ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 พฤษภาคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | เรื่องสั้น |
เผยแพร่ |
เรื่องสั้น | ก้องกาล
‘ความลับในเสียงปืน’
1.
ท้องฟ้ายามบ่ายเริ่มครึ้มหม่น มวลเมฆสีเทาเคลื่อนตัวอยู่เบื้องบน บรรยากาศรายรอบดูซึมเซาเศร้าหมอง เมื่อเฮลิคอปเตอร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ลงจอด เสียงสะอื้นของป้าเริ่มแว่วดังอย่างกลั้นไม่อยู่ สองมือกอดรูปถ่ายของผู้วายชนม์อันเป็นที่รักไว้ตลอดเวลา แม่ผมที่ยืนอยู่ใกล้พลางเข้าตระกองกอด ขณะที่ลุง พ่อ และผมยังคงสะกดข่มความอาลัยเอาไว้ข้างใน
กระทั่งกองเกียรติยศของตำรวจได้เคลื่อนหีบศพสีขาวคลุมด้วยธงไตรรงค์ ภายในบรรจุร่างไร้ลมหายใจของตำรวจตระเวนชายแดนผู้กล้านายหนึ่งลงมายังลานกว้าง เสียงเป่าแตรที่แผดขึ้นมานั้นบีบหัวใจผมเหลือประมาณ ขณะนั้นราวกับว่าโลกทั้งโลกได้หยุดหมุนไปชั่วขณะ ระงมเสียงกรีดร้องของคนรอบข้าง ใครบางคนเคยว่าไว้ การตายที่น่ากลัวหาใช่การตายที่ไม่หายใจ ทว่า เป็นการตายไปจากความทรงจำของใครสักคนต่างหาก แต่กระนั้นการจากกันตลอดกาลของผมกับพี่อาร์ต เกิดขึ้นรวดเร็วเกินทำใจ และไม่เคยคิดเลยว่า ผมจะต้องมารับพี่ที่นี่
อยากบอกพี่ว่าผมภูมิใจที่เราได้เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ขอบคุณที่คอยเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เล็ก ตลอดจนความห่วงใยที่ผ่านพ่อมาในวันนั้น บางครั้งความเห็นต่างของผมกับพี่จะเสมือนม่านบางๆ กั้นขวางความผูกพันของเราเอาไว้บ้าง แต่ผมสัญญาว่าจะไม่มีวันลืมทุกเรื่องราว พี่อาร์ตจะยังเป็นฮีโร่ในใจ ผมอยากขอโทษในสิ่งที่เคยพูดเคยทำไม่ดีกับพี่เหลือเกิน
แต่จะมีประโยชน์อันใดอีก ในเมื่อตอนนี้พี่ได้จากพวกเราไปแล้ว…
2.
ผมเกิดที่กรุงเทพฯ เป็นลูกโทนของครอบครัว ด้วยความที่มีโลกส่วนตัวสูง ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครหากยังไม่สนิทกันดีพอ ประเภทเล่นคลุกคลีตีโมงด้วยกัน เพียงยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาก็สามารถนับคนได้ จะว่าไปแล้วเพื่อนคู่กายผมจริงๆ คือหนังสือ และมีแว่นสายตาสั้นเป็นอาวุธก็แค่นั้น ส่วนคนที่ผมใช้คำว่าสนิทสนมได้อย่างเต็มปาก เห็นจะมีเพียงพี่อาร์ตซึ่งเป็นลูกของลุง-พี่ชายคนเดียวของพ่อผม แม้เราเกิดปีเดียวกัน แต่ผมอ่อนเดือนกว่า ซึ่งไม่ได้สำคัญนัก เพราะถึงอย่างไรถ้านับกันตามลำดับญาติ เขามีศักดิ์เป็นพี่ของผมอยู่ดี
พี่อาร์ตเป็นคนร่าเริง คุยสนุก ชอบเล่นโลดโผน เขาอยากเป็นคนในเครื่องแบบทุกลมหายใจเข้าออกมาตั้งแต่เด็ก มีปืนพลาสติกเป็นอาวุธประจำกายกับชุดลายพรางตัวโปรด ช่วงปิดเทอมพ่อมักจะพาผมไปฝากไว้บ้านลุงที่นครปฐม ด้วยพ่อกับแม่ยังต้องออกไปทำงานข้างนอกเหมือนเช่นทุกวัน ไม่อยากปล่อยให้ผมอยู่บ้านลำพัง แม้เป็นเวลาที่ผมต้องละทิ้งโลกส่วนตัวชั่วขณะ แต่ก็ยอมรับว่าช่วงปิดเทอมแต่ละปีเป็นห้วงเวลาที่สุดหฤหรรษ์ เที่ยวเล่นหัวหกก้นขวิดกันไปทั่วละแวกบ้านอย่างสนุกสนานกระทั่งลืมเวลา เราสองคนเหมือนตัวติดกันตลอด จนคนแถวนั้นมักเข้าใจผิดว่าผมกับพี่อาร์ตเป็นพี่น้องคลานตามกันมาเสียด้วยซ้ำ
กระทั่งเกิดเรื่องขึ้นตอนปิดเทอมใหญ่ปีนั้น วันหนึ่งลุงกับป้าออกไปธุระข้างนอก ผมกับพี่อาร์ตสบโอกาสแอบขึ้นไปเล่นกันในห้องนอนของลุง แล้วบังเอิญเห็นปืนกระบอกหนึ่งวางอยู่ตรงหัวเตียง จึงเกิดความคิดเล่นโปลิศจับขโมยขึ้นในทันที เราผลัดกันสวมบทบาทเป็นตำรวจไล่ล่าอีกคนที่ต้องเป็นตัวโกง ตามอย่างในหนังที่เราเคยดูด้วยกัน แต่แล้วขณะที่เล่นกันอย่างสนุกนั้นปืนเกิดลั่นเปรี้ยงขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด เป็นจังหวะเดียวกับลุงและป้ากลับเข้าบ้านมาพอดี ตอนที่ทั้งสองคนหน้าตาตื่นมาถึงในห้องซึ่งอยู่ชั้นบนของบ้าน ปืนยังคาอยู่ในมือพี่อาร์ต เราสองพี่น้องกำลังอยู่ในอาการตกใจทำอะไรไม่ถูก เหงื่อตกหน้าซีด ยืนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
หลังทุกอย่างสงบลงและเราสองคนถูกอบรมเสียยกใหญ่ ผมได้ยินลุงคุยโทรศัพท์บอกพ่อว่าโชคดีที่กระสุนไม่โดนใครเข้า แต่ไปเจาะที่ตู้เสื้อผ้าเต็มๆ พี่อาร์ตถูกลุงฟาดก้นไปหลายที โทษฐานที่ชวนผมเข้าไปเล่นในห้องนอนลุงกับป้าทั้งที่เคยกำชับไว้แล้วว่าห้ามเข้าไปยุ่มย่าม และเป็นคนหยิบปืนของลุงมาเล่นจนได้เรื่อง…
ปิดเทอมต่อมาพ่อกับแม่ไม่ส่งผมไปอยู่บ้านลุงในช่วงปิดเทอมอีก นานๆ พ่อมีธุระต้องไปบ้านลุง หรือครอบครัวลุงเข้ามาในกรุงเทพฯ ผมถึงจะมีโอกาสได้พบพี่อาร์ต ทำให้ช่องว่างของเราเริ่มห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งตอนเรียนชั้นมัธยมผมติดเพื่อนอย่างหนัก พ่อแม่ชวนไปไหนผมก็มักหาทางปฏิเสธ จำได้ว่าครั้งหลังสุดที่ได้พบกันคือช่วงสงกรานต์เมื่อหลายปีก่อน ลุงกับพ่อนัดกันมาบ้านสวนของปู่ย่าที่เมืองจันท์
“ตกลงจบมัธยมแล้วจะไปเรียนต่อที่ไหน หือ เจ้าโอ๊ต” ลุงเอ่ยถามผมหลังรดน้ำขอพรปู่ย่า
“อยากเข้ารัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ครับลุง” ผมตอบติดตลกไปตามที่ตั้งใจไว้
“เข้าท่าแฮะ ลูกแม่โดมเสียด้วย ขอให้ได้สมใจนะ” ลุงเดินยิ้มเข้ามาหา ตบบ่าผมเบาๆ
“ขอบคุณครับ แต่ไม่รู้จะสอบได้หรือเปล่า” ผมขยับแว่น กลบเกลื่อนความไม่มั่นใจ
“แล้วเจ้าอาร์ตล่ะ เล็งๆ ที่ไหนไว้หรือยัง เตรียมตัวดีมีชัยไปกว่าครึ่งนะ” พ่อผมสลับถามลูกของลุงบ้าง
“ผมสอบนายร้อยมาหลายรอบ กินแห้วจนเหนื่อยแล้วครับอา” พี่อาร์ตบอกอย่างคนที่ท้อแท้เสียเต็มประดา “ตอนนี้อายุเกินจะสอบแล้วด้วย”
“เราเปลี่ยนทิศทางลมไม่ได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนใบเรือได้นะเจ้าอาร์ต” พ่อผมพูดให้คิด
“หมายความว่ายังไงครับอา”
“ก็ทำไมไม่ลองสอบนายสิบดูล่ะ เดี๋ยวนี้เขาเปิดทางให้นายสิบสามารถขึ้นเป็นนายร้อยได้เหมือนกัน” พ่อเฉลยให้กระจ่างขึ้น “ว่าแต่อยากเป็นทหารหรือตำรวจล่ะ”
“ผมอยากเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ครับ” พี่อาร์ตตอบด้วยแววตาวาวโรจน์
3.
เส้นทางชีวิตเป็นไปตามที่วาดฝัน ผมสามารถสอบเข้าคณะที่ต้องการได้สำเร็จ เวลาในรั้วมหาวิทยาลัยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ผมมาเป็นลูกแม่โดมได้สามปีแล้ว สถาบันเก่าแก่แห่งนี้ ได้บ่มเพาะให้ผมได้รู้สิทธิและหน้าที่ของพลเมืองที่พึงมีและเข้าใจคำว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงได้แจ่มชัดขึ้น ขณะที่เสียงคนรุ่นใหม่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนผมไม่ได้สนใจการเมืองมากนัก จุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมหันมาสนใจเรื่องการเมืองมากขึ้นคือโซเชียลมีเดีย มันทำให้ผมเข้าถึงข้อมูลหลากหลาย เหมือนกบได้ออกมาจากกะลาครอบเมื่อได้อ่านข้อมูลบางชุดที่ไม่เคยทราบมาก่อนจนนำไปสู่การตั้งคำถาม แสวงหาความเท่าเทียมและความยุติธรรมในประเทศ
หลังจากได้เบิกเนตร ผมจึงรู้ว่าขณะบ้านเมืองสงบนั้น ยังมีปัญหาที่ฝังรากลึกซุกใต้พรมอยู่อีกมากมาย ถึงเวลาแล้วที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ผมตัดสินใจเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มต่อต้านเผด็จการ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็นครั้งแรก พอไปอยู่ในที่ที่มีคนร่วมอุดมการณ์เดียวกัน ยิ่งรู้สึกว่าเสียงของเรามีค่า ถึงจะเป็นเพียงเสียงเล็กๆ และแม้จะเพิ่งไปม็อบครั้งแรกในชีวิต แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกฮึกเหิมน่าดู ขณะเดียวกันก็ถูกการเรียนและกิจกรรมรัดตัวจนแทบดิ้นไม่หลุด เช้าตรู่มามหาวิทยาลัย กลับถึงบ้านค่ำมืด บางครั้งก็โต้รุ่งที่คณะ ชีวิตวนเวียนอยู่เช่นนี้จนใครต่อใครเริ่มห่างหายไปจากชีวิต รวมทั้งพี่อาร์ต…
ผมทราบจากพ่อว่า หลังจบชั้นมัธยมปลายพี่อาร์ตไม่ได้สอบเข้ามหาวิทยาลัย เขายังมีเป้าหมายและจุดยืนชัดเจนเสมอ พอสำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดรับสมัครนายสิบตำรวจ เขาเลือกสังกัดตำรวจนครบาลอย่างไม่ลังเล แต่ปรากฏว่าไม่ผ่านการสอบข้อเขียน ความผิดหวังจากครั้งแรกไม่ได้ทำให้ย่อท้อแต่อย่างใด แต่ทำให้เขาตัดขาดจากทุกอย่างไปพักใหญ่ กระทั่งสอบนายสิบตำรวจได้ในปีถัดมา ครั้งนี้เขาเลือกสังกัดตำรวจตระเวนชายแดน ต้องฝึกหนักอยู่ราวหนึ่งปี จึงได้ไปประจำการที่ฐานปฏิบัติการ ตชด.ในอำเภอหนึ่งของจังหวัดยะลา
แล้ววันหนึ่งผมก็ได้พบกับพี่อาร์ตอีกครั้ง ทว่า เป็นการพบกันในอีกโลกหนึ่ง เขาจำชื่อเฟซบุ๊กผมได้ เราเป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊กได้ไม่ถึงสามวันก็เกิดเรื่อง ความขุ่นเคืองจากการปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมของเจ้าหน้าที่รัฐตอนไปม็อบ สั่งให้ผมโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กไปว่า
“มีตำรวจเอาไว้ทำไม”
เพียงไม่นานพวกเพื่อนๆ ของผมก็พากันเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างถล่มทลาย รวมทั้งข้อความของใครคนหนึ่ง
“เราต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ตำรวจก็มีหัวใจ”
ผมลืมคิดไปเลยว่าในสังคมออนไลน์ตรงนั้น มีตำรวจนายหนึ่งอยู่ด้วย นั่นเป็นครั้งแรกที่พี่อาร์ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นในพื้นที่ของผม แต่ก็ไม่อยากต่อคำตอบโต้กลับไป ครั้งนี้ผมพลาดจริงๆ ใจหนึ่งอยากขอโทษเขา แต่อีกใจก็บอกให้วางเฉยไปเลยจะดีกว่า สุดท้ายเพื่อตัดปัญหาผมจึงลบโพสต์นั้นไป
วันต่อมา ผมเห็นพี่อาร์ตโพสต์รูปถ่ายกำลังยืนกอดปืนยาวอย่างองอาจในชุดลาดตระเวน เบื้องหลังเป็นราวป่าและขุนเขากับเพื่อนอีกสองคนลงในเฟซบุ๊ก พร้อมกับข้อความ
“นักรบของพระราชา”
ถึงเวลาผมเอาคืนบ้างแล้ว ความคิดชั่วแล่นผลักดันให้ผมพิมพ์ข้อความสั้นๆ ไปใต้รูปนั้น
“แต่แผ่นดินเป็นของราษฎร”
ไม่มีการโต้ตอบใดๆ กลับมา หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่สามารถเห็นความเคลื่อนไหวในเฟซบุ๊กของเขาได้อีก!
4.
ดอกไม้ในหัวใจผมกำลังบานเบ่งเต็มที่ เมื่อได้ร่วมต่อสู้เพื่อความถูกต้องในสังคมครั้งนี้ แต่แล้วจู่ๆ กลับพลันต้องเหี่ยวเฉาลงทันที เมื่อพ่อออกคำสั่งประกาศิตห้ามผมไปร่วมชุมนุมที่แยกราชประสงค์ในเย็นวันนั้นอีก ทั้งที่แต่ก่อนพ่อไม่เคยคัดค้านความคิดของผมเลย กลับส่งเสริมการชุมนุมเรียกร้องอย่างสันติของพวกผมเสียด้วยซ้ำ ในขณะที่แม่ยังแบ่งรับแบ่งสู้มาตลอด
“ทำไมล่ะครับ ก็พ่อเป็นคนบอกผมเองไม่ใช่หรือ ว่าสังคมอยู่ได้ด้วยความต่าง ถ้าเราทุกคนคิดทำอะไรเหมือนๆ กันทั้งหมด แล้วจะเรียกวิถีที่เราอยู่ร่วมกันว่าสังคมประชาธิปไตยได้ยังไงกัน” ผมจ้องเขม็งเพื่อค้นหาเหตุผลที่แท้จริงในดวงตาพ่อ
“แกไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น เอาเป็นว่าครั้งนี้พ่อขอก็แล้วกัน” พ่อพูดตัดบทเสียงกร้าว ก่อนผละไป
“วันนี้อย่าไปเลยนะลูก เชื่อพ่อเขาเถอะนะ” แม่สำทับด้วยแววตาห่วงใย
เย็นวันนั้นผมจึงทำได้เพียงติดตามสถานการณ์การชุมนุมจากรายงานสดทางโทรทัศน์และเฟซบุ๊กไลฟ์ ทั้งที่หัวใจไปอยู่กับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่แยกราชประสงค์แล้ว แม้ว่าในเวลาต่อมา แกนนำได้แจ้งเปลี่ยนสถานที่ชุมนุมไปยังแยกปทุมวันก็ตาม
ครั้งนี้ผู้ชุมนุมพร้อมใจกันมาตั้งแต่บ่าย ยิ่งเย็นย่ำผู้คนยิ่งเนืองแน่น ไม่เพียงนิสิต นักศึกษา ประชาชน น้องๆ นักเรียนขาสั้นคอซองก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป แกนนำผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปราศรัยบนเวทีอย่างคึกคัก จนล่วงเข้าสู่กลางคืน กิจกรรมดำเนินไปกระทั่งหมดเวลาที่ได้รับอนุญาต แต่ผู้ชุมนุมก็ยังคงรวมตัวกันเหนียวแน่นไม่ยอมแยกย้าย แล้วสิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเริ่มมีปฏิบัติการสลายการชุมนุม ด้วยการกระชับวงล้อมเพื่อยึดคืนพื้นที่ โดยเหล่าตำรวจควบคุมฝูงชนและตำรวจ ตชด. เป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่กระทบกระทั่งกัน เกิดความชุลมุนขึ้นหลายจุดจนน่าหวั่นใจ ก่อนที่สายน้ำสีฟ้าแรงดันสูงจากรถจีโน่สีน้ำเงินคันใหญ่พุ่งเข้าใส่ผู้ชุมนุมระลอกแล้วระลอกเล่า ผมเห็นผู้ชุมนุมพากันถอยหนีกระเจิดกระเจิง จนในที่สุดแกนนำต้องตัดสินใจประกาศยุติการชุมนุม
ตลอดทั้งคืนผมเฝ้าติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด เห็นผู้ร่วมชุมนุมหลายคนได้รับบาดเจ็บ แล้วรู้สึกเจ็บปวดไปด้วย เพื่อนผมหลายคนถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวฐานก่อความวุ่นวายและฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมือง
ผ่านไปราวสัปดาห์ ไม่มีการชุมนุมใดๆ อย่างที่ผ่านมาอีก ดูเหมือนว่าต่างฝ่ายต่างยอมถอยกันคนละก้าว เพื่อนผมที่ถูกจับได้รับการปล่อยตัว บ่ายแก่ๆ วันหนึ่งที่มหาวิทยาลัย พ่อส่งข้อความทางไลน์มาบอกผม
“พี่อาร์ตเสียแล้ว โดนระเบิดผู้ก่อการร้าย พ่อกำลังจะไปบ้านลุง เรียนเสร็จแล้วรีบกลับบ้านนะลูก”
วินาทีนั้นผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ต้องอ่านทวนข้อความช้าๆ อีกรอบ ความตกใจเข้าจู่โจมจนแทบหยุดหายใจ รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว พอตั้งสติได้ผมจึงติดตามข่าวต้นชั่วโมงทางออนไลน์ กำลังมีสื่อช่องหนึ่งรายงานว่า กลุ่มคนร้ายกดระเบิดสังหารตำรวจตระเวนชายแดนในจังหวัดยะลาขณะออกลาดตระเวน แล้วถล่มยิงซ้ำอย่างเหี้ยมโหดทำให้ ตชด.บาดเจ็บสามนาย และเสียชีวิตหนึ่งนายคือ…
ชื่ออันคุ้นเคยนั้นก้องดังอยู่ในโสตซ้ำๆ อีกเนิ่นนาน ความเศร้าหดหู่เข้าเล่นงานผมแทบทรุดทั้งยืน ความรู้สึกหลายอย่างประเดประดังกันเข้ามาเกินตั้งรับ ที่ผ่านมาผมเห็นข่าวเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้จนชาชิน อาจมีบ้างที่รู้สึกเศร้าสลดใจ เบื่อหน่ายกับความรุนแรงที่ไม่จบสิ้นเสียที ไม่เคยเข้าใจถึงหัวอกของคนที่ต้องสูญเสียและได้รับผลกระทบ เพราะเกิดกับคนที่ไม่ใช่ญาติ แต่พอเกิดขึ้นกับญาติใกล้ชิด ผมจึงรู้ซึ้งถึงความสูญเสียนั้นได้เป็นอย่างดีแล้ว
แม่นั่งเงียบอยู่ในห้องรับแขกคนเดียวด้วยสีหน้าทุกข์ระทมตอนผมเข้าบ้านมา พ่อคงบอกข่าวพี่อาร์ตแล้ว นาทีนี้ผมก็เศร้าใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าแม่ แต่เรื่องราวที่แม่บอกผมต่อมานั่นต่างหาก ที่ทำให้ผมยิ่งเสียใจทบทวี
“โอ๊ตจำวันที่มีม็อบตรงแยกปทุมวันได้มั้ย วันนั้นพี่อาร์ตถูกเรียกกำลังขึ้นมาสมทบในชุดควบคุมฝูงชนด้วย พี่อาร์ตหวั่นใจว่าอาจมีคำสั่งสลายการชุมนุม เหตุการณ์มีแนวโน้มบานปลายจนเกิดความรุนแรง จึงส่งไลน์มาบอกให้พ่อเบรกลูกไว้ อย่าให้ออกไปร่วมชุมนุม”
5.
ผมได้แต่นิ่งงัน หนาวสะท้านไปถึงหัวใจ เมื่อได้รับรู้ว่านอกจากพ่อกับแม่แล้ว ยังมีพี่อาร์ตอีกคนหนึ่งที่คอยเป็นห่วงผมอยู่ หากเย็นวันนั้นผมอยู่ร่วมชุมนุมเหมือนทุกครั้ง ผมคงถูกจับพร้อมกับเพื่อนขณะสลายการชุมนุม เพราะผมก็เป็นหนึ่งในแกนนำเช่นกัน
ภาพความรักความผูกพันชิ้นเล็กๆ ค่อยปะติดปะต่อขึ้นเป็นภาพใหญ่ เมื่อหวนคิดถึงความสุขในอดีตที่ผมเผลอลืมเลือนไปแล้ว ขณะบางเรื่องราวยังคงฝังแน่นอยู่ในส่วนลึกของใจ และความรู้สึกผิดยังคงอยู่
ปิดเทอมใหญ่ปีนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะผมที่เป็นคนรบเร้าพี่อาร์ตให้ขึ้นไปเล่นในห้องลุง ทั้งที่พี่ไม่เอาด้วยในตอนแรก ไม่ใช่เพราะผมที่ซุกซนไปคว้าปืนกระบอกนั้นจากหัวเตียงมาเล่นจนปืนลั่นคามือ กระสุนพุ่งเฉียดพี่ไปอย่างหวุดหวิด พี่ก็คงไม่ถูกลุงกับป้าดุและโดนทำโทษอย่างหนัก ทั้งที่จริงคนต้องรับผิดชอบสิ่งนั้นควรเป็นผม ผมไอ้คนขี้ขลาดตาขาวที่รีบยัดปืนที่เพิ่งทำลั่นกับมือ ใส่ในมือพี่ตอนลุงกับป้าเข้ามาในห้องพอดี แต่พี่อาร์ตก็ยืดอกรับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ปริปากปฏิเสธ คงเก็บความลับไว้ในเสียงปืนตลอดมา
และถึงแม้ที่ผ่านมาเส้นทางเดินของเราเหมือนเส้นขนาน ทว่า ครั้งหนึ่งก็เคยบรรจบพบกัน เพียงแต่บางอย่างทำให้ผมหลงลืมมันไป ขณะที่พี่อาร์ตยังเป็นพี่ชายที่แสนดีอยู่เสมอ พลันผมรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ ในตา กำลังเอ่อล้นออกมาอย่างไม่อาจหักห้ามได้… •
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022