ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 พฤษภาคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
เผยแพร่ |
รายงานพิเศษ
ส่องเก้าอี้ ‘บิ๊กอ้วน’
ไยจึงแข็งแกร่ง
แม้มี 5 ชื่อ ชิง ‘สนามไชย 1’
จับ ‘สัญญาณหวาน’
‘ผบ.ปู-สหายใหญ่’
แม้จะมีกระแสข่าว 2 ทิศทาง ในการเปลี่ยนตัว รมว.กลาโหม แต่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ไม่ได้สะทกสะท้าน
แต่ก็สะท้อนร่องรอยปัญหาในพรรคเพื่อไทย และในกองทัพ
กระแสข่าวที่นายภูมิธรรมเรียกว่า ข่าวลือ ข่าวลอย คือ การปรับ ครม. ให้ไปควบ รมว.พาณิชย์ตามเดิม จนนายภูมิธรรมออกตัวว่า “เพิ่งมาทำหน้าที่ได้ 6 เดือนกว่า จะไล่กันแล้วเหรอ ผมอยู่ที่ไหน ผมก็รักที่นั่น ผมมากลาโหม ผมก็รักกลาโหม”
และอีกกระแสข่าวลือ หนึ่ง คือ การยกชั้นไปควบ รมว.มหาดไทย หากพรรคเพื่อไทยเจรจาต่อรองกับพรรคภูมิใจไทยได้ หรือจะปรับพรรคภูมิใจไทยออกจากพรรคร่วมรัฐบาล
กระแสข่าวนี้ส่งผลให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถึงขั้นแปลกใจว่า ทั้งๆ ที่บอกว่าจะยังไม่มีการปรับ ครม. แต่ก็มีกระแสข่าวออกมาว่าจะเปลี่ยนหลายตำแหน่ง แม้แต่นายภูมิธรรม ที่นายกฯ เรียกว่า “บิ๊กอ้วน” ที่ยืนยันว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะกลับไป รมว.พาณิชย์ หรือ มท.1
หลังจากที่มีรายงานข่าวว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และ น.ส.แพทองธาร และนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยืนยันแล้วว่าจะไม่มีการปรับพรรคภูมิใจไทยออก และจะยังไม่มีการแลกโควต้าเก้าอี้ รมว.มหาดไทย กับ 2 กระทรวงใหญ่
โดยมีข่าววงในว่า นายอนุทินยืนยันว่า นายทักษิณ หรือนายกฯ แพทองธาร หรือนายภูมิธรรม ไม่เคยพูดหรือมาต่อรองในการขอโควต้า มท.1 คืน คงมีแค่กระแสข่าวลือ
เหตุผลหนึ่ง เพราะทุกอย่างยังคงเป็นไปตาม “ดีล” กับขั้วอนุรักษนิยม ตั้งแต่ครั้งจัดตั้งรัฐบาล ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
อีกเหตุผลหนึ่ง คือ นายอนุทินก็มีแบ๊กอัพที่แข็งแกร่ง ไม่แพ้นายทักษิณ ที่สามารถกลับมาประเทศไทยได้เช่นกัน
แต่หากย้อนมองตั้งแต่เริ่มจัดตั้งรัฐบาลนี้ จะเห็นว่า ขั้วอนุรักษนิยม และสายอำนาจ 3 ป. ต้องการเก้าอี้ รมว.กลาโหม
แต่พรรคเพื่อไทยที่ยังไม่ไว้ใจทหารเท่าใดนัก เพราะนายกฯ ตระกูลชินวัตร โดนรัฐประหารต่อเนื่องกันถึง 2 ครั้ง จึงยังยึดโควต้าสนามไชย 1 ไว้
แต่ก็มีดีลที่จะต้องมี รมช.กลาโหมเป็นทหาร
เดิมมีชื่อบิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ อดีตเลขาฯ สมช. น้องรักของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในเวลานั้น จะมาเป็น รมว.กลาโหมบ้าง มีชื่อของบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทบ. ที่ในเวลานั้นเป็นรองเลขาธิการ สนว. ผู้มีบทบาทสำคัญใน “ดีลลังกาวี” ตั้งรัฐบาล จะมานั่งกลาโหมบ้าง
แต่ที่สุด ก็กลายเป็นชื่อ นายสุทิน คลังแสง ที่มาเป็น รมว.กลาโหม พลเรือนคนแรก ที่ไม่ได้เป็นนายกฯ หรือรองนายกฯ
และนั่งเก้าอี้สนามไชย 1 นาน 1 ปี ก่อนที่จะถูกปรับออก ทำงานในสภา ในฐานะ ส.ส. แล้วมีนายภูมิธรรมมาเป็น รมว.กลาโหมแทน หลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะมาเป็นนายกฯ แทนนายเศรษฐา ทวีสิน
จนมาตอนนี้ ท่ามกลางกระแสการปรับ ครม.มีชื่อของแคนดิเดตหลายคน ทั้งนายสุทิน ที่ยังลุ้นการคัมแบ๊กมากลาโหมอีกครั้ง หลังจากนายสุทินได้พบเจอนายทักษิณ และคนในครอบครัวชินวัตรหลายครั้ง
อีกทั้งมีทหารบางส่วน ที่จริงชอบสไตล์การทำงานของบิ๊กทิน ที่สบายๆ ไม่ซีเรียสมากนัก แตกต่างจากนายภูมิธรรม มือขวานายทักษิณ ทหารจึงเกร็งๆ แต่ในขณะเดียวกัน ผบ.เหล่าทัพส่วนใหญ่ต่างแฮปปี้กับนายภูมิธรรม ที่สไตล์การทำงานแบบตรงไปตรงมา มีอะไรก็พูดตรง ไม่อ้อมค้อม และการเป็นคนใกล้ชิดอดีตนายกฯ ทักษิณ ก็ทำให้ทหารยำเกรง
แต่กระแสข่าวบิ๊กทินคัมแบ๊ก ก็จบลง เมื่อนายกฯ ยืนยันว่าจะไม่มีการเปลี่ยน รมว.กลาโหม
หรือแม้แต่ชื่อของ พล.อ.อภิรัชต์ ก็ยังหวนกลับมาเป็นแคนดิเดต หลังจากที่ลาออกจากรองเลขาธิการ สนว. ไปพักผ่อน ดูแลสุขภาพมาพักใหญ่ ก่อนที่จะไปปรากฏตัวในงานสัมมนาของกองพลสไตรเกอร์ พล.ร.11 ที่พบว่า ยังแข็งแรงดี แม้จะผอมลง
แต่ก็มีรายงานว่า พล.อ.อภิรัชต์จะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง เพราะต้องการพักผ่อนกับครอบครัว และลูกๆ
แม้โดยความสัมพันธ์ของ พล.อ.อภิรัชต์กับบุคคลสำคัญในทางการเมือง ทั้งอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยบิดา และ พล.อ.ประยุทธ์ อดีตนายกฯ และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) พรรคดีเอ็นเอของลูงตู่ อาจจะยังทำให้ พล.อ.อภิรัชต์ ที่ยังคงเป็นห่วงชาติบ้านเมือง ก็ให้การสนับสนุนอยู่ห่างๆ
ไม่แค่นั้น ยังมีชื่อของนายพีระพันธุ์ รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน และหัวหน้าพรรค รทสช. ที่มีข่าวมาหลายครั้งว่า พรรคเพื่อไทยจะขอโควต้า รมว.พลังงานคืน และจะให้มาควบ รมว.กลาโหม เพราะเป็นลูกนายทหารชั้นนายพล และเคยสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร และอยากเป็นทหาร แต่มีปัญหาสายตา จึงไม่ได้เป็นทหาร แต่มีความรู้ด้านการทหารความมั่นคง
อีกทั้งนายพีระพันธุ์ยังถือว่าเป็นตัวแทนของ พล.อ.อภิรัชต์ เพื่อนรุ่นน้องตั้งแต่สมัยเรียนเซนต์คาเบรียล ในการมาทำงานทางการเมืองช่วยลุงตู่เรื่อยมา
แต่ก็มีรายงานว่า สายสัมพันธ์ของนายพีระพันธุ์ หรือ พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.อภิรัชต์ และอดีตนายกฯ ทักษิณ ยังคงอยู่ ที่จะไม่มีผลกระทบกับเก้าอี้ของนายพีระพันธุ์
นอกจากนั้น ยังมีชื่อของ พล.อ.ณัฐพล ที่เป็น รมช.กลาโหมมาแล้ว 2 สมัยทั้งยุคของนายสุทิน และมายุคนายภูมิธรรม จนถูกจับตามองว่าเมื่อไหร่จะได้เป็นตัวจริง เมื่อใดจาก “สนามไชย 2” จะได้เป็น “สนามไชย 1” จนทำให้เกิดกระแสข่าวลือ ว่ามีปัญหาในการทำงาน ทั้งกับนายสุทิน จนมาถึงนายภูมิธรรม ตามสไตล์ แนวคิด แนวทางการทำงานของทหารเก่า กับนักการเมือง ที่อาจจะแตกต่าง
ที่สำคัญ มีบางกระแสข่าวระบุว่า เก้าอี้ รมช.กลาโหมนี้ ที่จริงแล้วเป็นโควต้าของพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่ของพรรค รทสช. แต่อดีตนายกฯ ทักษิณยกให้พรรค รทสช. ตาม “ดีล” ที่จะต้องมีทหารมาช่วยดูแลกระทรวงกลาโหม
ขณะเดียวกัน ก็ยังมีชื่อบิ๊กแป๊ะ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตปลัดกลาโหม ที่ในรัฐบาลแพทองธาร ได้เป็น ผช.รมต.ประจำ รมว.กลาโหม ชิงเก้าอี้ รมว.กลาโหมด้วย แต่ดูเหมือนว่า การได้เป็น ผช.รมต. จะเป็นการปลอบใจไปแล้ว
และมีชื่อที่อาจจะได้เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้คนใหม่ ที่เริ่มลงพื้นที่ชายแดนใต้มาพักใหญ่แล้ว
แต่นายภูมิธรรมยังไม่ได้เสนอ สมช.แต่งตั้ง เพราะต้องการให้ สมช.ทบทวนยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ใหม่ เพราะผ่านมาเกือบ 20 ปี สถานการณ์ฝ่ายเจ้าหน้าที่ยังคงเป็นฝ่ายตั้งรับเสียมากกว่า
และการพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้ ยังคงชะลอออกไปจนกว่าจะมีการยืนยันว่า ตัวแทน BRN ที่มาพูดคุยนั้น เป็นตัวจริง ที่มีอำนาจในการสั่งยุติเหตุรุนแรง แม้ว่านายกฯ และนายทักษิณ จะมีการหารือกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซียแล้วก็ตาม
นอกจากนั้น อาจเป็นเพราะว่า เกิดความขัดแย้งทางความคิด ในการแก้ไขปัญหาชายแดนใต้ของฝ่ายทหาร กองทัพภาคที่ 4 และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กับฝ่ายความมั่นคงในสายพลเรือน
และการเลือกคนที่จะเป็นหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขฯ ว่า ควรจะเป็นทหารหรือพลเรือน หรือจะเป็นใครคนใด เพราะในส่วนของทหารก็มีชื่อแคนดิเดตหลายคน ทั้งที่เป็นทหารเก่า และทหารในกองทัพ ที่เคยทำงานในชายแดนภาคใต้ และซ้อนทับด้วยการแบ่งขั้วของทหารในชายแดนภาคใต้
จึงทำให้นายภูมิธรรมยังไม่ตัดสินใจเลือกคนที่จะมาเป็นหัวหน้าคณะพูดคุยฯ
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีชื่อของแคนดิเดต รมว.กลาโหมหลายคน แต่มีการส่งสัญญาณมาแล้วว่า นายภูมิธรรมจะยังคงควบ รมว.กลาโหมต่อไป
ที่ไม่ใช่แค่เพราะเป็นมือขวาที่นายทักษิณไว้วางใจเท่านั้น แต่ยังถือเป็น รมต.ระดับผู้ใหญ่ที่เป็นคู่คิดและติดตามใกล้ชิดดูแล น.ส.แพทองธารด้วยตลอด
ประการสำคัญคือผู้บัญชาการเหล่าทัพ ยังคงยอมรับและทำงานเข้าขากับนายภูมิธรรมได้เป็นอย่างดี ด้วยสไตล์สหายใหญ่ ที่ลดช่องว่างด้วยการพบปะพูดคุย รับประทานอาหารด้วยกันเมื่อมีโอกาส เช่น หลังการประชุมสภากลาโหมทุกเดือน และโทรศัพท์พูดคุยเสมอๆ ติดตามงาน ขอข้อมูล และคำปรึกษาในเรื่องงานความมั่นคงและภารกิจกองทัพ
โดยนายภูมิธรรมระบุเสมอว่า แม้ตนเองจะไม่มีประสบการณ์ด้านงานการทหารและความมั่นคง แต่ก็ผ่านการบริหารงานมาหลายหน่วยงาน
อีกทั้งความสัมพันธ์ของนายภูมิธรรม กับ ผบ.เหล่าทัพ มีความสนิทสนมมากขึ้น โดยเฉพาะกับ ผบ.อ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และบิ๊กไก่ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผบ.ทอ. ที่น่าจะเป็นผู้นำทหารที่นายภูมิธรรมพูดคุยด้วยบ่อยที่สุด
โดยเฉพาะหลังจากที่ร่วมวงกินผัดกะเพราเนื้อ ฝีมือ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี ที่บ้านพัก ผบ.ทอ. แบบพร้อมหน้า ที่นายภูมิธรรมค่อยๆ เลียบๆ เคียงๆ คุยและทำความรู้จักผู้บัญชาการเหล่าทัพแต่ละคนให้มากขึ้น โดยเฉพาะตัวตนของแต่ละคน
เช่นเดียวกับ ผบ.ทบ.ซึ่งในระยะหลังนี้ ด้วยภารกิจของกองทัพบก และการประชุมที่มีมากมายและครอบคลุมในหลายมิติ จึงทำให้มีการพูดคุยประสานงานกับนายภูมิธรรมมากขึ้น ส่งผลให้บิ๊กปู พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. เริ่มคุ้นเคยกับนายภูมิธรรมมากขึ้น
แม้ว่านายภูมิธรรมจะรู้แล้วว่า พล.อ.พนา เป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดก็ตาม แต่ก็สามารถพูดคุยกันได้
จะเห็นได้ว่า พล.อ.พนา เชิญนายภูมิธรรมไปดูการฝึกระดับกรมทหารราบเฉพาะกิจของกองพลสไตรเกอร์ พล.ร.11 ที่ฝึกด้วยกระสุนจริง ที่ลพบุรี เมื่อ 21 เมษายนที่ผ่านมา โดยกำหนดการแรก 10 เมษายน นายภูมิธรรมติดภารกิจ พล.อ.พนาก็เลื่อนการฝึกเพื่อรอให้นายภูมิธรรมมาร่วมชมการฝึกด้วยตนเอง เพราะต้องการให้เห็นศักยภาพของกองทัพบกและความพร้อมรบตามแผนป้องกันประเทศ และเป็นโอกาสให้นายภูมิธรรมได้พบปะใกล้ชิดระดับคีย์แมนของกองทัพบกและผู้บังคับหน่วยคุมกำลังต่างๆ อีกด้วย
และที่ประทับใจนายภูมิธรรมมากที่สุดก็คือ พล.อ.พนามอบรถเกราะสไตรเกอร์จำลองให้นายภูมิธรรม โดยทำเลขทะเบียน 5 ธค 2496 ซึ่งเป็นวันเกิด ปีเกิดของนายภูมิธรรมนั่นเอง ทำเอานายภูมิธรรมเป็นปลื้มถึงขั้นเอามาคุยให้นักข่าว และหลายๆ คนรับฟัง
ด้วยเพราะสำหรับนายภูมิธรรมแล้ว พล.อ.พนาเป็นคนไม่ค่อยพูด ได้แต่ยิ้มอย่างเดียว แต่การแสดงออกแบบนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณบวกต่อนายภูมิธรรม
และต้องไม่ลืมว่า พล.อ.พนามีอายุราชการถึงกันยายน 2570 ถูกวางตัว ผบ.ทบ.เคียงคู่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยไปจนครบเทอม เพราะเส้นทางเติบโตของ พล.อ.พนาก็มี พล.อ.อภิรัชต์เป็นผู้สนับสนุนมาตลอดตั้งแต่ผลักดันให้เป็น ผบ.พล.ร.11 จนขึ้นรองแม่ทัพภาคที่ 1 และได้ไปฝึกหลักสูตรทหารคอแดง เข้าฟาสต์แทร็ก ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 เลย ก่อนขึ้น เสธ.ทบ. และ ผบ.ทบ.
อีกทั้งในการแต่งตั้งโยกย้ายกันยายน 2568 นี้ ผู้บัญชาการเหล่าทัพจะเกษียณราชการทั้งหมด คงเหลือแต่ พล.อ.พนาที่เป็นหลักอยู่คนเดียว
พล.อ.พนา และเก้าอี้ ผบ.ทบ. จึงมีนัยสำคัญต่อความแข็งแกร่งของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่เกิดจากดีลกับขั้วอนุรักษนิยมด้วยเช่นกัน
เพราะมีเรื่องใดที่ฝ่ายกองทัพไม่แฮปปี้ นายภูมิธรรมก็จะชะลอไว้ก่อน เช่น การแก้ไขร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหมปี 2551 ที่ร่างขึ้นในยุคของนายสุทินเป็น รมว.กลาโหม เพื่อป้องกันการปฏิวัติรัฐประหาร ที่แม้จะผ่านสภากลาโหมแล้ว แต่บรรดาผู้บัญชาการเหล่าทัพต่างไม่เห็นด้วย และเปิดอกเปิดใจคุยกับนายภูมิธรรม จนทำให้เรื่องนี้ถูกเก็บใส่ลิ้นชักไว้ก่อน
เพราะฝ่ายผู้บัญชาการเหล่าทัพยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายห้ามรัฐประหาร เพราะทหารไม่ได้อยากทำรัฐประหารอยู่แล้ว และเกรงว่าจะเป็นการกลั่นแกล้งใส่ร้ายกองทัพโดยฝ่ายการเมือง ในการหาเหตุโยกย้ายเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการเหล่าทัพได้ในอนาคต
รวมทั้งปฏิเสธข้อเสนอที่ให้มีการเพิ่มสมาชิกคณะกรรมการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพลของกระทรวงกลาโหม หรือบอร์ด 7 เสือกลาโหม เพิ่มเป็น 9 เสือกลาโหม โดยจะขอเพิ่มนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ขึ้นมา 2 ตำแหน่ง
แม้ฝ่ายผู้บัญชาการเหล่าทัพจะมีถึง 5 เสียง ส่วนฝ่ายการเมืองมี 4 เสียงเท่านั้น แต่ฝ่ายกองทัพมองว่าสุ่มเสี่ยง หาก ผบ.เหล่าทัพจำเป็นต้องโหวต เพราะหากแค่ผู้บัญชาการเหล่าทัพคนใดคนหนึ่งโหวตในทางเดียวกันกับฝ่ายการเมือง ก็จะเป็นฝ่ายชนะ หรือหากเสียงเท่ากันทั้งสองฝ่าย ตัวประธานก็คือ รมว.กลาโหมจะมีคะแนนเสียงพิเศษในการตัดสินเพิ่มมาอีกหนึ่งเสียง
ดังนั้น ตราบใดที่นายภูมิธรรมยังคงรักษาความสัมพันธ์กับกองทัพไว้ได้ตามที่ดีลกันไว้ ก็นั่งเก้าอี้สนามไชย 1 และเป็นบิ๊กอ้วนต่อไป
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022