ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 พฤษภาคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
เผยแพร่ |
รายงานพิเศษ
MatiTalk จาก ตึกสตง.ถล่มสู่ปัญหาสงครามการค้า
เปลือยรัฐไทย ปัญหานอมินีในประเทศ
สนทนา ปธ.กมธ.การพัฒนาเศรษฐกิจ
“ปัญหานี้มีอยู่แล้วแต่เราไม่แก้ไขมัน และซุกมันเอาไว้ พอเกิดสงครามการค้า หรือปัญหาอาคาร สตง.ถล่ม เราถึงเห็นว่า ปัญหาเรื่องนอมินีมันสำคัญ เราถึงว่ารู้การเตรียมเจรจายังล่าช้า” สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล ส.ส.พรรคประชาชน ประธานกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงปัญหาที่ซุกซ่อนอยู่ใต้พรม ของวิกฤตสงครามการค้าหรือแม้กระทั่งเหตุการณ์แผ่นดินไหว ผ่านรายการ MatiTalk ทางมติชนสุดสัปดาห์
สิทธิพลบอกว่า กรณีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เป็นการเปลือยรัฐไทย เพราะไปเจอบริษัทรับเหมาที่มีพฤติกรรมแบบนอมินีเยอะขนาดนี้ เจอปัญหาวัสดุก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐานเยอะมาก
จนเกิดคำถามว่าเราปล่อยเอาไว้อย่างนี้ได้อย่างไร? ถ้าเราตรวจสอบเข้มงวดแต่ต้น
ปัญหาเรื่องนอมินีมันนำพามาซึ่งปัญหาอื่นๆ นำมาซึ่งการกระทำผิดกฎหมายอื่นไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานควบคุมก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน วิศวกรที่มาควบคุมก่อสร้างเอาใครไม่รู้มาปลอมลายเซ็น สวมนอมินีมาเซ็นหรือเปล่า แบบมีมาตรฐานหรือเปล่า
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเดียวกันคือเกิดขึ้นภายใต้ปัญหาของศูนย์เหรียญและนอมินี
ผมคิดว่ากรณีอาคาร สตง.ถล่ม เป็น “แค่ยอดภูเขาน้ำแข็งของปัญหานอมินีในประเทศไทย” และเป็นปัญหาที่ต่อเนื่องมาถึงคำว่าศูนย์เหรียญ
การที่บริษัทนอมินีสร้างอาคารจนตึกถล่มมันเปลือยทุกอย่าง ถ้ามีแก้ไขเพียงพอ ตรวจทุกอย่างจะไม่เกิดปัญหานี้
เหตุการณ์นี้เป็นแค่กรณีตัวอย่าง ยังไม่ต้องพูดถึงอันอื่น ทั้งวงการเกษตร ศึกษา ขนส่ง อสังหาริมทรัพย์ ทุกอันมีปัญหาแบบนี้เหมือนกันหมด
ถ้าเอาแต่เฉพาะการรับเหมาก่อสร้างเหมือน China Railway number 10 ที่ไปสร้างอาคารสำนักงาน สตง. เรามีบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีบุคคลสัญชาติจีนหรือบริษัทสัญชาติจีนถือหุ้นเพิ่มขึ้นเยอะมาก
ปีที่แล้วปีเดียวมีนิติบุคคลจัดตั้งใหม่ที่มีบุคคลสัญชาติจีนถือหุ้นถึง 299 บริษัท ถ้าย้อนกลับไปช่วงปี 2563-2564 มีเพียงประมาณ 40-50 บริษัท แล้วเข้าข่ายเหมือนกันก็คือในอัตรา 51:49 เพิ่มขึ้นมา 5-6 เท่า
หากนับย้อนไป 5 ปีมีบริษัทที่มีลักษณะนี้ รวมแล้วประมาณ 500-600 บริษัท
ดังนั้น China Railway number 10 เป็นแค่บริษัทเดียว สิ่งที่รัฐบาลต้องเข้าไปดูคือบริษัทเหล่านี้มีพฤติกรรมสวมสิทธิหรือเปล่า
อย่าบอกว่าทำไม่ได้เพราะกรณี China Railway number 10 พอนายกฯ ประกาศเอาจริงเอาจัง DSI รับเป็นคดีพิเศษก็สามารถเข้าตรวจสอบ สามารถบอกได้ทันทีว่า 3 คนไทยที่ถือหุ้นดูแล้วน่าจะเป็นนอมินี ท่านควรไปดูวงการอื่นๆ ก็เป็นแบบนี้เช่นกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นคือเรากำลังปล่อยให้ธุรกิจนอมินีหรือสร้างพฤติกรรมศูนย์เหรียญกระจายทั่วไปหมด แล้วมันก็ทำร้ายผู้ประกอบการไทย สุดท้ายก็กระทบผู้บริโภค
เรื่องที่ 2 ถ้าเอาเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอาคาร สตง. คือปัญหาวัสดุก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน และเรื่องที่ 3 ที่สำคัญสุดคือกระบวนการเหล่านี้ นอมินีก็ดี ศูนย์เหรียญก็ดี
หรือถ้าพูดง่ายๆ ต่างชาติสีเทาไม่มีทางเกิดได้เลยถ้าไม่มีไทยเทา ราชการไทยเทาให้ความร่วมมือ สิ่งเหล่านี้มันสัมพันธ์กับคอร์รัปชั่นชัดเจน
ดังนั้น ถ้าอยากจะแก้ปัญหาต่างชาติสีเทา รัฐบาลก็ต้องเอาจริงเอาจังกับไทยเทาด้วย ไม่ว่าจะเป็นราชการไทยเทาหรือทุนไทยเทา
ผมคิดว่า 3 เรื่องนี้คือสิ่งที่เราควรจะได้บทเรียนจากกรณีอาคาร สตง.ถล่ม
: ความน่าห่วงปัญหาการสวมสิทธิ สินค้า-กิจการศูนย์เหรียญ มีแค่ไหน
ปัญหาสินค้าต่างชาติราคาต่ำที่เข้ามาถล่มผู้ประกอบการในประเทศเป็นปัญหาต่อเนื่องมา 2-3 ปีแล้ว
ถ้ามองในภาพใหญ่ เศรษฐกิจไทยแม้ว่ามีการบริโภคสูงแต่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้โรงงานในประเทศไทยมีการผลิตเพิ่มขึ้น
หมายความว่าภาคการผลิตกับภาคการบริโภคมันฉีกออกจากกัน
คนไทยบริโภคแต่โรงงานไม่ได้สามารถผลิตของได้มากขึ้น เพราะเราไปบริโภคสินค้าจากต่างชาติ
เราไม่ได้กีดกัน ถ้าเป็นสินค้าจากต่างชาติที่มีนวัตกรรมคุณภาพดีราคาถูก เราเปิดรับ เพราะการกีดกันส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคภายในประเทศ
แต่สิ่งที่เราควรกีดกันคืออะไร คือสินค้าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย อย. มอก. หรือสินค้าที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เช่น ขายต่ำกว่าทุน ทุ่มตลาด หรือรัฐบาลในต่างประเทศมีมาตรการสนับสนุนที่ไม่เป็นธรรม คือสินค้าที่ควรต้องได้รับการเพ่งเล็งและตรวจสอบ ซึ่งที่ผ่านมาสินค้ากลุ่มนี้ไหลบ่าเข้ามาในประเทศไทยเยอะ
บวกกับความน่ากลัวของสงครามการค้าจะทำให้ปัญหานี้รุนแรงขึ้น เพราะสินค้าเหล่านี้ต้องหนีตายจากตลาดสหรัฐมาประเทศไทย ในขณะที่ประตูรั้วของเราไม่แข็งแรง มีปัญหา
ถ้าเจาะจงเฉพาะเรื่องสินค้าสวมสิทธิ คือการที่สินค้าจากต่างชาติมาใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านมาเพื่อหวัง Made in Thailand เพื่อประโยชน์ทางภาษีมาอ้อม แต่ประเทศไทยได้ภาษีต่ำ อย่างนี้เขาได้ประโยชน์ สิ่งที่กระทบไทยคือเราไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะเราไม่ได้ขายชิ้นส่วนวัตถุดิบ ไม่ได้มาใช้แรงงานเรา แต่เราได้รับผลเสียถูกใช้เป็นข้ออ้างในการขึ้นภาษี ผู้ประกอบการไทยไม่รู้อีโหน่อีเหน่แต่ถูกขึ้นภาษีไปด้วย
ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องเอาจริงเอาจังกับปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง รัฐบาลนี้ควรต้องทำเรื่องนี้ก่อนด้วยซ้ำเพราะมันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมานานแล้ว คุณควรเอาข้อมูลจากศุลกากรจับพิกัดขาเข้า จับพิกัดขาออก ดูบริษัทกลุ่มเสี่ยงเพื่อตรวจสอบปัญหาเหล่านี้แล้วป้องกันแก้ไข
: การเจรจาสงครามการค้า คาดหวังได้แค่ไหน
ผมคิดว่าประชาชนคาดหวังความชัดเจนบางอย่างหรืออยากได้ความมั่นใจจากรัฐบาล ยกตัวอย่างวันนี้เราเห็นรัฐบาลในประเทศข้างเคียงอย่างเวียดนาม รัฐมนตรีพาณิชย์ได้คุยกับผู้แทนการค้าอเมริกา หรือสิงคโปร์ รองนายกฯ กับรัฐมนตรีพาณิชย์และอุตสาหกรรมได้คุยกับรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐอเมริกา ปลายทางผลของการเจรจายังไม่เกิดขึ้น แต่สิงคโปร์บอกในสิ่งที่คุยกัน คือ ทางอเมริกาบอกว่า baseline Tariffs หรือภาษีพื้นฐานที่เกี่ยวกับทุกประเทศ 10% ต่อรองไม่ได้ เก็บแน่นอน อย่างน้อยรู้แล้วว่าเขาจะเจออะไร และบอกว่าสิงคโปร์จะเอาอะไรไปแลก มีความคืบหน้าอย่างไร
ผมคิดว่าแม้วันนี้รัฐบาลจะยังไม่ได้เจรจากับอเมริกาก็ไม่แน่ใจว่าได้คิวหรือยัง แต่สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลสามารถทำได้ คุณควรจะออกมาสื่อสารกับประชาชนสร้างความมั่นใจ รวมถึงมาตรการเยียวยาสมควรที่จะต้องเริ่มออกมาเพื่อให้ทันสถานการณ์ เนื่องจากมาตรการสงครามการค้าที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบแต่ภาคส่งออก แต่กระทบกับภาคลงทุน การจ้างงาน เศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็กที่มีสายป่านสั้นควรเข้ามาดูแล
หลายคนจะนึกว่าการขึ้นภาษีกระทบแต่คนส่งออก กระทบแต่บริษัทใหญ่ๆ ตรงนั้นคือมิติแรก ซึ่งได้รับผลกระทบแน่นอน ต้องบอกว่าประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกประมาณ 50% ของ GDP พึ่งพาเศรษฐกิจระหว่างประเทศประมาณ 50% ของ GDP
ดังนั้น ถ้าเราส่งออกได้น้อยลง การค้าโลกชะลอตัว ประเทศคู่ค้าอย่างอเมริกา ซึ่งเราส่งออกสินค้าไปประมาณ 1 ใน 5 ของมูลค่าส่งออก
มิติที่ 2 การลงทุน นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่จะมาลงทุนในประเทศไทย มีการชะลอการลงทุน เพราะเขาอยากจะรู้ว่าถ้าครบ 90 วัน สุดท้ายประเทศไทยจะโดน Reciprocal tariff (ภาษีตอบโต้หลายประเทศ) ที่กี่เปอร์เซ็นต์
ถ้าภาษีประเทศไทยสูงกว่าประเทศอื่น นักลงทุนคนไทยมองว่าส่งออกแข่งขันยาก รวมถึงนักลงทุนจากต่างประเทศที่จะมาตั้งโรงงานก็พิจารณา Reciprocal tariff เทียบเคียงประเทศข้างเคียง ซึ่งก่อนเจรจาเขาต่ำกว่า ฟิลิปปินส์โดน 17% มาเลย์ 24% เราโดน 36% เอาแค่วันนี้ ถ้าสุดท้ายผ่านไป 90 วัน ทุกประเทศเจรจาต่อรองแล้วอยู่ที่อัตราเดิม นักลงทุนไปประเทศอื่นดีกว่า
ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดคือเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวลงจากการส่งออกได้น้อย บริษัทในประเทศภาคเอกชนลดการลงทุน การจ้างงาน ดังนั้น พ่อค้า แม่ค้าเตรียมเจอกำลังซื้อในประเทศจะฝืดเคืองและคือสิ่งที่กำลังจะเจอ
ตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ที่บอกว่าใหญ่ขนาดไหนแล้ว ครั้งนี้จะไม่น้อยไปกว่ากัน เป็นวิกฤต เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยยะสำคัญ แล้วมันไม่ใช่วิกฤตระยะสั้น ไม่ใช่แค่กระทบกับภาคใดภาคหนึ่ง แต่กระทบทุกภาค โดยเฉพาะรายย่อยที่มีกำลังในการดูแลตัวเองน้อย
แบงก์ชาติได้ให้ข้อมูลอนุกรรมาธิการศึกษาผลกระทบของสงครามการค้าและแนวทางรับมือ ว่าถ้าดูในมิติเฉพาะส่งออกจากอัตราภาษีที่เรียกว่า baseline Tariffs ที่ 10% และอัตราภาษีตอบโต้หลายประเทศและยังมีภาษีเฉพาะสินค้า
มี SME ที่เสี่ยงได้ผลกระทบที่เกี่ยวพันโดยตรงกับการส่งออกประมาณ 5,000 กิจการ ต้องบอกว่าเป็น SME ที่มีศักยภาพสูง ได้รับผลกระทบทางตรงจากมาตรการภาษีของอเมริกาคิดเป็น 1 ใน 5
: การ Take Actionของรัฐบาลช้าไปหรือไม่
ในความเห็นของผมถือว่าช้า
ถามว่าดูจากอะไร 2 เรื่อง เรื่องแรก รัฐบาลไม่สามารถสื่อสารกับประชาชนได้ว่ามีความคืบหน้าในการเจรจามากน้อยแค่ไหน
แน่นอนเราไม่คาดหวังว่าท่านต้องบอกได้ว่าผลเจจาเป็นยังไง แต่อย่างน้อยท่านน่าจะบอกระหว่างทางได้เหมือนอย่างรัฐบาลประเทศอื่น ที่สามารถบอกความคืบหน้าได้ว่าวันนี้อยู่ในขั้นตอนไหน กำลังจะเกิดอะไรขึ้น
เรื่อง 2 มาตรการเยียวยา มาตรการช่วยเหลือหลากหลาย
ซึ่งวันนี้เรายังไม่เห็นมาตรการเยียวยาหรือช่วยเหลือจากรัฐบาล
ชมคลิป
https://www.youtube.com/@MatichonWeekly
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022