รัฐล้มเหลว? สังคมล้มเหลว? | ปราปต์ บุนปาน

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ยิน-ได้อ่านบางคนถกเถียงกันว่า เราคนไทยกำลังเผชิญหน้าอยู่กับ “สภาวะรัฐล้มเหลว” ใช่หรือไม่? และสภาวะดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่?

ทำให้นึกถึงเนื้อหาส่วนหนึ่งจากหนังสือ “ประชาธิปไตยไทยที่ถดถอย : สมรภูมิการเมืองไทยสู่ความขัดแย้งใหม่ที่ยังไม่จบ” ซึ่ง “ฐนพงศ์ ลือขจรชัย” แปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษของ “ประจักษ์ ก้องกีรติ” นักวิชาการแห่งคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และตีพิมพ์-จัดจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์มติชน

เนื้อหาส่วนนั้นอาจไม่ได้ตอบคำถามเรื่อง “รัฐ (ไทย) ล้มเหลว” โดยตรง แต่ก็ให้คำอธิบายบางอย่างที่น่าสนใจอยู่มิใช่น้อย

 

อาจารย์ประจักษ์ตั้งข้อสังเกตว่า แม้ในสังคมโลกยุคปัจจุบัน ปัจจัยหลักที่นำไปสู่การล่มสลายและภาวะถดถอยของระบอบประชาธิปไตย มักไม่ใช่ “การรัฐประหารโดยกองทัพ” แต่เป็นสถานการณ์ที่เรียกว่า “การเพิ่มอำนาจฝ่ายบริหาร”

หมายถึงสถานการณ์ที่ผู้นำจากการเลือกตั้ง ทำลายเสรีภาพของสื่อมวลชนและความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการ ลดทอนเสรีภาพของพลเมือง ทำให้กลไกความรับผิดรับชอบและการตรวจสอบถ่วงดุลของประชาธิปไตยอ่อนแอลง แต่ยังได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอยู่

กระนั้นก็ตาม สถานการณ์ของสังคมการเมืองไทยร่วมสมัยกลับมีลักษณะผิดแผกแตกต่างออกไป เพราะภัยคุกคามต่อเนื่องและร้ายแรงต่อระบอบประชาธิปไตยไทย ยังคงเป็น “การรัฐประหารโดยกองทัพในรูปแบบดั้งเดิม” และการครอบงำการเมืองของชนชั้นนำที่มุ่งรักษาอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงผลการเลือกตั้งอันเกิดจากการตัดสินใจของประชาชน

การพยายามรักษา “ระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ซึ่งมีลักษณะเป็นระบบอุปถัมภ์แบบเผด็จการและอำนาจนิยมของชนชั้นนำนี้เอง ที่ส่งผลให้สภาวะ “ไร้เสถียรภาพทางการเมือง” ยังคงดำรงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ

เห็นได้จากการที่เครือข่ายพันธมิตรชนชั้นนำยังสามารถควบคุมกลไกรัฐสำคัญๆ เช่น กองทัพ ตุลาการ และระบบราชการบางส่วน เพื่อรักษาอำนาจครอบงำของตนเอง

ตัวอย่างชัดเจนของการขัดขวางความก้าวหน้าของระบอบประชาธิปไตย ก็คือ การรัฐประหาร พ.ศ.2549 และ 2557

 

อย่างไรก็ดี หนังสือเล่มนี้เสนอด้วยว่า ในอีกด้านหนึ่ง เครือข่ายชนชั้นนำดังกล่าวได้พยายามปรับตัวให้เข้ากับ “มาตรฐานประชาธิปไตยโลกในปัจจุบัน” เพราะทราบดีว่า การยึดอำนาจหรือรัฐประหารมิใช่ “วิธีการที่ยั่งยืน” และความชอบธรรมจะเกิดขึ้นได้ผ่านการสร้าง “ภาพลักษณ์ประชาธิปไตย” ให้แก่พวกตน

ชนชั้นนำเหล่านี้จึงขยับเข้ามามีบทบาทอย่างแข็งขันในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ ตลอดจนกระบวนการปรับเปลี่ยนระบบการเลือกตั้ง เพื่อจะแฝงฝังอำนาจของตนเองเอาไว้ในระบบการเมืองไทย

นอกจากนั้น พวกเขายังใช้ “กลไกทางกฎหมาย” เพื่อปราบปราม-ข่มขู่-ลดทอนให้ “ฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตย” อ่อนแอลง

รวมถึงใช้กลยุทธ์ “ดึงฝ่ายตรงข้าม (บางพรรคบางกลุ่ม) มาเป็นพวก” โดยเสนอผลประโยชน์ตอบแทนและตำแหน่งทางการเมือง แลกกับการ “สยบยอม”

“ประชาธิปไตยไทยที่ถดถอย : สมรภูมิการเมืองไทยสู่ความขัดแย้งใหม่ที่ยังไม่จบ” : “ฐนพงศ์ ลือขจรชัย” แปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษของ “ประจักษ์ ก้องกีรติ”

แม้ “กระบวนการแทรกแซงประชาธิปไตย” จะยกระดับและเพิ่มเสริมศักยภาพมากขึ้นเพียงใด ทว่า (วัฒนธรรม) “ประชาธิปไตยของไทย” ก็ได้รับการฟื้นฟูและสามารถฟื้นตัวขึ้นได้ตลอดเวลาเช่นกัน

พูดอีกแบบได้ว่า “ประชาธิปไตยไทยไม่เคยล่มสลายอย่างถาวร”

เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมได้ก่อให้เกิดกลุ่มสังคมใหม่และอุดมการณ์ใหม่ๆ ที่ท้าทายการครองอำนาจของชนชั้นนำมาอย่างต่อเนื่อง

ไล่ตั้งแต่กลุ่มนักศึกษา สหภาพแรงงาน และขบวนการชาวนาในทศวรรษ 2510

กลุ่มนักธุรกิจและชนชั้นกลางในทศวรรษ 2520-2530

ขบวนการชาวบ้านรากหญ้าหลังปฏิรูปการเมือง 2540

มาจนถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนจนในชนบท รวมทั้งการตื่นตัวของเยาวชนและขบวนการประชาธิปไตยแบบใหม่ที่ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลที่ครอบงำโดยกองทัพ ในช่วงประมาณสองทศวรรษหลัง

 

ไม่มีใครตอบได้ว่า “ความชะงักงันทางการเมือง” ในสังคมไทยยุคปัจจุบันจะยุติลงอย่างไรและเมื่อใด แต่สิ่งที่หนังสือ “ประชาธิปไตยไทยที่ถดถอยฯ” สรุปปิดท้ายไว้ก็คือ

“ระบบการเมืองไทยยังคงเป็นพื้นที่ของการต่อสู้แข่งขันที่ดุเดือด การเมืองไทยไม่เคยหยุดนิ่ง และก่อให้เกิดทั้งความสิ้นหวังและความหวังควบคู่กันไป”

หากตีความในฐานะคนอ่าน ซึ่งพยายามจะนำเอาเนื้อหาจากหนังสือเล่มนี้ไปตอบคำถามใหญ่ๆ ตอนต้นบทความ

ก็คงบอกได้ว่า แม้ “รัฐไทย” จะมีอาการร่อแร่โคม่าเข้าใกล้สภาวะ “ล้มเหลว” เต็มทน

แต่ “(ประชา) สังคมไทย” ยังมีพัฒนาการและวิถีเจริญงอกงามของตนเอง โดยยัง “ไม่ล้มเหลว” อย่างสิ้นเชิงเสียทีเดียว •

 

ของดีมีอยู่ | ปราปต์ บุนปาน