ดู ‘ทวิภพ’ (2533) ฉบับ ‘เชิด ทรงศรี’

คนมองหนัง

สุดสัปดาห์ก่อน มีโอกาสไปนั่งดูภาพยนตร์กลางแปลงเรื่อง “ทวิภพ” (2533) ฉบับ “เชิด ทรงศรี” ในงาน “ใต้ร่มพระบารมี 243 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

แม้นี่จะเป็น “ทวิภพ” (ฉบับดัดแปลงครั้งแรกสุด) ที่มิได้ถูกกล่าวถึงมากนักในตลอดช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา แถมงานสร้างและการดำเนินเรื่องราวโดยรวมก็ออกจะ “เชยๆ”

อย่างไรก็ตาม ยังมีจุดใหญ่ใจความข้อหนึ่งที่ “ทวิภพ” ฉบับนี้ทำเอาไว้ได้ดีและน่าสนใจมากๆ

นั่นคือการที่ “เชิด ทรงศรี” ผู้ล่วงลับ สามารถกำกับตัวละครหลักและนำพาคนดูให้เดินทางไปถึงจุดยากลำบากอันน่าอึดอัดใจไปพร้อมๆ กัน

ผ่านการนำเสนอและค่อยๆ บีบเค้นเงื่อนปมว่า ไม่ว่า “มณีจันทร์” จะเลือกอดีตหรือปัจจุบัน ไม่ว่าเธอจะเลือกคนรักในยุครัชกาลที่ 5 หรือครอบครัว-มิตรสหายในสมัยรัชกาลที่ 9 ไม่ว่าเธอจะเลือกผลประโยชน์ส่วนบุคคลหรือชุมชนจินตกรรมที่เรียกว่าชาติ

การจำเป็นต้องเลือก “ทางใดทางหนึ่ง” ได้แค่เพียงหนทางเดียว ก็ล้วนเป็นราคาที่ต้องจ่ายอันแสนแพงทั้งสิ้น

เชิดแสดงให้ผู้ชมตระหนักอย่างจริงจังและจริงใจว่า การเลือกไปใช้ชีวิตในอดีตแทนที่จะเป็นปัจจุบัน การเลือกคนรักแทนที่จะเป็นครอบครัว (พ่อแม่) กับเพื่อนฝูง การเลือกทำประโยชน์ให้แก่ชาติแทนที่จะหาประโยชน์สุขให้ตนเองและคนใกล้ตัว ไม่ได้นำไปสู่ความสุขสมหวังและความรักโรแมนติกเพียงด้านเดียว

หากมีความเจ็บปวด ความทุกข์โศก และความสูญเสียแฝงอยู่ด้วยอย่างแยกไม่ออก

ในฐานะคนดูหนังที่จดจำเรื่องราว-รายละเอียดของภาพยนตร์เรื่อง “ทวิภพ” (2547) ฉบับ “สุรพงษ์ พินิจค้า” ได้ค่อนข้างเยอะ ก็อดที่จะนำเอา “ทวิภพของเชิด” มาเปรียบเทียบกับ “ทวิภพของสุรพงษ์” ไม่ได้

ขณะที่ “ทวิภพฉบับสุรพงษ์” ให้น้ำหนักความสำคัญกับประวัติศาสตร์นิพนธ์ องค์ความรู้ และอุดมการณ์ อย่างละเอียดลออและวิจิตรบรรจงมากกว่า “ทวิภพฉบับเชิด” ทว่า หนังเรื่องนั้นกลับประสบความล้มเหลวอย่างแทบจะสิ้นเชิงในการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึก (ว่าด้วย “การต้องเลือก” และ “ความสูญเสีย”) ของมนุษย์ออกมา

อีกประเด็นที่ชวนคิด ก็คือ ในมิติด้านความรักซึ่งเจือปนกับอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างแน่นแฟ้น

“มณีจันทร์” ในหนังของสุรพงษ์ ต้องเลือกระหว่าง “ขุนอัครเทพวรากร” ขุนนางสายอนุรักษนิยมผู้ยอมพลีชีพกลางวิกฤต ร.ศ.112 ซึ่งประกาศกร้าวว่า “ข้าเกิดที่แม่น้ำสายนี้ และข้าก็จะขอตายที่แม่น้ำสายนี้” และ “ถ้าสยามจะต้องเปลี่ยนไป อัครเทพวรากรจะไม่เปลี่ยนแปลง” กับขุนนางสายพิราบผู้ประนีประนอมและมองเห็นโลกภายนอกมาบ้างอย่าง “หลวงราชไมตรี”

แล้วสุดท้าย “มณีจันทร์ของสุรพงษ์” ก็ตัดสินใจเลือก “ขุนอัครเทพวรากร” มากกว่า “หลวงราชไมตรี”

แต่ใน “ทวิภพฉบับเชิด” ตัวละครหญิงเช่น “มณีจันทร์” กลับเลือกนักการทูตผู้พยายามจะเปลี่ยนสยามให้ “ศิวิไลซ์/ศรีวิไล” อย่าง “หลวงอัครเทพวรากร” มิใช่นายทหารหนุ่มในทศวรรษ 2530 อย่าง “พ.ต.ไรวัติ”

อธิบายความได้อีกแบบว่า ใน “ทวิภพ 2547” นางเอกอย่าง “มณีจันทร์” นั้นเลือกจะ “เลี้ยวขวา” ณ ห้วงเวลาสองปีก่อนรัฐประหาร 2549

ผิดกับ “มณีจันทร์” ใน “ทวิภพ 2533” ที่ตัดสินใจเลือกนักการทูตผู้พยายามจะปรับเปลี่ยนสยามให้เท่าทันโลกกว้าง ท่ามกลางวิกฤต ร.ศ.112 มากกว่าจะหันไปหานายทหารหนุ่มที่ไม่มีภารกิจในการเผชิญหน้ากับอริราชศัตรูนอกประเทศอีกแล้ว (จนต้อง “สวมเครื่องแบบ” มาตามจีบ-ตามหาสาวผู้หายตัวไปในกระจกแทบทุกวัน)

นี่คือการตัดสินใจเลือก “นักการทูต” และไม่เลือก “ทหาร” ณ ห้วงเวลาหนึ่งปีก่อนรัฐประหาร 2534 และสองปีก่อนเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ซึ่งพาสังคมไทยไปพานพบทางแพร่งระหว่างการมีผู้นำเป็น “อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ” กับการมีผู้นำมาจากกองทัพ และ/หรือคณะรัฐประหาร

เมื่อครั้งดู “ทวิภพฉบับสุรพงษ์” ผมยังมองว่าหนังเรื่องนั้นคือส่วนหนึ่งของการสร้างเรื่องเล่า “อภิมหาบรรยายกระแสหลัก” ในแนวทาง “ประวัติศาสตร์ไทยแบบราชาชาตินิยม” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ “ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล” เสนอเอาไว้ผ่านบทความ “ประวัติศาสตร์ไทยแบบราชาชาตินิยม : จากยุคอาณานิคมอำพรางสู่ราชาชาตินิยมใหม่หรือลัทธิเสด็จพ่อของกระฎุมพีไทยในปัจจุบัน”

แต่เมื่อมานั่งชม “ทวิภพฉบับเชิด” ผมกลับนึกไปถึงบทความอีกชิ้นของอาจารย์ธงชัยที่มีชื่อว่า “ภาวะอย่างไรหนอที่เรียกว่าศิวิไลซ์ : เมื่อชนชั้นนําสยามสมัยรัชกาลที่ 5 แสวงหาสถานะของตนเอง ผ่านการเดินทางและพิพิธภัณฑ์ทั้งในและนอกประเทศ”

เพราะภารกิจสำคัญของ “มณีจันทร์” และ “หลวงอัครเทพวรากร” ตลอดจนชนชั้นนำสยามในหนังฉบับนี้ คือ การปรับปรุงภาพลักษณ์ให้สยามแลดู “ศิวิไลซ์” ผ่าน “อีเวนต์มินิเอ็กซ์โป” (ด้านอาหารและการแสดง) ซึ่งจัดโชว์ทูตานุทูตต่างชาติ ณ พื้นที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในปัจจุบัน

“งานเอ็กซ์โปขนาดย่อมๆ” ที่ปรากฏในหนังของเชิดนั้นทั้งซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา และตลกร้าย เมื่อ “ฝ่ายมณีจันทร์” ก็ประกาศอย่างหนักแน่นชัดเจนว่า พวกตนมีภารกิจในการสร้างความ “ศิวิไลซ์” ให้แก่สยาม (ด้วยดนตรีไทย นาฏศิลป์ไทย ผักผลไม้แกะสลัก และการใช้มีดใช้ส้อมเป็น)

ขณะที่ฝรั่งผู้เที่ยวชมงานก็เอ่ยคำว่า “exotic!” ซึ่งคล้ายจะมี “นัยยะด้านลบ” ออกมา เพราะคำคำนี้นั้นหมายถึงการเกิดอารมณ์ตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจของ “เจ้าอาณานิคม” ผู้ได้เดินทางมาประสบพบเจอกับ “วิถีชีวิตอันแปลกประหลาดห่างไกล” ของเหล่าชนพื้นเมือง

ในแง่การสร้างบุคลิกภาพตัวละคร “มณีจันทร์ของเชิด” ที่รับบทโดย “จันทร์จิรา จูแจ้ง” นั้นดูแก่นแก้วและเฮี้ยวนิดๆ ยียวนกวนอดีตหน่อยๆ คล้ายๆ กับ “เบลล่า-ราณี แคมเปน” ใน “บุพเพสันนิวาส” และ “โบว์-เมลดา สุศรี” ใน “คุณพี่เจ้าขาดิฉันเป็นห่านมิใช่หงส์”

นี่จึงอาจเป็นสูตรสำเร็จ-ส่วนผสมระหว่าง “มหรสพความบันเทิง” กับ “การบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์” ที่ค่อนข้างลงตัว มีเสน่ห์ และเป็นมิตรกับผู้ชมมากพอสมควร ซึ่งถูกค้นพบ-ทดลองมานานเกิน 30 ปีแล้ว

“มณีจันทร์ 2533” ยังถูกวาดภาพให้เป็นหญิงสาวที่รู้สึกว่าตนเอง “ไม่ค่อยมีคุณค่า” ในยุคสมัยปัจจุบัน ครั้นพอทะลุมิติข้ามไปยังอดีต เธอก็ไม่ได้เป็นคนฉลาดปราดเปรื่องรู้เรื่องรู้ราวอะไรมากมายนัก หากดูจะเป็นสาวสังคม “สายจัดอีเวนต์” มากกว่า “สายกอบกู้ชาติ” หรือ “สายปัญญาชน”

สวนทางกับ “มณีจันทร์ 2547” (ฟลอเรนซ์ วนิดา เฟเวอร์) ที่ถูกสร้างให้เป็นหญิงสาวนักวิชาการสมัยใหม่ ผู้ฉลาดล้ำ แต่ก็ดูล่องลอย-งุนงงอยู่ตลอดเวลา และเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทางในทุกยุคสมัย

 

ขอปิดท้ายด้วยการกล่าวถึงหนึ่งในบรรดา “มุขค่อนข้างเชย” จากหนัง “ทวิภพฉบับเชิด” ที่ผม (กลับ) ชอบเอามากๆ และฮาลั่นระหว่างได้ยินได้ชม

เมื่อ “กุลวรางค์” เพื่อนสนิทของ “มณีจันทร์” เล่าให้ “พ.ต.ไรวัติ” ฟังว่าเพื่อนสาวของเธอกำลังตกหลุมรัก “เจ้าคุณเทพฯ” (ยศสุดท้ายของ “หลวงอัครเทพวรากร”)

จากนั้น นายทหารหนุ่มใน พ.ศ.2533 ก็ถามสวนขึ้นมาทันทีว่า “เจ้าคุณเทพฯ” วัดไหน? ก่อนอธิบายต่อว่า เพราะในยุคปัจจุบัน ยศ “เจ้าคุณ” ก็หลงเหลืออยู่แต่ในวัดแล้วนี่ เช่น พวกเจ้าคุณเทพฯ เจ้าคุณธรรมฯ ทั้งหลายไง

นี่คือมุขตลกที่อาจเรียกเสียงเฮฮา (แบบเฉพาะกลุ่ม) ได้ชั่วครู่ชั่วคราว แต่ก็เป็น “ประเด็นไม่เล็ก” (ทางศาสนา-สังคม-วัฒนธรรม-การเมือง) ที่สามารถนำไปขบคิดต่ออย่างซีเรียสจริงจังได้เช่นกัน •

 

| คนมองหนัง