ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 กันยายน 2559 |
---|---|
เผยแพร่ |
ไปพนมเปน หรือพนมเพญ หรือพนมเพ็ญ เมืองหลวงประเทศกัมพูชา ระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม-3 กันยายน สองคืนสามวัน สัมผัสบรรยากาศเมืองเขมรได้กำลังดี
สิ่งแรกรู้สึกได้ก็คือ รถติดสาหัสแบบกรุงเทพฯ บ้านเรา ดีกว่าหน่อยตรงที่ไม่ติดเหนอะหนะหนึบนานเหมือนบ้านเรา ของเขาค่อยขยับขยุกขยิกไปได้เรื่อยๆ
มีโอกาสได้พบท่านเอกอัครราชทูตไทย คือ ท่านณัฏฐวุฒิ โพธิสาโร ที่สถานทูตไทยในกรุงพนมเพ็ญด้วย ท่านว่า กรุงพนมเพ็ญวันนี้มีประชากรจำเพาะเขตเมืองหลวงและเขตเมืองรอบๆ รวมแล้วราวสามล้านคนได้
ย่านสถานทูตนานาชาติรวมทั้งไทยเราอยู่บริเวณใกล้ๆ บนถนนสายยาวเดียวกันนี้กระจายรายรอบทั้งสถานที่สำคัญของราชการ ลานอนุสาวรีย์ ตึกรามห้างร้าน อาคารเก่า และอาคารที่จะสร้างใหม่หนาแน่น
ดูแล้วเหมือนว่าพนมเพ็ญกำลังผลัดชุดแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่จากโจงกระเบนมาใส่สูทสากล ว่างั้นเถิด
ถนนสายหนึ่งสองฟากให้ภาพ “ฉากทัศน์” (SCENARIO) ที่กำลังก่อสร้างว่าจะเนรมิตเป็นดั่งย่านชอง เอลิเซ แบบปารีส และอีกหลายถนนก็กำลังเสกให้เป็นย่านดังๆ ในโลก
เรียกว่าต่อไปมาเยี่ยมพนมเพ็ญก็ไม่ต้องไปเยือนยุโรปแล้ว เอาว่าประมาณนั้นละกัน
เครื่องทรงใหม่ของพนมเพ็ญที่กำลังวัดตัวตัดอยู่นี้เกิดจากความร่วมมือร่วมทุนของหลากหลายเจ้ามือทั้งจากเจ้าภาพและนานาชาติ
แน่นอน ตั้วเฮียจีนแหละเด่นสุด
อาหารแทบทุกชาติก็ดูจะประดังอยู่ที่นี่ ทั้งอิตาลี ฝรั่งเศส มะกัน ไทย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น อาหารเขมรเองยังคงเอกลักษณ์อยู่ไม่แพ้กันนั้นคือ รสจืดๆ นัวๆ แบบแกงชาววังไทยๆ ออกรส “ผู้ดี” ประมาณนั้น
เสน่ห์ของพนมเพ็ญยามราตรีอยู่ย่านริมฝั่งโขงที่ฟากถนนดารดาษด้วย ร้านหรูฟากฝั่งน้ำมีภัตตาคารริมน้ำ ชมความมลังเมลืองของน่านน้ำยามราตรีและผู้คนขวักไขว่ค้าขายย่านริมโขง
เขามีเรือพักแรมล่องน้ำโขงจากเขมรสู่เวียดนาม แวะพักตามที่ต่างๆ เช่น ริมฝั่งพนมเพ็ญนี้แล้วไปสู่เวียดนามได้เลย
นํ้าโขงนี้กำเนิดจากทางเหนือของจีนคือทิเบต ผ่านพม่า ลาว ไทย เขมร ไปออกทะเลที่เวียดนาม
ปากน้ำโขงที่เวียดนามนี้มีชื่อเวียดนามว่า “กู๋ลองยาง” แปลว่า “มังกรเก้าสาย” คือ น้ำโขงจะแปรเป็นแม่น้ำใหญ่น้อยถึงเก้าสายไหลสู่ทะเลจีนใต้หรือมหาสมุทรฟากตะวันออก
น้ำโขงนั้นเริ่มจากแผ่นดินจีนก็ได้ชื่อเป็นมังกรใหญ่ ผ่านลาว เขมร ไทย ได้ชื่อเป็นพญานาค ดังตำนานศรีสัตนาคนหุต ซึ่งแปลว่าล้านช้างนั้น
ในเขมรหรือกัมพูชาเองก็มีตำนานเรื่องพระทอง-นางนาค ดังเป็นชื่อเพลงไทยร่วมเพลงเขมรชื่อเดียวกันนี้
ครั้นน้ำโขงเข้าสู่เวียดนามก็กลับเป็นมังกรอีก ดังเรียกปากน้ำว่ามังกรเก้าสาย ดั่งเก้าหัวนั่น
นํ้าโขงช่วงลาวจะเข้าเขมรนั้นกว้างใหญ่ไพศาลนักนั่งเรือจากเกาะดอนโขงซึ่งเป็นเกาะใหญ่เท่าเกาะลันตาที่กระบี่อยู่กลางน้ำโขงนั้นผ่านน่านน้ำที่เรียกสี่พันดอน ไปสุดทางที่หลี่ผี อันเป็นแก่งหินกว้างปานเขื่อนขวางกลางโขงให้น้ำตกโจนลงไป ซึ่งต่อจากนี้จึงเข้าเขตเขมร
จำเพาะความกว้างจากแก่งหลี่ผีถึงน้ำตกคอนพะเพ็ง ทางบกอีกฟากหนึ่งนั้นว่ายาวถึงสิบเอ็ดกิโลเมตร
นี่คือขนาดความกว้างของน้ำโขงส่วนนี้ซึ่งเปรียบไปก็คือส่วนคอนาคที่กำลังจะแผ่พังพานกลายเป็นมังกรเก้าหัวยังแผ่นดินเวียดนามนี่เอง
นํ้าโขงตรงพนมเพ็ญจึงเป็นส่วนของคอมหาพญานาคกำลังจะกลายเป็นพญามังกรโผนจากแผ่นปฐพีสู่แผ่นฟ้ามหาสมุทรต่อไปโพ้น
แลเป็นดั่งวงวัฏแห่งฟ้าดินคล้องพวงพเยียคือดอกไม้ให้มหานครพนมเพ็ญ
อ่าน “ถกเขมร” ของอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แล้วจะเห็นภาพคณะชาวสยามรัฐยุคนั้นนั่งรถสามล้อที่มีกระบะคนนั่งห้อยอยู่หน้า คนถีบคร่อมอานด้านหลัง ถีบไปก็สะบัดหน้าถุยน้ำลายได้ทั้งซ้ายขวาตามการ์ตูนของ ประยูร จรรยาวงษ์ ดูสนุกดี
วันนี้ก็ยังเห็นสามล้อถีบขบวนนั้นอยู่ กับที่พัฒนาเป็นรถเครื่องแบบตุ๊กตุ๊กบ้านเรา
หากส่วนที่นั่งออกโอ่โถงเป็นซุ้มเป็นวอวิลิศมาหรากึ่งสกายแล็บฝั่งโขงบ้านเรานั่น นับเป็นพัฒนาการใหม่
นอกนั้นก็คือสารพัดยานยนต์ตั้งแต่รถเครื่องคือมอเตอร์ไซค์ซึ่งดูจะมีมากสุด กับรถเมล์ที่ยังงุ่มง่ามอยู่ตามถนนอันคับคั่งอยู่ด้วยรถยนต์รุ่นใหม่หรูลานตา
คํา พนมเพ็ญ นี้ เขียนตามตำนานเก่าของวัดเขาพนม ว่า นางเพ็ญเป็นศรัทธาผู้สร้างวัด นำพระพุทธรูปห้าองค์มาสถิตยังดอยวัดนี้จึงชื่อว่าวัดพนม
พนม แปลว่า ภูเขา
เพ็ญ แปลว่า เต็ม
นับเป็นภูมินามตั้งขึ้นตามกำเนิดต้นเหง้าเค้าเรื่อง
และว่า เมื่อสถาปนาที่ตรงนี้เป็นเมืองหลวงจึงได้นามจากวัดนี้เป็นปฐมชื่อว่า พนมเพ็ญ
ดังนี้แล
นครวัด
0 เสียดซอนซ้อนพุ่มพนมปรางค์
ปราสาทศิลาสล้างสลักเสลา
สลัดเหลี่ยมซ้อนเหลี่ยมสลัดเงา
เมฆเคล้าฟ้าครามอร่ามองค์
ละองค์ลออ ชะลอเลื่อน
คล้อยเคลื่อนจักรวาลปานเหมหงส์
สูงสุเมรุปรมัตถ์อันหยัดยง
ให้ยืนอยู่คู่คงชั่วฟ้าดิน
เอกอัปสรอ่อนซ้อนก็ฟ้อนร่าย
ผกามาศดาดรายละลายหิน
พยุหแสนยาย่ำธรณิน
อันรวยรินเริงเจรียงแจรงศิลา
ฝากฝีมือ ฝากสมัย ฝากใจมนุษย์
ฝากต่ำสุดสูงสุดให้ศึกษา
เสกรัตนคีรีปลุกชีวา
อัปสราอังกอร์นครวัด