นงนุช สิงหเดชะ/ฝันที่(ยาก)เป็นจริง? ของ ‘สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์’

นงนุช สิงหเดชะ

ฝันที่(ยาก)เป็นจริง?

ของ ‘สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์’

นับจากถูกรัฐประหารสองครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินข้อเสนอและแนวคิดที่สร้างสรรค์จากคนในพรรคของคุณทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะในชื่อพรรคดั้งเดิมคือไทยรักไทย และปัจจุบัน “เพื่อไทย”
ที่ผ่านมาเสียงที่ดังออกมาจากคนในพรรคคุณทักษิณและคนเสื้อแดงมักจะไม่หันมองเข้ามาภายในตัวเองว่าเกิดข้อผิดพลาดอะไร จึงทำให้เกิดการลุกฮือต่อต้านของประชาชนจำนวนมาก เพราะอะไรแม้จะชนะเลือกตั้งถล่มทลาย แต่กลับไม่สามารถบริหารประเทศไปได้อย่างราบรื่น
พวกเขาเอาแต่โทษว่าเป็นเพราะอำมาตย์ พวกอำมาตย์อิจฉาที่ประชาชนรักคุณทักษิณมากกว่า
ทึกทักมโนเอาเองว่าพวกคนชั้นกลางไม่เห็นใจคนยากคนจน พวกคนชั้นกลางเป็นขี้ข้าอำมาตย์และเผด็จการ
เสร็จแล้วทั้งพรรคคุณทักษิณและมวลชนก็ประกาศเป็นศัตรูกับคนที่เหลือทั้งประเทศที่ไม่ได้เลือกพรรคตัวเอง
พวกเขาตำหนิและโทษคนอื่นทุกเรื่อง แต่ไม่เคยตำหนิตัวเอง
หรือบางครั้งรู้ทุกอย่างอยู่แก่ใจ แต่ก็ทำเป็นเฉไฉกลบเกลื่อน พยายามไม่พูดถึงจุดเสียของตัวเองที่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา
เมื่อชุดความคิดเป็นเช่นนั้นแล้ว จุดยืนเดียวที่ตามมาก็คือการพร่ำเพ้อแต่เรื่องเลือกตั้ง เรื่องประชาธิปไตย เรื่องการคืนอำนาจให้ประชาชน (ที่เลือกพรรคคุณทักษิณ)

หากไม่มีคนอย่างคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ กล้าออกมาพูดในสิ่งที่ต่างออกไปจากบริวารทุกรายของคุณทักษิณ กล้าวิจารณ์และตำหนิจุดด้อยของพรรคตัวเอง และเสนอพิมพ์เขียวที่จะนำประเทศออกจากหล่มแล้วละก็ เชื่อว่าจากนี้จนถึงวันเลือกตั้ง คนอีกจำนวนมาก (ซึ่งไม่ใช่กลุ่มที่ยึดติดกับพรรคนี้) ก็ยังหวาดระแวงและเครียดหากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งและได้เข้ามาบริหารประเทศอีก เพราะมีแนวโน้มที่พรรคเพื่อไทยจะชนะ
แต่เมื่อได้ยินแนวคิดของคุณหญิงสุดารัตน์แล้ว หากทำได้จริงประเทศชาติยังพอมีความหวังและเห็นทางออก และเชื่อว่าประชาชนจำนวนไม่น้อยจะสบายใจขึ้น ไม่เครียดแม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้ง
ที่ว่าข้อเสนอหรือพิมพ์เขียวของคุณหญิงสุดารัตน์น่าสนใจก็เพราะเน้นไปที่การแก้ปัญหาตัวเองก่อนตามหลักพุทธ เธอบอกว่าพิมพ์เขียวที่จะเสนอพรรคเพื่อให้แก้ปัญหาประเทศออกจากหล่มได้ก็คือ
1. พรรคเพื่อไทยต้องยืนหยัดในหน้าที่ที่มีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เคารพสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
2. ต้องหาทางแก้วิกฤตความขัดแย้งโดยเลือกวิธีที่สามารถทำให้มั่นใจได้ว่าถ้าเลือกพรรคเพื่อไทยแล้วจะไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งวุ่นวายในบ้านเมืองอีก ต้องใช้วิธีสันติ ต้องปรับท่าทีตรงนี้ให้ชัด ปัญหาของพรรคเพื่อไทยไม่ได้อยู่ที่จะไม่ชนะเลือกตั้ง แต่ปัญหาอยู่ที่เมื่อชนะเลือกตั้งแล้วจะทำอย่างไรให้สามารถทำงานกับประชาชนได้อย่างยั่งยืน
ข้อ 3. ต้องคิดถึงประชาชนก่อนตัวเราเอง ดังนั้น แทนที่เราจะมาคุยเรื่องอื่น เราต้องคิดค้นนโยบายแก้ปัญหาให้ประชาชน อะไรในอดีตที่เราทำแล้วประชาชนไม่สบายใจเราต้องไม่ทำ
นับว่าข้อเสนอของคุณหญิงสุดารัตน์กล้าหาญ ซึ่งไม่เคยได้ยินจากปากจากคนระดับคีย์แมนอื่นๆ ในพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะคนเดือนตุลาฯ บางคนที่ชอบแสดงออก แอ๊กอาร์ตว่าตัวเองมีอุดมการณ์แรงกล้า ชอบพูดพร่ำเพรื่อเรื่องประชาธิปไตยและอำนาจประชาชน แต่กลับไม่มีความสามารถที่จะมองเห็นปัญหาภายในตัวเอง
หรือมองเห็นแต่ไม่มีความกล้าหาญที่จะยอมรับและปรับปรุงตัวเองเพื่อนำพรรคไปสู่ความเป็นสถาบันยั่งยืนที่ไม่ต้องพึ่งพาคนคนเดียว
แม้กระทั่งอดีตหัวหน้าพรรคตัวเองทำหลายสิ่งหลายอย่างที่เห็นชัดว่าขัดจริยธรรมร้ายแรง ผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งขัดกับหัวใจหลักของประชาธิปไตย ก็ไม่เคยกล้าเอ่ยปากทัดทานหรือแสดงความไม่เห็นด้วย

คนในพรรคนี้ส่วนใหญ่เรียกร้องให้คนอื่นก้าวข้ามทักษิณ (ให้นิรโทษหรืออภัยโทษคุณทักษิณ) แต่ตัวเองกลับไม่คิดจะก้าวข้ามทักษิณ
ซึ่งอาจเป็นเพราะ
1. ต้องพึ่งอาศัยเงินทอง เงินทุนจากคุณทักษิณ
2. คิดอะไรเองไม่เป็น ถ้าคุณทักษิณไม่คิดให้ ก็ทำอะไรไม่เป็น ซึ่งน่าเป็นห่วงอนาคตของพรรคที่ทุกอย่างขึ้นตรงกับคนคนเดียวทั้งที่เป็นพรรคที่ประกาศเชิดชูประชาธิปไตย อิสรภาพและเสรีภาพ แต่คนในพรรคดูเหมือนไม่อยากจะมีเสรีภาพหรือความคิดเป็นของตัวเอง ต้องเกาะแข้งเกาะขาคนคนเดียวไปตลอด
อย่างไรก็ตามเนื่องจากเป็นพิมพ์เขียวที่กล้าหาญเกินไป จึงน่าเป็นห่วงว่าคุณหญิงสุดารัตน์จะผ่านด่านคนในพรรคที่ยังต้องการเกาะแข้งเกาะขาคุณทักษิณไปได้หรือไม่ กลัวแต่ว่าพิมพ์เขียวจะโดนสกัดหรือตีตกไปตั้งแต่ยังไม่ทันเสนอเข้าคณะกรรมการพรรคด้วยซ้ำไป
“พิมพ์เขียวนี้ไม่ได้นำเสนอบนเงื่อนไขที่ว่าดิฉันจะลงสมัครแข่งขันเป็นหัวหน้าพรรคหรือไม่ เพียงแต่ว่าดิฉันอยู่ในบ้านหลังนี้ แล้วบ้านหลังนี้ดันไปเป็นปัจจัยหนึ่งของประเทศ ดิฉันเพียงคิดว่าถ้าทำบ้าน (พรรค) ให้ดี ประเทศก็จะดี องค์กร (พรรค) ของดิฉันก็รอดเท่านั้นเอง”
หวั่นใจแทนคุณหญิงสุดารัตน์ว่าหลังจากออกมาให้สัมภาษณ์อย่างนี้แล้ว อาจถูกคนในพรรคส่วนใหญ่ 98-99% หมั่นไส้และก่อกระแสต่อต้านหรือดิสเครดิต
เพราะคนอื่นๆ ในพรรคเขาอาจไม่ได้คิดแบบก้าวหน้าหรือคิดในภาพใหญ่เพื่อส่วนรวม เพื่อประเทศ
แต่ยังคิดแบบเดิมคือเชื่อว่าตราบใดที่ยังมีฐานเสียงในภาคเหนือและอีสานซึ่งมีประชากรมากที่สุด ตราบนั้นก็ชนะ ไม่เห็นต้องแคร์คนในภาคอื่น ยังเชื่อในหลักการพวกมากลากไป แต่ไม่เชื่อในความถูกผิด เหมาะสม
วิธีคิดแบบนี้ของคนในพรรคคุณทักษิณเกิดขึ้นเพราะไม่เข้าใจประชาธิปไตยถ่องแท้ ซึ่งก็คือการเคารพและรับฟังเสียงของประชาชนทุกคน ไม่ใช่ฟังแค่คนที่เลือกพรรคตัวเอง
น่าลุ้นว่าฝันของคุณหญิงสุดารัตน์จะเป็นจริงหรือไม่ แต่บอกได้คำเดียวว่า การเป็นคนน้ำดี ในทะเลน้ำเสียนั้นเหนื่อยและยาก