื่อเราคิดว่าตลอดทางที่เราผ่านมาล้วนเป็นทะเลทรายที่เวิ้งว้างกว้างใหญ่

อูลูมูฉี คือเมืองเดียวกับที่บางครั้งเขียนในแผนที่ว่า Urumqi แทบจะเดาไม่ออกเลย

เป็นเมืองเอกของเขตปกครองตนเองซินเจียง ตั้งอยู่แถบเทือกเขาเทียนซานที่มีความสูง 900 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

นอกจากภูเขาเทียนซานแล้วก็มีภูเขาอาเอ่อไทซาน และคุนหลุนซาน จากเหนือมาใต้ มีแม่น้ำถ่าหลีหมู่ไหลผ่าน เป็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุด

แต่แม่น้ำนี้อยู่ภายใน ไม่มีทางออกทะเล มีทะเลสาบบ่อเซิงเถิง เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ในขณะที่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย ทากลามากัน หรือที่ออกเสียงจีนว่า ถ่าเค่อลาหม่ากัน อูลูมูฉี มีพื้นที่ถึง 14.577 ตร.ก.ม.

ในสมัยถัง อูลูมูฉีเป็นเมืองสำคัญที่เชื่อมการเดินทางระหว่างตะวันตกและตะวันออก เป็นศูนย์กลางที่จีนสามารถเปิดไปสู่ตะวันออกกลางและยุโรป และเป็นจุดสำคัญอย่างยิ่งของเส้นทางสายไหม

ในสมัยของกษัตริย์เฉียนหลง แห่งราชวงศ์ชิง ศตวรรษที่ 19 ยกให้เมืองอูลูมูฉีเป็นเมืองหน้าด่านทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

ด้วยลักษณะภูมิประเทศเช่นนี้เองที่ทำให้เป็นเมืองที่มีชาติพันธ์ต่างๆ ถึง 49 กลุ่ม

ภูเขาเทียนซาน ซึ่งเป็นหนึ่งในภูเขาหลักของอูลูมูฉี เรียกว่า เป็นภูเขาแห่งสวรรค์

เมื่อเราได้มีโอกาสไปชมความงาม ก็ถึงบางอ้อ ว่า น่าจะเรียกเช่นนั้น

คราวหน้าเราจะไปขึ้นเขาเทียนซานค่ะ ทัวร์ตั้งใจให้เราไปจบทริปของเราที่นั่น ไม่ผิดหวังค่ะ