การปกครองเปลี่ยน-แฟชั่นปรับ : แฟชั่นสมัยคณะราษฎร-สงคราม (3)

ณัฐพล ใจจริง

My Country Thailand | ณัฐพล ใจจริง

 

การปกครองเปลี่ยน-แฟชั่นปรับ

: แฟชั่นสมัยคณะราษฎร-สงคราม (3)

 

นับแต่การปฏิวัติ 2475 คณะราษฎรได้เปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งกายชายจากแบบเดิมนุ่งโจงกระเบนมาสู่การแต่งกายแบบสากล

(ขุนวิจิตรมาตรา, 2523, 374)

 

กางเกงขายาวกับการปฏิวัติ 2475

ไม่แต่เพียงความคล่องแคล่วฉับไวในการปฏิบัติงานจากการสวมกางเกงขายาวกลายเป็นสิ่งที่ข้าราชการคนหนึ่งที่อยู่บนรอยต่อของระบอบเก่าและใหม่เล่าไว้เท่านั้น แต่ยังสะท้อนความเป็นสมัยใหม่ (modernity) ให้กับผู้สวมใส่ที่สร้างความประทับใจให้แก่ข้าราชการรุ่นใหม่เช่นเขาอย่างมาก ดังที่เขาเล่าว่า เมื่อครั้งที่เขารับราชการในสมัยการปกครองแบบราชาธิปไตยว่า

“ผมต้องแต่งตัวไปทำราชการด้วยเสื้อคอปิด กระดุม 5 เม็ด นุ่งผ้าม่วง สวมถุงน่องรองเท้า ซึ่งผมขอเรียนตรงๆ ว่า มันรุ่มร่ามและรำคาญเป็นอย่างยิ่ง… รุ่งอรุณของวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ผมได้เห็นเหตุการณ์การปฏิวัติของคณะผู้ก่อการปฏิวัติ ที่เรียกตัวเองในขณะนั้นว่า คณะราษฎร ทั้งทหารและพลเรือน ทหารแต่งเครื่องแบบทหาร แต่พลเรือนนุ่งกางเกงขายาวกันทุกคน ผมชักชอบ เพราะเห็นเขาเหล่านั้นกระโดดขึ้น-ลงจากรถยนต์บรรทุกแบบกระบะอย่างคล่องแคล่วว่องไวดี คณะราษฎรเมื่อทำการยึดอำนาจได้สำเร็จก็ประกาศให้มีการปกครองแบบประชาธิปไตย เป็นการตื่นเต้นอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นครั้งแรกในชีวิตของเด็กหนุ่ม

สำหรับตัวผม และเพื่อนๆ ข้าราชการรุ่นเดียวกัน ขอเรียนว่า ผมได้วิ่งดูเขาทำการปฏิวัติกันตั้งแต่เช้าจนดึก ไม่ยอมไปทำงานและกลับบ้าน ขอเรียนตรงๆ ว่า พวกผมนิยมชมชอบ-เลื่อมใส-บูชาคณะราษฎรในฐานะวีรบุรุษทีเดียว ต่อมาผมกับเพื่อนมีโอกาสสลัดผ้าม่วงออกจากเครื่องแบบมาเป็นนุ่งกางเกงขายาวสีขาว สวมเสื้อกระดุม 5 เม็ด เปลี่ยนถุงเท้ายาวถึงหัวเข่ามาเป็นถุงเท้าสั้น รองเท้าหนังราคาแพงคู่ละ 3 บาท มาเป็นรองเท้าผ้าใบราคาถูก คู่ละ 50 สตางค์ ผมว่าการนุ่งกางเกงขายาวทำงานคล่องตัวดีกว่านุ่งผ้าม่วง…” (จรูญ เสตะรุฐิ, 2507, 52-53)

ภายหลังการปฏิวัติการแต่งกายแบบสากลนั้นเป็นที่นิยมในหมู่ข้าราชการ ความรู้สึกนึกคิดของชายหนุ่มสมัยนั้น เห็นว่า ชุดราชปะแตนและโจงกระเบนเป็นสิ่งล้าสมัย ไม่เหมาะกับระบอบใหม่อีกต่อไป ดังที่ สังข์ พัธโนทัย ครูจากนครเขื่อนขันธ์ (เมืองสมุทรปราการ) ต่อมาเป็นคนจัดรายการนายมั่น-นายคงของกรมโฆษณาการในช่วงสงคราม เล่าว่า “การนุ่งผ้าม่วงกำลังเสื่อมสูญไปตามธรรมชาติของมัน ใครนุ่งผ้าม่วงชักจะดัดจริตกรีดนิ้วหยิบโหย่งขึ้นมาทันที” สำหรับตัวเขาเองแล้ว เขาเลิกนุ่งผ้าม่วงมาตั้งแต่ย้ายมาทำงานที่กรมโฆษณาการราว 2481 แล้ว (สังข์ พัธโนทัย, 2499, 243)

จากนั้น ข้าราชการและสุภาพชนชายก็ทยอยเปลี่ยนไปสวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาวแบบสากลด้วยไม่ต้องการ “ดัดจริตหยิบโหย่ง” ตามสายตาของคนในยุคนั้น

คณะรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลจอมพล ป. แต่งกายด้วยชุดสากล สวมกางเกงขายาวแทนโจงกระเบน

แต่งตัวให้ชาติไทยใหม่

ปี 2482 ไม่กี่ปีภายหลังการปฏิวัติ 2475 ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. เขามีจดหมายถึงหลวงวิจิตรวาทการ ว่า เขาเห็นด้วยกับแนวคิด “มนุสสปฏิวัติ” ของหลวงวิจิตรฯ ที่เสนอว่า ไทยจำต้องมีการปฏิวัติในทางวัฒนธรรมของประชาชนให้สอดคล้องกับระบอบการปกครองด้วย โดยจอมพล ป.เสริมว่า การปฏิวัติ 2475 นั้นเป็นเพียงการเปิดฉากแรกเพียงเล็กน้อยของการปฏิวัติที่จะสร้างประโยชน์ให้ประชาชน หากการปฏิวัติที่สร้างประโยชน์อย่างแท้จริงแล้วนั้น ต้องปฏิวัติที่ตัวบุคคลด้วย (ป.พิบูลสงคราม, 2482)

ดังนั้น สำหรับระบอบประชาธิปไตยแล้ว ประชาชนหาใช่เส้นผมหรือเส้นขนของร่างกายของบ้านเมืองตามคติครั้งการปกครองเดิม แต่ประชาชนประกอบกันขึ้นเป็นชาติ (Nation) และชาติที่แข็งแกร่งจำเป็นต้องมีพลเมืองที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายที่เข้มแข็งและจิตใจที่แจ่มใส ตามนโยบายการสร้างพลเมืองใหม่ของคณะราษฎรที่สืบต่อมาจากรัฐบาลพระยาพหลฯ และนโยบายสร้างชาติของจอมพล ป. ที่ได้เริ่มต้นขึ้นในต้นทศวรรษ 2480 นั่นเอง

สังข์เล่าว่า หลังสงครามอินโดจีน (2483) เมื่อรัฐบาลจอมพล ป.สามารถทวงดินแดนที่ระบอบเก่าเคยสูญเสียให้กับฝรั่งเศสไปเมื่ออดีตได้แล้ว จอมพล ป.มีความคิด “ปฏิวัติ” เครื่องแต่งกายประชาชนใหม่ เป็นการแสดงความก้าวหน้าของวัฒนธรรมไทย ช่วงนั้นเกียรติคุณของจอมพล ป.สูงเด่น รัฐบาลจะนำการเปลี่ยนแปลงอะไร ประชาชนย่อมคล้อยตามไม่ยากนัก จากนั้น โครงการปฏิวัติการแต่งกายก็ค่อยๆ ดำเนินไปอย่างช้าๆ (สังข์ พัธโนทัย, 2499, 242)

ช่วงเวลานั้น ชายไทยนิยมนุ่งผ้าม่วงไปทำงาน เวลาเที่ยวจะนุ่งกางเกงแพรดอกหลายสี คนหนุ่มมักนุ่งกางเกงแพรแบบแผลงๆ ด้วยการนุ่งดึงให้สูงถึงอก ส่วนหากอยู่บ้าน บางคนนุ่งหยักรั้ง บางคนนุ่งแต่กางเกงใน หรือไม่ก็นุ่งผ้าขาวม้า ไม่ใส่เสื้อ ส่วนผู้หญิงนุ่งซิ่นหรือผ้าถุง หรือสวมเสื้อแขนกระบอกนุ่งโจงกระเบน หรือใช้ผ้าเตี่ยวผืนเดียวคาดอก เวลาอยู่บ้านใส่เสื้อชั้นในตัวเดียว บางคนเปลือยท่อนบนไม่สวมเสื้อเลย ทั้งชายและหญิงไม่นิยมสวมรองเท้า (แถมสุข นุมนนท์, 2544, 80)

เสื้อราชปะแตนและโจงกระเบน คือชุดของข้าราชการและสุภาพชนครั้งระบอบเก่า

โครงการเปลี่ยนการนุ่งกางเกงแพร

เป็นกางเกงขายาว

ในช่วงเวลานั้น รัฐบาลเริ่มประกาศรัฐนิยม เริ่มตั้งแต่ (2482) การเปลี่ยนชื่อประเทศ ประชาชนและสัญชาติจากสยามให้เป็นไทย การส่งเสริมให้ใช้สินค้าไทย การช่วยกันสร้างชาติ เริ่มเกิดกระแสชาตินิยมขึ้น แต่ขณะนั้น แฟชั่นของข้าราชการและประชาชนนิยมนุ่งการเกงแพรดอกสีต่างๆ ออกนอกบ้าน ด้วยชาวบ้านชายทั่วไปตั้งแต่ระบอบเก่านิยมนุ่งกางเกงแพรของจีนมายาวนาน “จนกางเกงแพรดอกจะกลายเป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติไทยไปอยู่แล้ว” (สังข์ พัธโนทัย, 2499, 243)

สังข์เล่าว่า ในช่วงก่อนการปฏิวัติการแต่งกายของคนไทยสมัยรัฐนิยมนั้น แฟชั่นการแต่งกายทั้งชายและหญิงขณะนั้นดูโกลาหล แต่งตัวกันแบบแผลงๆ เพราะผู้ชายนิยมนุ่งกางเกงแพรสีฉูดฉาด โดยเฉพาะวัยรุ่นนั้น ครั้งนั้นเรียกกันว่า “พวกเคาบอย” ยิ่งแต่งตัว “เจี๊ยวจ๊าวใหญ่” (สังข์, 243-244)

สมัยนั้น ชายไทยมักนิยมนุ่งกางเกงแพรดอกสีต่างๆ ออกจากบ้าน จนทำให้กางเกงแพรลายดอกกลายเป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติไปแล้ว พ่อค้าสั่งกางเกงแพรลายดอกจากจีนเป็นส่วนใหญ่ ช่วงหลังมีการสั่งทำลายดอกให้เป็นแบบไทย เป็นลายดอกไม้และภาพในเรื่องรามเกียรติ์ การแต่งกายของไทยจึงเป็น “เมืองแฟนซี” อยู่กลายๆ เพราะผู้ชายนิยมนุ่งกางเกงแพรสีฉูดฉาดออกนอกบ้านแข่งขันกับการแต่งกายของผู้หญิง ยิ่งหนุ่มๆ วัยรุ่นยิ่งนุ่งกางเกงแพรให้แผลง

เช่น นุ่งกางเกงแพรขึ้นไปกระโจมอก เป็นการอุจาดตาและหมดความมีสง่าราศีของประเทศ (สังข์, 242-244)

พล ป. และสังข์ พัธโนทัย

กางเกงแพรที่ชายหนุ่มสมัยนั้นนุ่งมักเป็นภาพลายไทยเป็นส่วนใหญ่ ลายและผ้าที่นิยมกันมีดังนี้ เมขลารามสูร ล้อมีปีก กินรี เสือมังกร หนุมาน มัจฉา เทพนม เทพอักษร ไผ่ฮัก ผู้หญิงขี่หงส์ กอบัว นกยูงรำแพน แพรขาว แพรดำมะเกลือ แพรปังลิ้น (แพรซังอาปังลิ้น) แพรญวน เป็นต้น

ส.อาสนจินดา เล่าว่า ในสมัยเขายังอยู่วัยหนุ่มช่วงต้น 2480 หรือก่อนสมัยรัฐนิยมนั้น เขานุ่งการเกงแพรลายไผ่ฮัก สวมเสื้อนอกคอปิดตัดด้วยแพรฝรั่งเศส สวมหมวกบอสซาลิโน่และรองเท้าสลิปเปอร์ ซึ่งมันคือรองเท้าใส่นอนของฝรั่ง เป็นชุดไปเที่ยวและเดินตามที่สาธารณะ (ส.อาสนจินดา, 2536, 197) อันจะเห็นได้ว่า การแต่งกายของชายไทยสมัยนั้นอยู่ในลักษณะโกลาหลดังที่สังข์เล่ามาข้างต้น

แม้รัฐบาลจอมพล ป.สามารถพิชิตฝรั่งเศสในสงครามอินโดจีนจนสามารถทวงดินแดนคืนมาได้ แต่ความคิด “ปฏิวัติ” เครื่องแต่งกายประชาชนใหม่ที่จะแสดงความก้าวหน้าของวัฒนธรรมไทยนั้น รัฐบาลจะโน้มน้าวจิตใจชายไทยให้เปลี่ยนแปลงค่านิยมตามที่รัฐต้องการได้อย่างไร

ติดตามต่อในตอนหน้า

จดหมายของจอมพล ป.ถึงหลวงวิจิตรฯ ที่แสดงความเห็นด้วยกับปาฐกถามนุสสปฏิวัติ (2482)
ชายหนุ่มสมัยนั้นยังคงนุ่งโจงกระเบนและกางเกงแพร
ชายหนุ่มครั้งระบอบเก่า-ต้นระบอบใหม่ นิยมสวมกางเกงแพรจีน
ชายหนุ่มสวมเสื้อราชปะแตนและนุ่งกางเกงแพร ช่วงปลายทศวรรษ 2470