‘ชาตินิยม’ หลายแบบ

หลายคนเริ่มห่วงว่า สังคมไทยกำลัง “เลี้ยวขวา” ไปสู่อารมณ์ความรู้สึกแบบ “ชาตินิยม” ชนิดเข้มข้นและสุดขั้ว

หากพิจารณาจากหลายๆ ปรากฏการณ์ร่วมสมัย โดยเฉพาะที่ปรากฏผ่านคอมเมนต์มหาศาลในโซเชียลมีเดียต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ยูทูบ หรือติ๊กต็อก

อันเป็นปฏิกิริยาสนองตอบต่อประเด็นข่าวเรื่องความขัดแย้งว่าด้วยเขตแดน-มรดกทางวัฒนธรรมระหว่างไทยกับกัมพูชา ไปจนถึงเหตุการณ์ความรุนแรงระลอกล่าสุดในพื้นที่ชายแดนภาคใต้

ปฏิกิริยาเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่า การปลุกความโกรธเกลียดใส่ประเทศเพื่อนบ้าน หรือคน “(ชาติ) พันธุ์” อื่นในประเทศตนเอง สามารถลุกลามได้ง่ายจนน่าหวาดกลัว

มิหนำซ้ำ ความโกรธเกลียดดังกล่าวยังเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่พลุ่งพล่าน ซึ่งไม่นำไปสู่หนทางแก้ไขปัญหาที่สมจริง ยั่งยืน และก่อให้เกิดสันติสุขแต่อย่างใด

ทว่า ทำให้คนที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกัน เหินห่างหมางเมินไม่ไว้ใจกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดความขัดแย้งมากกว่าความสงบ มีความทุกข์มากกว่าความสุข

ยิ่งกว่านั้น น่ากังวลว่าในสถานการณ์ปลุกเร้าอารมณ์เช่นนี้ วิธีคิดของคนจำนวนมากในสังคมไทยกำลังจะกลายเป็น “สายเหยี่ยว” มากกว่า “สายพิราบ” เชื่อเรื่อง “การทหาร” มากกว่า “การเมือง”

หรือเห็นว่าการใช้ความรุนแรงขั้นเด็ดขาด ใช้กำลังอาวุธ ใช้ไฟไปดับไฟ จะสามารถจัดการ-ขจัดปัญหาที่ลึกซึ้งซับซ้อนได้

หากความคิดเช่นนี้ถูกแปรเป็น “เสียงส่วนใหญ่” ก็ย่อมส่งผลเสียต่อระบอบประชาธิปไตยไทยในระยะยาว

 

ข้างต้น คือ อุดมการณ์ “ชาตินิยม” แขนงหนึ่ง ซึ่งกำลังคลี่ขยายครอบคลุมสังคมไทย กระทั่งมีบางคนวิเคราะห์ซีเนริโอในอนาคตว่า “ชาตินิยม” แนวนี้ อาจมีส่วนกำหนดผลการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า

อย่างไรก็ดี อีกปัจจัยที่น่าคิดต่อและนำมาผนวกรวมมัดกันเป็นเนื้อเดียว คือ เวลาหลายประเทศทั่วโลก “เลี้ยวขวา” ผ่านผลการเลือกตั้ง อารมณ์ความรู้สึก “ชาตินิยม” มักก่อตัวขึ้นจากปัญหาทางเศรษฐกิจ

เริ่มจากเศรษฐกิจตกต่ำซึมเซา คนธรรมดาสามัญหรือชาวบ้านร้านตลาดไม่มีเงินในกระเป๋า มองไม่เห็นอนาคตของตัวเอง แต่เห็น “คนอื่น” บุกเข้ามาแบ่งใช้-สูบกินทรัพยากรที่ควรเป็นของพวกตน ถึงในบ้านในประเทศ

ความไม่พอใจเช่นนี้ จึงก่อให้เกิดมุมมองแบบ “ชาตินิยม” ซึ่งมุ่งต่อต้าน “คนอื่น/คนนอก” ที่ถูกนิยามว่าเป็น “ภัยเศรษฐกิจ”

ในสังคมไทยร่วมสมัย “ชาตินิยม” ทำนองนี้ อาจเคยก่อตัวขึ้นมาบ้างแล้ว โดยมีเป้าหมายที่ถูกโจมตีเป็น “แรงงานจากประเทศ/กลุ่มชาติพันธุ์เพื่อนบ้าน” ซึ่งหลั่งไหลเข้ามาประกอบอาชีพ (ที่ไม่ค่อยมีคนไทยอยากทำ) ในบ้านเรา

กระนั้นก็ตาม “ชาตินิยมทางเศรษฐกิจ” ในเมืองไทยดูจะมีพลวัตไปอีกระดับ ภายหลังการถล่มลงมาของตึก สตง. เมื่อหลายๆ ฝ่าย พยายามจับจ้องตรวจสอบเครือข่าย “กิจการสีเทา-ศูนย์เหรียญ” ประเภทต่างๆ ซึ่งทะลักล้นมาจากกลุ่มทุนต่างชาติ

น่าสังเกตว่า พรรคการเมืองที่ขยับเข้ามาเล่นบทบาท “พิทักษ์ผลประโยชน์ชาติ” อย่างแข็งขัน ณ ห้วงเวลานี้พร้อมๆ กัน กลับกลายเป็นตัวแทนของสองขั้วทางความคิดอุดมการณ์เมื่อปี 2566 นั่นคือ “พรรคประชาชน” และ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” (ในนาม “ทีมสุดซอย”)

เหมือนต่างฝ่ายมองเห็นตรงกันว่านี่คือบท “นักชาตินิยม” ที่ตนเองควรเล่น

 

ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่อารมณ์ความรู้สึก “ชาตินิยม” จะส่งผลต่อคะแนนนิยมทางการเมืองและการเลือกตั้งทั่วไปหนหน้า

เพียงแต่ต้องหมายเหตุเอาไว้ว่า “ชาตินิยม” ในเกมนี้มิได้อยู่แบบเดียว แขนงเดียว

ทว่า อย่างน้อยๆ ได้ปรากฏ “ชาตินิยม” ขึ้นมาสองแนวทางแล้ว

หนึ่งคือ “ชาตินิยม” แบบมุ่งทะเลาะ (หรือ “ก่อสงครามในจินตนาการ”) กับ “คนใกล้ตัว” ที่ถูกโหมกระพือได้ง่ายทางอินเตอร์เน็ต

และสองคือ “ชาตินิยม” ที่เกิดขึ้นมาด้วยเงื่อนไขของความทุกข์ยากเดือดร้อนในทางเศรษฐกิจ

คำถามน่าสนใจก็คือ “ชาตินิยม” แบบไหนจะมีพลังทางการเมืองมากกว่ากัน? หรือ “ชาตินิยม” สองแบบจะกลายเป็นพลังที่ร้อยรัดเข้าหากันได้อย่างไร? •

 

ของดีมีอยู่ | ปราปต์ บุนปาน