ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 พฤษภาคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | พื้นที่ระหว่างบรรทัด |
ผู้เขียน | ชาตรี ประกิตนนทการ |
เผยแพร่ |
พื้นที่ระหว่างบรรทัด | ชาตรี ประกิตนนทการ
สตง. Ground Zero
ควรออกแบบเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความน่าละอาย
ของรัฐราชการไทย (จบ)
วัฒนธรรมความรู้สึกละอาย รับผิดชอบ และเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาดในอดีต รัฐราชการไทยกำลังมีสิ่งนี้ลดน้อยลงอย่างน่าตกใจ
ไม่ใช่แค่กรณีแค่ตึก สตง.ถล่มเท่านั้นนะครับ ที่ทำให้เราเห็นถึงความพยายามโยนความผิดให้พ้นตัว ขาดความรับผิดชอบ และไร้ยางอาย กรณีถนนพระราม 2 ที่เกิดอุบัติเหตุซ้ำซากจากการก่อสร้างที่ล่าช้าและประมาทจนทำคนตายเป็นจำนวนมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่กลับไม่มีผู้บริหารหน่วยงานคนใดต้องรับผิดชอบเลยแม้แต่คนเดียว
ด้วยการให้เหตุผลง่ายๆ ว่า “ลาออกก็ไม่ทำให้คนตายฟื้น” ซึ่งทำให้คนฟังต้องรู้สึกอายแทนคนพูด
หรือกรณีการใช้งบประมาณของสำนักงานประกันสังคมที่ถูกพบว่าไม่เหมาะสมหลายประการ ทั้งการจัดทำโครงการ Web App, ปฏิทิน และการเดินทางไปดูงานโดยแทบไม่มีการดูงาน ฯลฯ ซึ่งดูเสมือนว่าคงไม่มีใครต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย
ไปจนถึงประเด็นเชิงปัจเจกบุคคล เช่นกรณี ส.ว.หญิงที่แอบอ้างคุณวุฒิการศึกษาไม่ตรงความเป็นจริง แม้จะถูกเปิดโปงอย่างแทบจะสิ้นสงสัยว่าทำผิดจริง แต่ก็ปราศจากอาการที่สะท้อนให้สังคมเห็นว่ารู้สึกผิดและการแสดงออกถึงความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น
ปรากฏการณ์ที่คนในระบบราชการและหน่วยงานภาครัฐทั้งหลายขาดความรู้สึกละอาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกจับได้ว่าทำผิด น่าสังเกตนะครับว่าเกิดขึ้นบ่อยครั้งมากขึ้น และความเสียหายจากความไม่ละอายนี้ก็นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที
ผมไม่ได้รู้สึกถึงปรากฏการณ์นี้เพียงคนเดียวนะครับ อ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็ตั้งข้อสังสัยนี้เช่นกันและถึงกับเขียนบทความ “ทำไมชนชั้นนำไทยจึง ‘หน้าด้าน’ เพิ่มมากขึ้น” เพื่อพยายามจะอธิบายปรากฏการณ์นี้ (ดูใน https://www.the101.world/why-thai-elites-are-shameless/)

ที่มา : Wikimedia Commons
แน่นอน ผมเชื่อว่ายังมีประชาชนคนไทยอีกเป็นจำนวนมากที่รู้สึกไม่ต่างกัน เราต่างรู้สึกอึดอัดคับข้องใจต่อพฤติกรรมไร้ยางอายที่มากขึ้นทุกทีของรัฐราชการไทย
จนเมื่อเกิดการถล่มลงมาของตึก สตง. ซึ่งสะท้อนความเหลวเละจนเกินทนของระบบนี้ จึงทำให้ผมเห็นถึงความจำเป็นยิ่งยวดเร่งด่วนของการสร้างอนุสรณ์สถานแห่งความน่าละอายขึ้น
การสร้างอะไรแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกนะครับ ในหลายประเทศมีการสร้างอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ที่ถือเป็นความน่าละอายของชาติ หรือความผิดพลาดร่วมกันของสังคม
ที่สำคัญ อาทิ
Memorial to the Murdered Jews of Europe (อนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงชาวยิวที่ถูกฆ่าในยุโรป) ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตหลายล้านคน
อนุสรณ์สถานแห่งนี้คือตัวอย่างที่ทรงพลังมากของประเทศที่กล้าเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์อันน่าละอายของตนเองด้วยความซื่อสัตย์ เพื่อที่จะทำให้ความผิดพลาดนี้ไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต
อีกแห่งคือ The National Memorial for Peace and Justice (อนุสรณ์สถานแห่งชาติเพื่อสันติภาพและความยุติธรรม) ณ เมืองมอนต์โกเมอรี รัฐอลาบามา สหรัฐอเมริกา สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงชาวอเมริกันผิวดำ ซึ่งเคยถูกกดขี่เป็นทาส เป็นเหยื่อของการรุมประชาทัณฑ์จนตาย แขวนคอ เผาทั้งเป็น ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงเพราะความเกลียดชังทางเชื้อชาติและสีผิว
ถือเป็นอนุสรณ์สถานที่สร้างขึ้นเพื่อให้คนสหรัฐกล้าที่จะเผชิญหน้าอย่างตรงไปตรงมากับประวัติศาสตร์การเหยียดเชื้อชาติของบรรพบุรุษตนเอง
ตัวอย่างอนุสรณ์สถานเหล่านี้ แสดงให้เราเห็นว่า ความทรงจำที่น่าละอายของสังคมนั้นๆ สามารถนำมาใช้อย่างมีคุณค่าเพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้ การเยียวยา และการป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมในรูปแบบเดียวกันเกิดซ้ำอีกได้

ที่มา : Wikimedia Commons
สตง. Ground Zero ก็เช่นกัน สังคมไทยควรเรียกร้องให้มีการจัดการความทรงจำอันเจ็บปวดชุดนี้ให้สามารถแปรเปลี่ยนมาเป็น อนุสรณ์สถานแห่งความน่าละอายของรัฐราชการไทย ที่นอกจากจะเป็นสถานที่เพื่อระลึกถึงผู้สูญเสียตามแบบอนุสรณ์สถานทั่วไปแล้ว จะทำหน้าที่สร้างวัฒนธรรมความรู้สึกละอายแก่ใจเมื่อใดก็ตามที่ทำสิ่งผิด ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นปกติในสังคม
การรณรงค์เรื่องนี้มิใช่การสร้างวัฒนธรรมซ้ำเติมผู้อื่นหรือต้องการเหยียบคนที่เคยผิดพลาดให้จมดินนะครับ แต่คือการกล้าที่จะเผชิญหน้าอย่างตรงไปตรงมากับโครงสร้างสังคมที่บิดเบี้ยวที่ก่อให้เกิดความสูญเสียด้วยความซื่อสัตย์
สำหรับหลายคน โดยเฉพาะคนที่ทำงานในระบบราชการอาจรู้สึกว่าข้อเสนอนี้มีอคติต่อพวกเขามากจนเกินไป หรือไปไกลจนกระทั่งมองข้อเสนอนี้ว่าเป็นความคิดของพวก “ชังชาติ” ที่คอยจ้องแต่จะหาข้อโจมตีหน่วยงานภาครัฐที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ
หากใครคิดเช่นนี้ ผมอยากยกประโยคหนึ่งของ Benedict Anderson (หรือ อ.เบน ในวงวิชาการไทยศึกษา) ที่กล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์เมื่อปี พ.ศ. 2548 ตอนหนึ่งว่า “หากคุณไม่รู้สึกอับอายเมื่อชาติของคุณทำผิด คุณก็ไม่มีทางเป็นผู้รักชาติที่แท้จริงได้”
(ดูรายละเอียดใน https://www.lorenzk.com/english/2005/benedict-anderson-interview/)
ในบทสัมภาษณ์ดังกล่าว อ.เบน ชี้ให้เราเข้าใจถึง “ความละอาย” ในฐานะที่ไม่ใช่สิ่งที่น่าละอาย แต่เป็นคุณสมบัติด้านบวกของความรู้สึกชาตินิยม และเป็นอีกด้านของเหรียญที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้รักชาติที่แท้จริง (ไม่ใช่รักชาติเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว)
เมื่อใดก็ตามที่คุณมีแต่ความรู้สึกรักชาติ ภูมิใจชาติ มองเห็นแต่ด้านดีงามของชาติเพียงอย่างเดียว ย่อมง่ายมากที่จะทำให้เรารู้สึกหลงในชาติของตัวเองมากจนเกินไปจนอาจทำในสิ่งที่ผิดได้
แต่ถ้าคุณมีความรู้สึกละอายในชาติของตนเองด้วย (เมื่อชาติทำในสิ่งที่ผิด) ความรู้สึกนี้จะกลายเป็นพลังอีกด้านที่สร้างสมดุล คอยตรวจสอบชาติว่ากำลังเดินไปในร่องในรอยที่ถูกต้องหรือไม่ และคอยตะโกนตักเตือนชาติเมื่อกำลังเดินหลงทาง
ในทัศนะของคนส่วนใหญ่ที่รักชาติเพียงด้านเดียวอย่างไม่เคยตั้งคำถาม อาจมองคนที่พูดถึงด้านลบของสิ่งที่ชาติได้สร้างขึ้นว่าเป็นความพยายามในการบ่อนทำลายชาติ แต่หากเราลองมองย้อนไปในประวัติศาสตร์ เราย่อมเห็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ ไม่ว่าชาติใดก็ล้วนแล้วแต่เคยกระทำสิ่งที่ผิดพลาดและน่าละอายด้วยกันทั้งสิ้น เพราะทุกปฏิบัติการใดๆ ของชาติล้วนมาจากมนุษย์ที่พร้อมจะทำผิดพลาดได้เสมอ ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องปกปิดหรือแอบซ่อนมัน
ฉันใดก็ฉันนั้น รัฐราชการไทยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาแม้จะสร้างคุณูปการมากมาย แต่ก็สร้างความผิดพลาดน่าละอายมากมายขึ้นด้วยเช่นกัน
การสร้างอนุสรณ์สถานแห่งความน่าละอายจะเข้ามาช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหานี้ได้ไม่มากก็น้อย หรือหากพูดตามนิยามของ อ.เบน ก็คือ อนุสรณ์สถานแห่งความน่าละอายนี้จะช่วยทำให้คนไทยเป็นผู้รักชาติอย่างแท้จริง
หากความฝันสามารถเป็นจริงได้ ผมอยากเสนอว่า อนุสรณ์สถานแห่งนี้ควรเริ่มต้นด้วยการทำโครงการประกวดแบบสาธารณะ และควรมีองค์ประกอบหลักอย่างน้อย 3 ส่วน ดังต่อไปนี้
หนึ่ง อนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ตึก สตง.ถล่ม ระบุชื่อ นามสกุล อายุ อาชีพ ไปจนถึงความใฝ่ฝันที่ต้องพังทลายลงไปพร้อมกับชีวิตของพวกเขา อาจออกแบบในลักษณะอนุสาวรีย์หรือพื้นที่ลักษณะพิเศษบางประการที่สามารถรีดเค้นความรู้สึกสะเทือนใจให้แก่ผู้มาเยี่ยมเยือน
สอง พิพิธภัณฑ์ที่พูดถึงโครงสร้างรัฐราชการไทยและความผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตลอดจนความเสียหายและความสูญเสียทั้งหมดจากการทำงานที่ผิดพลาด รวมไปถึงพื้นที่ที่พูดถึงการสร้างวัฒนธรรมความรู้สึกละอาย เน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการรู้สึกละอาย ตลอดจนการปลูกฝังวัฒนธรรมแห่งการรับผิดชอบต่อคนอื่นและต่อสังคม
สาม พื้นที่ลานกิจกรรมสำหรับจัดกิจกรรมทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับประเด็นของอนุสรณ์สถาน ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมรำลึกถึงเหตุการณ์ตึก สตง.ถล่ม หรือโศกนาฏกรรมอื่นๆ ที่เกิดขึ้นโดยรัฐ ซึ่งพื้นที่ส่วนนี้สามารถใช้เป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับคนทั่วไปได้ในเวลาเดียวกัน
แม้ผมจะพูดเสมอว่าแนวคิดนี้เป็นเพียงความฝันที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริง แต่อีกใจหนึ่งก็หวังอยู่ลึกๆ ว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น
เราไม่สามารถฟื้นชีวิตคนที่ตายไปแล้วขึ้นมาใหม่ได้ แต่เรามีสิทธิ์เต็มที่ที่จะกำหนดว่าความผิดพลาดเหล่านั้นจะถูกลืม หรือจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022