โลกหมุนเร็ว/เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง/เมื่อขึ้นไปแล้ว ต้องกลับลงมา

โลกหมุนเร็ว
เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง
[email protected]

เมื่อขึ้นไปแล้ว ต้องกลับลงมา

ไม่มีอะไรที่มนุษย์ทำไม่ได้ ขนาดขึ้นไปบินอยู่กลางท้องฟ้าเหมือนนก ที่ดูไม่น่าเป็นไปได้ มนุษย์ก็ยังทำได้
ขนาดอยู่ไกลกันคนละฟากฟ้า การสื่อสารกันแบบไร้สายก็ยังทำคุยกันได้เหมือนนั่งอยู่ตรงหน้า
สาอะไรกับการไต่ขึ้นไปอยู่บนที่สูงลิบลิ่ว
ห้าสิบปีที่แล้ว หากได้ไปนิวยอร์ก ยังจะต้องไปขึ้นเอ็มไพร์สเตตให้ได้ และหากไปปารีสก็ต้องไปขึ้นหอไอเฟล ความรู้สึกอยากอยู่ที่สูงของมนุษย์เป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง มันให้ความรู้สึกว่าเราอยู่เหนือโลก สามารถมองลงไปเห็นสิ่งที่อยู่บนดินแบบสุดสายตา
สองพันปีที่แล้ว ในยุคโรมันเรืองอำนาจ อะไรจะตื่นเต้นเร้าใจเท่าการต่อสู้กันของมนุษย์กับสัตว์ดุร้ายกลางลานกว้างที่มีคนดูนั่งเชียร์อยู่บนอัฒจันทร์โดยรอบที่เรียกกันว่า Gladiater เป็นไม่มี
ในครั้งนั้นมีการนำสัตว์เข้าสู่เวทีด้วยวิธีที่เร้าใจ ด้วยการใช้เครื่องยกที่ทำจากรอก คันงัด และทาส
แม้เวลาจะผ่านไป 2000 ปีแล้วแต่เทคโนโลยีของลิฟต์ก็ยังอยู่บนพื้นฐานเดิมตั้งแต่ยุคโรมัน
ต่างกันตรงที่ปัจจุบันเราใช้ไฟฟ้าเป็นตัวดึงรอกขึ้นมา แทนที่จะใช้ทาสจำนวนมากดึงมันขึ้นมาเหมือนยุคก่อน
เมื่อประชากรมีจำนวนมาก แย่งกันอยู่แย่งกันทำมาหากิน และที่ดินแพงลิ่ว ก็ทำให้อาคารในย่านธุรกิจแต่ละแห่งก็ยิ่งต้องปลูกให้สูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อจะได้ใช้ที่ให้คุ้มค่าต่อตารางเมตร
และสิ่งที่จะนำผู้อยู่อาศัยขึ้นไปบนชั้นสูงๆ ได้ก็คือลิฟต์นั่นเอง

เป็นเรื่องแปลกที่มีผู้ทำธุรกิจเกี่ยวกับลิฟต์ไม่กี่รายในโลกนี้ ถ้าไม่ใช่ Kone จากสวีเดน ก็จะเป็น Thyssenkrupp ของเยอรมนี ไม่ก็ Otis ของอเมริกา และ Mitsubishi ของญี่ปุ่น แต่ถ้าเรารู้เบื้องหลังของการกว่าจะมาเป็นผู้ประกอบการลิฟต์โดยสารแล้วละก็จะเข้าใจไปเองว่าทำไมจึงมีผู้ลงทุนเรื่องนี้น้อยนัก
พวกเราที่อยู่ในตึกสูงไม่เคยสนใจว่าวิศวกรรมของลิฟต์หน้าตาเป็นอย่างไร เราเห็นแต่ห้องสี่เหลี่ยมจุคนได้ประมาณสิบคน เมื่อก้าวเข้าไปประตูก็ปิด แป๊บเดียวก็พาเราไปยังชั้นที่ต้องการ แล้วประตูก็เปิดออก เราก้าวออกไป แล้วลิฟต์ก็หมดความหมาย
แต่ถ้าหากเราอยู่ในตึกสองหรือสามหรือสี่ชั้นที่จำเป็นจะต้องมีลิฟต์ บางทีเพราะเรามีคนชราอยู่ที่ชั้นบน หรือบางทีเราทำการค้าในอาคารเดี่ยวที่มี 4-5 ขั้น จะให้ลูกค้าเดินขึ้นบันไดก็กระไรอยู่ ก็จึงจำเป็นต้องติดลิฟต์ และนั่นอาจเป็นโอกาสที่ทำให้เราได้เห็นโครงสร้างของลิฟต์ ที่ไม่มีประตูปิดเปิดแบบอัตโนมัติ
อยากจะรู้ก็ดูโครงสร้างของลิฟต์แก้วในห้างสรรพสินค้าที่มันขึ้นลงนั่นแหละค่ะ ล้วนแต่เป็นโครงสร้างที่ประกอบไปด้วยการใช้ไฟฟ้าบังคับรอกให้ขึ้นลงนั่นเอง
แต่ปัจจุบันนี้ตึกสูงทั้งหลายที่ดูไบ ที่มีความสูงถึง 100 ชั้น ได้ทำให้เทคโนโลยีลิฟต์เปลี่ยนไป

อย่าง Kone Ovj ของฟินแลนด์ มีพนักงานถึง 55,000 คนทั่วโลก ขณะนี้ทำการทดลองด้านฟิสิกส์ของการติดตั้งลิฟต์ในห้องทดลองที่มีความลึก 350 เมตร โดยขุดลงไปในเหมืองหินที่ยังมีการขุดเจาะอยูทางด้านตะวันตกของเฮลซิงกิ
ที่นี่บริษัทต้องใช้เพลาถึง 11 ตัว ทดลองตัวชักที่มีน้ำหนักเบามากซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของบริษัท ไปจนถึงหุ่นยนต์ เสียงก้อง และการตกลงของลิฟต์
ส่วนด้าน Thyssenkrupp ของเยอรมนี เลือกใช้วิธีสร้างหอสูง 246 เมตร เพื่อทดสอบลิฟต์ที่เมือง Rottwell เพื่อดูสถาปัตยกรรมแบบใหม่ที่เรียกว่า maglev ที่ไม่ใช้เคเบิลและรอก แต่ใช้ระบบแม่เหล็กไฟฟ้า
ระบบนี้ลำเลียงผู้โดยสารได้ทั้งทางดิ่งและทางราบ และยังสามารถอยู่ได้ทั้งนอกและในอาคาร เป็นเรื่องที่สถาปนิกชอบมากเพราะเปิดโอกาสในการออกแบบได้หลากหลายรูปแบบ
เราจะได้เห็นลิฟต์แบบนี้ในปี 2020 ไม่นานเกินรอ

และเมื่อถึงปี 2021 มูลค่าของลิฟต์ที่ใช้อยู่ทั่วโลก รวมทั้งการบำรุงรักษาก็จะเป็น 114 พันล้านเหรียญสหรัฐ จาก 96.7 พันล้านเหรียญในปี 2016 บริษัทลิฟต์นั้นย่อมจะยินดี เพราะไม่ว่ามันจะเป็นงานที่ยากเย็นแสนเข็ญอย่างไร แต่มันก็สร้างรายได้งาม
และอย่านึกว่าดูไบคือแหล่งรายได้หลักนะคะ จีนต่างหากล่ะคะที่กำลังต้องพึ่งพาลิฟต์มากมายมหาศาลเพราะกำลังบ้าสร้างเมืองโบราณให้กลายเป็นเมืองสมัยใหม่
และบัดนี้ทั้ง Kone และ Otis ก็ไปสร้างหอทดสอบลิฟต์ขนาดสูง 270 เมตร และ 235 เมตรในจีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ลิฟต์นั้นไม่ใช่พระเอกของอาคารระฟ้าใดๆ ในโลกนี้ มันเป็นแต่เพียงอุปกรณ์นำพามนุษย์ขึ้นไปอยู่บนที่สูง
แต่ถ้าปราศจากมันมนุษย์ก็ไม่สามารถขึ้นไปอยู่บนที่สูงและลงมาได้
และความปลอดภัยก็ยังเป็นประเด็นสูงสุด
การค้นคว้าเพื่อให้ได้เทคโนโลยีที่ดีขึ้นเรื่อยๆ คือหัวใจ และการทดสอบก็ต้องทำในหอสูง นี่เองทำให้ลิฟต์เป็นธุรกิจที่มีการลงทุนสูง และอยู่ในมือยักษ์ใหญ่เพียงห้าเจ้าในโลกนี้คือ Kone, Otis, Thyssenkrupp, Schindler Group ของสวิตเซอร์แลนด์ และ Mitsubishi Electric Corp แต่ละเจ้ามีประสบการณ์ไม่ต่ำกว่า 85 ปี ทำให้หน้าใหม่ๆ ต่างขยาดไม่กล้าเข้ามาสู้
แต่ก็ไม่แน่ ถัดจากนี้ไปอีกสิบปีอาจมีหน้าใหม่จากจีนเข้ามาขอแบ่งส่วนก็เป็นได้