วงค์ ตาวัน : คดีครูจอมทรัพย์ 2

วงค์ ตาวัน

ทุกวันที่ 1 และ 16 ของแต่ละเดือน เป็นวันแห่งความหวังของผู้คนในสังคมไทย ตั้งแต่คนยากคนจนที่ขาดโอกาสในการมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ไปจนถึงคนที่พอมีพอกินแล้ว แต่อยากรวยในพริบตา เรียกว่ามากมายหลายชนชั้น ที่เฝ้ารอลุ้นการออกผลรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล

ก่อนจะถึงวันออกรางวัลลอตเตอรี่ไม่กี่วัน จะเต็มไปด้วยบรรยากาศการแห่แหนไปขอหวยขอเลขเด็ด ไปไหว้พระไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จุดธูปกราบสิงสาราสัตว์ที่มีรูปร่างแปลกประหลาด รวมทั้งไปถูไปขัดต้นไม้ หรือสิ่งของที่ร่ำลือกันในทางไสยศาสตร์

พอถึงวันหวยออก ก็เฝ้ารอฟังการออกเลขใจจดจ่อ ตั้งแต่ยุคถ่ายทอดเสียงทางวิทยุ และใบตรวจหวยเรียงเบอร์ ที่วิ่งขายตามแยกไฟแดง ในหน้าหนังสือพิมพ์กรอบพิเศษตอนเย็น

มาจนถึงยุคดิจิตอล ดูผ่านออนไลน์ ยันไลฟ์สดในเฟซบุ๊ก

“จึงไม่น่าแปลกใจที่คดีลอตเตอรี่อลเวง 30 ล้าน จะครองความสนใจของคนไทยทั้งประเทศ!”

ทั้งสนใจในหมู่นักเล่นหวย-ลอตเตอรี่ ไปจนถึงคนที่ไม่ชอบซื้อ แต่อยากจะรู้ว่า แล้วใครกันแน่คือเจ้าของ ใครกันแน่ที่โกหก

จนล่าสุดได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในระดับหนึ่ง โดยการสืบสวนสอบสวนของกองปราบและกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เป็นผู้สรุปผลแถลงข่าวใหญ่เอง

“เป็นอันว่า “หมวดจรูญ” เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 มูลค่า 30 ล้าน”

ส่วนครูปรีชา ใคร่ครวญ ซึ่งเป็นคู่ชิงกรรมสิทธิ์ที่สูสีกันมาตลอด รูปคดีพลิกไปพลิกมา กับเจ๊บ้าบิ่น แม่ค้าลอตเตอรี่ที่เป็นพยานเอกของครูปรีชา

“โดนดำเนินคดีทั้งคู่ ทั้งครูและเจ๊ ในความผิดแจ้งความเท็จ ให้การเท็จ และกระทำการกลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษ”

ทั้งยังจะมีผู้ถูกดำเนินคดีเพิ่มเติมอีก ไม่ว่าจะเป็นตำรวจท้องที่กาญจนบุรีชุดทำคดีชุดแรก ที่มีส่วนพัวพันขบวนการนี้ และพยานบางรายในกลุ่มนี้

เป็นไปดังที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์บอกใบ้เอาไว้ตั้งแต่ต้นว่า คดีนี้อาจจะคล้ายกับคดีครูจอมทรัพย์

น่าจะหมายความว่า เป็นขบวนการปั้นพยานเท็จมาให้การเป็นตุเป็นตะ สุดท้ายก็โดนจับกุมแบบยกโขยง

การจับเท็จคดีครูจอมทรัพย์ 2 นี้ เริ่มต้นจากการพบหลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จากนั้น พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. ได้นำเรื่องเข้าหารือกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ถึงพยานหลักฐานใหม่ ที่ไม่เป็นไปตามรูปคดีที่ขณะนั้นตำรวจภูธรภาค 7 กำลังดำเนินการสืบสวนสอบสวน

เมื่อได้หลักฐานที่เป็นวิยาศาสตร์ พิสูจน์ได้ชัดเจนกว่า เชื่อถือได้มากกว่าการให้ปากคำของพยานบุคคล

พล.ต.อ.จักรทิพย์ จึงสั่งโอนคดีจากตำรวจท้องที่กาญจนบุรี มาให้กองปราบฯ และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นผู้สืบสวนสอบสวนแทน

พยานหลักฐานเด็ดอันนี้ ก็คือ หน่วยงานที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของ บช.ก. ได้เข้าตรวจสอบไฟล์เสียงในโทรศัพท์มือถือของคนที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์

“เนื่องจากมือถือบางระบบนั้น จะมีการบันทึกเสียงสนทนาทุกครั้งโดยอัตโนมัติ สามารถตรวจสอบไฟล์เสียงย้อนหลังมาฟังได้”

แล้วก็พบว่าบทสนทนาทางโทรศัพท์มือถือ ปรากฏเสียงเจ๊บ้าบิ่น แม่ค้าลอตเอตรี่ กับครูปรีชา ลูกค้าขาประจำ ในเย็นวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 หลังจากที่การออกเลขรางวัลประจำงวดนั้นเสร็จสิ้นแล้ว

“เสียงการพูดคุยบอกชัดว่า ครูปรีชาไม่ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 ในงวดนั้น!?!”

การตรวจสอบเสียงสนทนาทางโทรศัพท์อีกหลายๆ วัน ทำให้เห็นกระบวนการที่นำมาสู่การอ้างว่าครูปรีชาเป็นเจ้าของลอตเตอรี่และทำตก แล้วลุงจรูญเป็นผู้เก็บไป รวมทั้งพยานที่แห่กันเข้ามาร่วมยืนยัน

นอกจากนี้ ในคำให้การของครูปรีชากับเจ๊บ้าบิ่น เรื่องวันเวลาที่ซื้อลอตเตอรี่ที่เป็นปัญหานี้ เมื่อตรวจสอบกับหลักฐานที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์พบว่าไม่ตรงกัน โดยมีร่องรอยหลายอย่าง เช่น การไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม

ไปจนถึงพยานแวดล้อมอื่นๆ ที่ช่วยกันยืนยันว่าครูปรีชาเป็นเจ้าของตัวจริง บางปากก็อ้างว่าเห็นลุงจรูญก้มเก็บ

เมื่อกองปราบฯ เข้าสอบปากคำอีกครั้งก็พบว่า พยานเหล่านี้ ไม่ได้พบเห็นอะไรที่หนักแน่นขนาดนั้น เป็นคำให้การที่ถูกรวบรัดชี้นำ

“ยิ่งเมื่อสอบเจ้าหน้าที่ตำรวจกาญจนบุรีชุดทำคดี ในบางรายระบุว่า มีนายตำรวจผู้ใหญ่ในพื้นที่เข้ามาชี้นำรูปคดีอย่างผิดปกติ”

เมื่อพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ กลายเป็นเครื่องตรวจจับว่าคำให้การและคำกล่าวอ้างของฝ่ายครูปรีชากับเจ๊บ้าบิ่นนั้น ไม่ตรงกัน เข้าข่ายการให้การเท็จ

“จึงถูกดำเนินคดี!”

ในส่วนของหมวดจรูญคู่กรณีนั้น มีการตรวจสอบพยานหลักฐาน ไม่ปรากฏพบเรื่องคำให้การเท็จ

อีกทั้งมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ชี้เอาไว้แล้วเป็นแนวทาง เทียบเคียงได้ว่า กรรมสิทธิ์อันชอบธรรมต้องเป็นของหมวดจรูญ ซึ่งเป็นผู้ทื่ถือลอตเตอรี่ไปขึ้นเงินที่กองสลาก

แถมการแจ้งความของฝ่ายที่อ้างว่าทำตกหาย ก็แจ้งภายหลังวันที่ผลรางวัลออกมาแล้ว

จึงนำมาสู่บทสรุปของคดีอาญาในส่วนของตำรวจ ลงเอยหมวดจรูญเป็นฝ่ายเฮ ส่วนครูปรีชา เจ๊บ้าบิ่น กับพวก ต้องตกเป็นผู้ต้องหา

คดีที่ยืดเยื้อมา 4 เดือน มาถึงบทสรุปในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ตามที่ตำรวจขีดเส้นเอาไว้ว่า จะต้องจบและแถลงให้ประชาชนทั้งประเทศที่เฝ้ารอคอยอย่างใจจดจ่อ ได้รับทราบ หมดสิ้นความสงสัยกันเสียที

การแถลงข่าวของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัดเจนในระดับหนึ่ง คือ ชี้ว่าครูปรีชาและเจ๊บ้าบิ่น ถูกหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มัด จนต้องดำเนินคดี

แต่เนื่องจากกรณีลอตเตอรี่ 30 ล้านนี้ มีการไปฟ้องร้องที่ศาลแพ่งเอาไว้อีกคดี ทำให้ตำรวจระมัดระวังไม่ก้าวล่วงคดีในศาล

ขณะเดียวกัน การแถลงข่าวของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ก็ต้องรัดกุม ไม่เปิดทุกสิ่งทุกอย่าง จนเป็นการเปิดรายละเอียดสำนวน เปิดพยานหลักฐาน ให้ฝ่ายผู้ถูกดำเนินคดีได้รู้หมดไส้หมดพุง นำไปสู่ความเพลี่ยงพล้ำ เมื่อคดีนี้เข้าสู่ชั้นศาล

“นั่นเพราะถ้าเป็นนายตำรวจที่ผ่านการทำคดี ทำงานด้านสืบสวนสอบสวนมาตลอด รู้ดีว่า การแถลงผลคดีทุกครั้ง จะต้องระวังเช่นไร!”

ขณะที่นายตำรวจใหญ่บางราย และในบางคดี ไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานด้านสืบสวนสอบสวน จึงไม่เข้าใจว่า การให้สัมภาษณ์อย่างเปิดเผยเกี่ยวกับคดีนั้น จะมีผลให้ทนายและฝ่ายผู้ถูกจับกุม นำไปใช้อ้างอิงเพื่อเป็นประโยชน์ในการต่อสู้คดีได้

“เมื่อได้โอกาสแถลงข่าว ก็จะอวดว่าตัวเองรู้มาก เลยบอกเล่าทุกสิ่งทุกอย่างหมดสิ้น ทำให้เกิดผลกระทบในการต่อสู้คดีจากนั้น”

ในยุคก่อนเก่า ที่ข่าวโทรทัศน์ยังไม่มีบทบาทอะไร เสนอข่าวเรียบๆ เน้นข่าวราชการ ไม่มีไมค์และกล้องทีวีคอยมาจ่อเพื่อขอสัมภาษณ์ ในยุคดังกล่าวนั้น จึงไม่ค่อยมีนายตำรวจใหญ่นักจ้อ พร้อมจะให้สัมภาษณ์เพื่อให้ตนเองออกสื่อเพื่อความโด่งดัง

การเสนอข่าวคดีดังๆ ส่วนใหญ่เป็นเฉพาะนักข่าวหนังสือพิมพ์เท่านั้น การให้สัมภาษณ์จึงไม่ยุ่งยาก

หรือให้สัมภาษณ์เท่าที่จำเป็น ส่วนเบื้องหลังเบื้องลึก ก็เป็นหน้าที่ของนักข่าว ในการเจาะจากแหล่งข่าวเอาเอง และเมื่อนำไปเสนอเป็นข่าว ก็ไม่ได้ผูกมัดว่านายตำรวจคนไหนเป็นผู้ให้ข่าว

“ฝ่ายจำเลย ไม่สามารถนำไปอ้างอิงใช้ต่อสู้คดีในภายหลังได้”

จนมายุคหลังที่ไมค์ทีวี ไมค์ข่าววิทยุ ไปจนถึงการถ่ายสดทางสื่อออนไลน์เต็มพรึบ ทำให้นายตำรวจใหญ่บางคนเผลอจ้อเพื่อความโด่งดังและขาดประสบการณ์ว่าจะมีผลต่อกระบวนการดำเนินคดี

การแถลงข่าวคดีลอตเตอรี่ 30 ล้านของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ เป็นตัวอย่างของการให้ข่าวที่รอบคอบรัดกุม

แม้จะทำให้แฟนๆ ที่เฝ้ารอลุ้นการแถลงข่าวนั้น ไม่สะอกสะใจเท่าใดนัก!