ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 พฤษภาคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความต่างประเทศ
50 ปีอวสานไซ่ง่อน
มรดกอำมหิตแห่งอุษาคเนย์
30 เมษายน อาจเป็นวันธรรมดาวันหนึ่งสำหรับคนทั่วไป แต่ไม่มีทางเป็นวันสามัญดาด-ดาด สำหรับคนเวียดนามและอเมริกันส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะในส่วนของผู้คนใน “เจเนอเรชั่น สงคราม” ที่หมายถึง สงครามเวียดนาม การศึกที่อำมหิต เลือดเย็นที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สงครามของโลกเมื่อกว่ากึ่งศตวรรษที่ผ่านมา
เนื่องเพราะในวันที่ 30 เมษายน 1975 หรือเมื่อ 50 ปีมาแล้ว กองกำลังเวียดนามเหนือกรีธาทัพเข้ายึดครองไซ่ง่อน เมืองหลวงของเวียดนามใต้ โดยปราศจากการต่อต้านใดๆ
สถานทูตสหรัฐอเมริกาในกรุงไซ่ง่อน กลายเป็นศูนย์กลางของการอพยพฉุกเฉินทางเฮลิคอปเตอร์เป็นครั้งสุดท้ายในสภาพโกลาหลอลหม่านสุดขีด
ประมาณกันว่า ผู้คนไม่น้อยกว่า 7,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวเวียดนาม หลบหนีออกมาโดยเฮลิคอปเตอร์ในวันนั้น จุดหมายปลายทางคือศูนย์ผู้อพยพที่ไหนสักแห่ง ไม่เป็นในประเทศไทยก็เป็นฟิลิปปินส์
เฮลิคอปเตอร์ลำสุดท้ายออกเดินทางจากหลังคาของสถานทูตเมื่อเวลา 07.35 น. ของวันที่ 30 เมษายน 1975 วันที่สงครามเวียดนามสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ ทั้งโดยนิตินัยและพฤตินัย
สงครามเวียดนาม กินเวลายาวนานกว่า 20 ปี คร่าชีวิตชาวเวียดนามจากทั้งทางเหนือและใต้ไปอย่างน้อย 3 ล้านคน พร้อมกับคนอเมริกันอีกเกือบ 60,000 คน ที่ส่วนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหารในกองทัพ
สำหรับพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม พรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวในประเทศในเวลานี้ 30 เมษายนจึงไม่เพียงแค่เป็นวันแห่งอวสานของทางการไซ่ง่อนเท่านั้น หากแต่ยังเป็นวันแห่งการ “เผด็จศึกทรราช” และเป็นจุดเริ่มต้นของการ “รวมชาติ” เป็นปึกแผ่นอีกครั้ง โดยมีฮานอยเป็นเมืองหลวง
แต่สำหรับบรรดาผู้ที่เคยทำงานและใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเวียดนามใต้ พันธมิตรที่สหรัฐอเมริกาหนุนหลัง โดยเฉพาะบรรดาข้าราชการพลเรือน ทหาร นักธุรกิจทั้งหลาย 30 เมษายนเมื่อ 50 ปีก่อน ไม่เพียงเป็นวันที่โลกของพวกเขาพังทลายลงเท่านั้น ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการวิ่งเต้น หาหนทางหลบหนี
ยินดีไปตายเอาดาบหน้ามากกว่าการทนกล้ำกลืนใช้ชีวิตอยู่ภายใต้คอมมิวนิสต์เวียดนาม
กว่า 20 ปีที่ผ่านมา เลือดไหลนองมากจนเกินไป ชีวิตต้องสูญเสียไปมากมายเหลือหลาย มากเกินไปจนไม่อาจอภัยให้กันและกันได้ อย่าว่าแต่จะใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสันติหลังสงครามเลย
ในขณะที่ผู้คนอีกส่วนหนึ่งตัดสินใจออกเดินทางไกลจากดินแดนที่เป็นมาตุภูมิ เพราะเกรงว่าจะถูกลงทันฑ์ ถ้าหากยังคงอยู่ในเวียดนามหลังสงครามสิ้นสุดลง
สงครามเวียดนาม เช่นเดียวกับสงครามในลาวและกัมพูชา คือสงครามระหว่างลัทธิและอุดมการณ์ทางการเมือง สหรัฐอเมริกาเข้ามาหนุนหลังฝ่ายหนึ่งในมหาสงครามอินโดจีนนี้ ในขณะที่สหภาพโซเวียตและจีนหนุนหลังอีกฝ่ายหนึ่ง
และไม่ว่าใครจะชนะหรือพ่ายแพ้ ความสูญเสียที่เกิดขึ้นมากมายมหาศาล นอกเหนือจาก 3 ล้านคนในเวียดนาม ผู้คนในลาวและกัมพูชาอีกอย่างน้อย 1.4 ล้านคนเสียชีวิตลงภายใต้การทิ้งระเบิดแบบปูพรมของฝ่ายอเมริกัน
ในเวียดนามหลังสงครามหมาดๆ ชัยชนะหรือพ่ายแพ้ดูเหมือนไม่สำคัญอีกต่อไป สำหรับกองกำลังคอมมิวนิสต์เวียดนามผู้กำชัย สภาพภูมิประเทศและพื้นที่ส่วนใหญ่กลายเป็นซากปรักหักพัง เพราะอิทธิพลของระเบิดทรงอานุภาพจากสหรัฐอเมริกา เส้นทางรถไฟใช้การไม่ได้ ถนนสายสำคัญหากไม่เต็มไปด้วยหลุมระเบิดก็ถูกขุดทำลาย
เศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในสภาพกระเสือกกระสน ด้วยเหตุที่ว่าสงครามหนนี้เกิดขึ้นไม่นานหลังจากศึกต่อสู้เพื่อกู้เอกราชจากเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสที่กินเวลานานหลายสิบปีในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ผ่านพ้นไปไม่นานนัก
โครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคในตัวเมืองในเวียดนามตอนใต้ เสียหายน้อยกว่า อยู่ในสภาพดีกว่ามาก แต่นอกเมืองออกไป ในพื้นที่ชนบทซึ่งเป็นแนวรบสำคัญในสงครามกองโจรระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้อันเป็นหัวใจของการสู้รบครั้งนี้ กลับตรงกันข้าม
พื้นที่ป่าและพื้นที่เพาะปลูก กลายเป็นพิษจากอิทธิฤทธิ์ของ “ฝนเหลือง” สารเคมีที่ฝ่ายอเมริกันหว่านโปรยลงมาจากเครื่องบิน เป้าหมายเพื่อทำลายต้นไม้และป่า ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามใช้กำบัง อำพราง
คนเวียดนามหลายล้านคนได้รับผลกระทบจากสารเคมีอำมหิตนี้ รวมทั้งเด็กๆ อย่างน้อย 150,000 คนที่เกิดมาพร้อมกับภาวะบกพร่องทางกาย พิการทางสมอง และพัฒนาการบกพร่อง
ฝนเหลืองยังคงเป็นอันตราย สร้างพิษภัยของมันอยู่จนถึงเวลานี้ เพราะซึมลึกลงไปฝังแน่นอยู่ในพื้นดิน
วันอวสานของไซ่ง่อน ยังถือเป็นจุดเริ่มต้นของการแยกจากการแตกฉานซ่านเซ็นของคนเวียดนาม ส่วนหนึ่งถูกแยกออกจากครอบครัว ส่งไปยังค่าย “เพื่อรับการศึกษาใหม่”
อีกส่วนหนึ่งกลายเป็น “ผู้อพยพถาวร” อยู่ในประเทศตะวันตก อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย เยอรมนี และแคนาดา หลังจากดิ้นรนหลบหนีออกมาอย่างทุลักทุเลและยากลำบาก กลายเป็น “คนเรือ” รอนแรมอยู่ในเรือปุโรทั่ง โกโรโกโส และใช้ชีวิตช่วงหนึ่งอยู่ในศูนย์อพยพในละแวกใกล้เคียง รวมทั้งในไทยและฟิลิปปินส์
ผู้อพยพจากเวียดนาม ส่วนใหญ่ถึงดินแดนตะวันตกในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัว ต้องดิ้นรนทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอด เลี้ยงครอบครัวให้ได้ไปวันๆ
อดีตที่ขมขื่นและเจ็บปวดถูกฝังลึกไว้ในใจ เป็นฝันร้ายที่พยายามลบเลือน แต่ไม่มีวันจางหายไป ชีวิตใหม่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย เหงาหงอยจากการต้องปรับตัวเข้ากับดินแดนแปลกหน้า ภาษาที่ไม่คุ้นเคย
ผู้คนที่ไม่เข้าใจ “โลก” ในส่วนที่พวกเขาจากมากะทันหัน เหมือนหญ้าที่ถูกดึงทึ้งออกมาจากผืนดินแบบถอนรากถอนโคน
หลายครอบครัวของผู้อพยพเหล่านี้ เลือกที่จะไม่พูดถึงอดีต ไม่ปริปากถึงประสบการณ์ การสูญเสีย การต่อสู้ดิ้นรนในสภาพอดมื้อกินมื้อที่ผ่านมา ความคิด ความรู้สึกทำนองนี้ถูกส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่น ในความคิดของพวกเขา
สงครามไม่เพียงทำลายล้าง ยังปิดกั้นส่วนเสี้ยวหนึ่งของชีวิตตัวเองไปด้วยอย่างเงียบงัน
อเมริกันเชื้อสายเวียดนามบางคนยังรู้สึกได้ว่า ถูกจับจ้องมองมาจากรอบตัวในแบบที่ผิดแผกแตกต่างไปจากธรรมดา
แคท เหงียน กวีอเมริกันเชื้อสายเวียดนาม ระบุว่า บ่อยครั้ง คนเวียดนามในสังคมที่นั่น ถ้าไม่ถูกมองว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นอันตราย เป็นภัยคุกคาม ก็เป็นผู้อพยพที่ไร้ประโยชน์ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
เวียต ทันห์ เหงียน นักเขียนอเมริกันเชื้อสายเวียดนามเช่นกัน บอกว่า ผู้อพยพจากเวียดนาม พยายามสอดแทรกเข้าไปในทุกโอกาส ไม่ว่าจะน้อยนิดเพียงใด ที่เปิดให้เข้าถึง “อเมริกันดรีม” แต่จนแล้วจนรอด พวกเขาก็ยังเป็น “อเมริกันไม่มากพอ” อยู่นั่นเอง
50 ปีผ่านไป สงครามยังทิ้งความเจ็บปวดรวดร้าว ทารุณลึกไว้ในจิตใจผู้คนได้มากมายถึงเพียงนี้
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022