ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 กันยายน 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
การเดินทางเยือนเอเชียครั้งสุดท้ายของประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐอเมริกา เต็มไปด้วยความรู้สึกอาลัยอาวรณ์และการมาถึงของบทสรุปส่งท้าย
หลังช่วงเวลา 8 ปีของ “ประธานาธิบดีแห่งแปซิฟิก” ผู้นี้ บรรดาผู้นำของเอเชียจะได้ร่วมงานกับฝ่ายบริหารใหม่ของสหรัฐอเมริกาในเร็วๆ นี้
โอบามาได้รับการปรบมือเป็นเกียรติในการอำลาจากบรรดาผู้นำกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ชาติ หรือ จี20 ในการประชุมที่จีนและบรรดาผู้นำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน แสดงความยกย่องชื่นชมเขาในการประชุมที่ลาว
ขณะที่ นางออง ซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐของพม่ากล่าวขอบคุณเขาสำหรับการผลักดันประเทศของเธอไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย
สำหรับเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวและตัวของโอบามาเองนั้น บทเพลงสุดท้ายในการอำลาเอเชียถือเป็นบทสรุปของนโยบาย “หันหน้าหาเอเชีย” ในการดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 8 ปี
“ความคาดหวังของผมคือผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากผมจะยังคงดำรงรักษาไว้ซึ่งแนวทางความสัมพันธ์นี้” โอบามา กล่าวขณะที่ใกล้จะเสร็จสิ้นภารกิจการเดินทางเยือนลาว
ระหว่างช่วงเวลาการดำรงตำแหน่ง 2 สมัยในทำเนียบขาว โอบามาพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงการให้ความสำคัญของสหรัฐอเมริกาต่อภูมิภาคที่ติดหล่มสถานการณ์ยากลำบากหลายด้านอย่างตะวันออกกลาง มายังเอเชียที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว
เขาได้ปรับปรุงความสัมพันธ์กับพม่า เวียดนาม และลาว ขณะที่สนับสนุนส่งเสริมกรอบความร่วมมือต่างๆ ในภูมิภาค และสร้างการถ่วงดุลอำนาจต่อความทะเยอทะยานในภูมิภาคของจีน
ทว่า คำถามสำคัญหลังจากนี้คือ จุดยืนในการสนับสนุนเอเชียของโอบามาจะได้รับการสานต่อหรือไม่
โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเคยแสดงความกังขาต่อสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมระหว่างสหรัฐอเมริกากับญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกากับเกาหลีใต้ ซึ่งถือเป็นเสาหลักสำคัญในนโยบายของสหรัฐอเมริกาต่อเอเชียนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา
อย่างไรก็ตาม แนวคิดในด้านยุทธศาสตร์นโยบายต่างประเทศของทรัมป์เป็นเรื่องยากที่จะประเมิน แม้แต่นักการทูตของเอเชียหลายรายเองยังยอมรับว่าประสบความยากลำบากในความพยายามสื่อสารในเรื่องนี้กับทีมงานหาเสียงของทรัมป์
ขณะที่คู่แข่งของทรัมป์ อย่าง นางฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนพรรคเดโมแครตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในฐานะอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของโอบามา มีส่วนร่วมอย่างสำคัญและใกล้ชิดกับการกำหนดนโยบาย “หันหน้าหาเอเชีย” นำไปสู่การมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นกับเอเชียไปจนถึงการถ่วงดุลอำนาจต่อการแผ่ขยายอิทธิพลของจีน
ถึงอย่างนั้นก็ตาม ฮิลลารีคัดค้านการให้สัตยาบันในความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ภาคพื้นแปซิฟิก (ทีพีพี) ที่มี 12 ชาติเข้าร่วมและไม่มีจีนรวมอยู่ด้วย
บิล บิช็อป ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนแห่งวารสารจดหมายข่าวซิโนซิสม์ บอกว่า ในฐานะผู้ที่เป็นไปได้ว่าจะสืบทอดตำแหน่งต่อจากโอบามา จุดยืนในการคัดค้านทีพีพีของฮิลลารีจะผลักดันให้พันธมิตรของสหรัฐในเอเชียมีความกังวลต่อจีนมากขึ้น
“หากปราศจากองค์ประกอบในการถ่วงดุลทางเศรษฐกิจที่สำคัญ จะเกิดความไม่ชัดเจนว่าการถ่วงดุลนั้นจะได้ผล” บิช็อปบอก และว่า
“สำหรับพันธมิตรในภูมิภาคเอเชีย ความมั่นคงเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่เศรษฐกิจก็เช่นกัน”
ขณะที่ทะเลจีนใต้จะเป็นประเด็นท้าทายใหญ่หลวงที่สุดในด้านนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนต่อไป
ในระหว่างช่วงเวลาที่โอบามาดำรงตำแหน่งในทำเนียบขาว จีนได้ปฏิบัติการอ้างสิทธิครอบครองเหนือพื้นที่ทางน้ำสำคัญแห่งนี้อย่างก้าวร้าว
โอบามาได้ยืนยันถึงสิทธิในการบินหรือล่องเรือในพื้นที่อย่างมีเสรี แต่เขาได้ชี้ด้วยว่าสหรัฐอเมริกาจะไม่ทำสงครามในการแย่งชิงเกาะ สันทราย หรือแนวปะการังในพื้นที่ห่างไกล
ภายใต้มุมมองนี้ บูรณภาพแห่งดินแดน หลักนิติรัฐ การยึดมั่นในพันธกรณีตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศเป็นเรื่องที่พึงปฏิบัติ แต่ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงที่จะแลกมาด้วยไฟสงครามหรือเลือดเนื้อของทหารอเมริกัน
ทั่วทั้งภูมิภาคเฝ้าจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าจีนจะใช้ช่วงเวลาระหว่างนี้ไปจนถึงกว่าที่สหรัฐจะได้ฝ่ายบริหารชุดใหม่ทำอะไรในพื้นที่พิพาทอีกบ้าง อาทิ การประกาศเขตแสดงตนเพื่อการป้องกันภัยทางอากาศเพิ่ม หรือการติดตั้งขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน
ซึ่งนั่นจะทำให้ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ต้องพบงานหนักนับตั้งแต่วันแรกของการดำรงตำแหน่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้