พีระ ‘พัง’ จะพังจริง-จริงแล้ว?

บทความในประเทศ

 

   

 

และแล้ว “ตำบลกระสุนตกทางการเมืองครั้งใหม่” ก็เกิดขึ้นกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อย่างหนักหน่วงในสัปดาห์นี้

จู่ๆ ก็มีข่าวด้านลบ คลื่นกระแสคำวิจารณ์ในโลกออนไลน์ พร้อมๆ กับการเคลื่อนไหวยื่นเรื่องร้องเรียนหลายกรณีประดังเข้าใส่

จากรองนายกฯ และ รมว.พลังงาน ผู้นำค่ายรวมไทยสร้างชาติ ซึ่งพยายามอยู่นิ่งๆ เงียบๆ ตั้งใจทำงาน จึงมีอันให้ต้องลุกจากเก้าอี้ ออกมาปฏิเสธสารพัดคำร้องเรียน

ที่เกิดขึ้นกับนายพีระพันธุ์ตอนนี้ ดูเหมือนไม่มีอะไรมาก แต่หากมองย้อนไปดูภาพรวมองคาพยพรัฐบาลทั้งหมด

นี่อาจเป็นหนึ่งในอาการปะทุสำคัญของ “วิกฤตความเจ็บป่วยครั้งใหญ่” ระดับรัฐบาลต่อจากนี้เลยทีเดียว

 

ย้อนกลับไปที่ความสำคัญของพีระพันธุ์ ในทางการเมือง

เป็นที่รู้กันว่าพรรครวมไทยสร้างชาติและนายพีระพันธุ์เข้าสู่อำนาจการเมืองได้ด้วยการประกาศเป็น “ดีเอ็นเอลุงตู่” ชู “อุดมการณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”

แต่เพราะผลเลือกตั้งไม่เป็นดังหวัง ขั้วอำนาจเก่าพ่ายแพ้อย่างหนัก พล.อ.ประยุทธ์ ต้องวางมือทางการเมือง ชะตากรรมการเมืองของพรรครวมไทยสร้างชาติภายใต้การนำของนายพีระพันธุ์ จึงต้องยอมจับมือกับขั้วสีแดงและนายทักษิณ ชินวัตร คู่อริทางการเมืองเดิม

ช่วงแรกของรัฐบาลขั้วผสม พลังมวลชนฝ่ายอนุรักษนิยมเดิมก็มิได้คัดค้าน ด้วยเห็นความจำเป็นต้องเข้าสู่อำนาจ ขัดขวางขั้วสีส้มที่ชนะเลือกตั้งอันดับ 1

ส่วนการทำงานก็จัดอยู่ในระดับฟอร์มดี ประกาศสัญญาประชาคมไว้หลายเรื่องเกี่ยวกับการปฏิรูปพลังงาน

แต่จากเลือกตั้งปี 2566 วันนี้ผ่านไปแล้ว 2 ปี เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าทำอะไรได้ไม่เต็มที่

ปลายปี 2567 พีระพันธุ์จึงเจอฉายาจากสื่อการเมืองสายทำเนียบว่า “พีระพัง” เพราะประกาศแก้กฎหมายรื้อโครงสร้างภาษีน้ำมันมากมาย จนเปลี่ยนหัวหน้ารัฐบาลแล้ว วันนี้ก็ยังไม่ชัดเจน

จุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่การประกาศจุดยืนเรื่องกาสิโน

การที่นายพีระพันธุ์ออกมาประกาศจุดยืนเอาด้วยเต็มที่กับกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นความคิดที่ค่อนข้างจะตรงกันข้ามกับปัญชาชนและมวลชนที่สนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติ นั่นคือการปรากฏขึ้นครั้งแรกของ “กระแสความไม่พอใจนายพีระพันธุ์”

แรงหนุนฝ่ายอนุรักษ์ที่เคยมีค่อยๆ ลดน้อยลง ความนิยมของนายพีระพันธุ์วันนี้จึงอยู่ในระดับ “ร่อแร่”

 

ขณะที่สถานการณ์ของรัฐบาลวันนี้ เอาจริงก็ร่อแร่ไม่แพ้นายพีระพันธุ์

วิกฤตทั้งทางการเมือง วิกฤตความศรัทธา วิกฤตทางเศรษฐกิจ ทั้งหมดกระทบทำให้เกิดวิกฤตทางสังคม

รัฐบาลเพื่อไทยก็รู้ดีว่าประเทศเกิดสารพัดปัญหาลุกลามเป็นวิกฤต แม้จะพยายามเดินเครื่องอย่างเต็มกำลัง แต่ก็ยังเดินหน้าแทบไม่ได้

แม้แก้ปัญหาประเทศได้ยาก แต่จะชิงลาออกยุบสภาก็ทำไม่ได้อีก เศรษฐกิจการเมืองไทยวันนี้แทบจะอยู่ในสถานะ “ติดหล่ม”

ภาวการณ์ทางการเมืองวันนี้จึงเป็นบริบทที่บีบให้รัฐบาลเพื่อไทยต้องขยับทางการเมืองบางอย่าง นั่นคือ “ต้องเปลี่ยนดุลอำนาจบางอย่างในรัฐบาล”

ขั้นสูงคือเปลี่ยนขั้วรัฐบาล หรือบีบพรรคร่วมบางพรรคออก แนวทางนี้เห็นตรงกันแล้วว่าทำไม่ได้

ทางออกง่ายสุดวันนี้จึงเหลือแค่ปรับ ครม.

สารพัดข่าวปล่อยโจมตีกันไปมา ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ดินอัลไพน์ ที่ดินเขากระโดง กรณีโพยฮั้ว ส.ว . คือรูปธรรมของการต่อสู้ในสมรภูมิการเมืองที่ดุเดือดช่วงที่ผ่านมา สะท้อนการขัดแย้งกันระหว่างขั้วอำนาจภายในฝ่ายรัฐบาล

และในสัปดาห์นี้ก็คือคิวของนายพีระพันธุ์นั่นเอง

 

ว่ากันว่า นายพีระพันธุ์ต้องเจอถึง 4 วิบากกรรม

1. เข้ารับตำแหน่งรองนายกฯ และ รมว.พลังงานเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2566 แต่กลับโอนหุ้นไปให้หน่วยงานบริหารจัดการแทน เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2567 ช้ากว่าที่ควรทำถึง 1 ปี

การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี การถือหุ้นเกิน 5% การไม่แจ้ง ป.ป.ช. จึงถูกร้องว่าขัดรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย ป.ป.ช.เต็มๆ

2. ข้อหาโอนหุ้นบริษัท 4 กันยายน 2567 แต่ลาออกจากกรรมการผู้มีอำนาจ 29 ตุลาคม 2567 ถูกร้องขัดรัฐธรรมนูญ

3. การอ้างตัวเป็น DNA ลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ถูกร้อง กระทำไม่เหมาะสม

4. การแจกถุงยังชีพติดชื่อตัวเอง ทั้งที่เป็นถุงยังชีพที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐวิสาหกิจจนถูก ป.ป.ช.ไต่สวน

ปิดท้ายด้วยการถูกร้องให้สอบ นายพีระพันธุ์สร้างด้อม หรือแฟนคลับของตัวเองขึ้นมา โดยด้อมนั้นมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมคุกคามคนเห็นต่างในทางการเมือง

ทั้งหมดถูกเชื่อมโยงเป็นข้อร้องเรียนพร้อมเอกสารจากทางการ ส่งถึงนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ให้ปลดนายพีระพันธุ์ออกจากตำแหน่ง

และที่กลัวๆ กันอยู่ก็คือคำร้องของพีระพันธุ์รอบนี้ จะลุกลามกระทบไปถึงนายกฯ แพทองธาร ซ้ำรอยนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็น รมต.หรือไม่ อีกด้วย

เหล่านี้จึงสะท้อนว่า สภาวะนิติสงครามในบ้านเรานั้น ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเล่นงานทุกฝ่ายได้จริงๆ

 

ถามว่าการรุมถล่มนายพีระพันธุ์ช่วงนี้ สะท้อนอะไรในทางการเมือง

1. ขั้วความคิดอนุรักษนิยมเดิมที่เคยหนุน เริ่มตีตัวออกห่าง

ในระดับมวลชน จุดเปลี่ยนอาจเป็นเรื่องการหันมาหนุนกฎหมายกาสิโนของพรรคเพื่อไทย แต่ในระดับชนชั้นนำอาจมีประเด็นเรื่องการเปลี่ยนตัวตำแหน่งรัฐมนตรีมาเกี่ยวข้อง

ต้องไม่ลืมว่าตอนนี้คือช่วงเวลาที่ฝ่ายอนุรักษนิยมวิจารณ์นายทักษิณ ชินวัตร อย่างหนักแล้ว การที่นายพีระพันธุ์และรวมไทยสร้างชาติส่งเสียงหนุนกฎหมายกาสิโนช่วงนี้ จึงถูกตีความว่านายพีระพันธุ์ยอมศิโรราบต่อนายทักษิณไปโดยปริยาย

2. ขั้วการเมืองฝั่งเพื่อไทย ไม่ถูกใจนายพีระพันธุ์

อย่าลืมว่านายพีระพันธุ์คือผู้กุมบังเหียนกระทรวงพลังงานซึ่งได้ชื่อว่าเป็นกระทรวงเกรดเอ ยิ่งตอนนี้สถานการณ์ทางนโยบายเพื่อไทยไม่ค่อยดี มีข่าวการต่อรองเจรจาเก้าอี้กันจ้าละหวั่น เก้าอี้ รมต.พลังงานจึงเป็นอีกหนึ่งความหวังที่จะกลับมาสู่มือเพื่อไทยได้

และอย่าลืมอีกว่านายพีระพันธุ์เคยเป็นหนึ่งในหัวขบวนขับไล่นายทักษิณมานาน ยิ่งดันให้พ้นจากอำนาจได้ ยิ่งเป็นการตอกย้ำการลบ มรดก 3 ป. ออกจากการเมืองสำเร็จ

3. ตัวนายพีระพันธุ์มีความเป็นตัวของตัวเองสูง

ความเป็นตัวของตัวเองแต่แรกเริ่ม ทำให้นายพีระพันธุ์สะสมแรงต้านเพิ่มมาเรื่อยๆ ตลอด 2 ปีที่ดำรงตำแหน่ง

แม้ช่วงหลังจะเห็นนายพีระพันธุ์ลดดีกรีอีโก้ตัวเองลง ยอมประนีประนอมหลายเรื่อง เช่น เรื่องประมูลไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ก็ยอมถอย เรื่องกาสิโน ก็ยอมถอย

จุดยืนการเมืองตรงนี้จึงทำให้ความนิยมในตัวนายพีระพันธุ์ค่อยๆ ลดลงไปตามตัว ตรงกันข้ามกับแรงต้านทางการเมืองกลับเพิ่มขึ้น

4. ผลงานไม่เป็นรูปธรรม

แม้จะพยายามประกาศปฏิรูปในหลายเรื่องๆ แต่ยังไม่เห็นชัด หลายเรื่องขยับช้า ต่อให้พยายามชี้แจงเรื่องการขับเคลื่อนแค่ไหน แต่วันนี้ต้องยอมรับว่าคนยังสัมผัสไม่ได้ ราคาไฟฟ้า น้ำมัน ยังไม่เข้ารูปเข้ารอย

ต้องยอมรับว่า นายพีระพันธุ์เองก็ขยับได้ยาก จะทำอะไรก็มีอุปสรรคขัดขวางเยอะ เป็นอีกปัญหาที่ทำให้ผลงานไม่ออก

5. ปัญหาในพรรครวมไทยสร้างชาติ

จากข่าวความขัดแย้งไม่ลงรอยกันในพรรคหลายครั้งที่ผ่านมา สะท้อนความไม่เป็นหนึ่งเดียว ข่าวความสัมพันธ์ของนายพีระพันธุ์กับสมาชิกพรรค นับวันยิ่งถอยหลังลงคลอง จนมีข่าวความพยายามเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคหลายครั้ง ล้วนสะท้อนปัญหาภายใน

จะเห็นว่า การรุมถล่มนายพีระพันธุ์ไม่เพียงสะท้อนปัญหาเฉพาะตัวหัวหน้าพรรค

ในอีกด้านหนึ่ง ความเปราะบางของอนาคตทางการเมืองของนายพีระพันธุ์ ยังเป็น “ยอดภูเขาน้ำแข็งแห่งปัญหาภายในพรรคร่วมรัฐบาล” ที่เริ่มปรากฏขึ้น

มากกว่านั้น ยังสะท้อนปัญหาการเมืองไทย “ทั้งระบบ”

หันไปขั้วสีแดงก็วิกฤตหนัก ขั้วอำนาจเก่าพรรคสองลุงก็ค่อยๆ เลือนหาย ขั้วสีส้มก็ชะตากรรมแขวนบนเส้นด้าย

ผลจากมรดกการเมืองยุค คสช. การเมืองภายใต้กติกาที่กำหนดโดยคณะรัฐประหาร

รอบนี้ชีวิตการเมืองของนายพีระพันธุ์จึงกลับมาสู่ระดับวิกฤต พีระพันธุ์ จะกลายเป็น “พีระพัง” หรือไม่ ยังมิอาจทราบได้

แต่ที่พูดได้คือ วันนี้ การเมืองไทยก็ “พัง”

ล้มเหลว อ่อนแอ ไร้ประสิทธิภาพ “แทบทุกระบบ”