ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 พฤษภาคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | จดหมาย |
เผยแพร่ |
จดหมาย | ประจำวันที่ 2-8 พฤษภาคม 2568
• ขาลง (1)
สงกรานต์ปีนี้ที่เมืองน่านบ้านเฮา “หง่อม จอยวอย” (เงียบเหงา, วังเวง)
พ่อค้าแม่ขายส่ายหน้าระอาใจไปทั้งระบบ ด้วยข้าวของเครื่องอุปโภค บริโภคที่จัดเตรียมไว้นั้น “เขิ้น” (เหลือ-ขายไม่ออก)
เป็นความซบเซา เซื่องซึม ไม่ต่างอะไรในบรรยากาศเทศกาลสงกรานต์ปี 2563-2564 ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิดระบาด ผู้คนต้องจำกัดโอกาสการจับจ่าย ซื้อขาย เดินทางและท่องเที่ยว
วิกฤตเทศกาลเมื่อ 4-5 ปีก่อนยังพออดทนรอคอยให้สงกรานต์-ปีใหม่กลับมาคึกคักได้เพราะความเข้าใจของผู้คนในกระแสของโรคระบาด
ทว่า นับตั้งแต่มกราคมต้นปีเป็นต้นมา ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุอันใด (ทั้งๆ ที่ไม่มีโรคภัยระบาดรุนแรง) “คนใคร่ค้าไม่อยากค้า คนใคร่ขายไม่อยากขาย” ผู้คนต่างเหนื่อยหน่ายการค้าขายลงทุน
การพบปะ พูดคุย สนทนากันแต่ละครั้งมีแต่ถ้อยคำปรารภปรับทุกข์ แทนที่คำปรึกษาหารือการค้าขายลงทุน
ร้านอาหารการกินที่เคยปิดวันพุธหยุด (พักผ่อน) กลางสัปดาห์ ต้องเปลี่ยนมาเปิดทุกวันและลดจำนวนลูกจ้างลงเพราะไม่มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาอย่างปีก่อนๆ
หลายเจ้าขาดทุนหมุนเวียนก็ทยอยปิดร้านกันไปตามยถากรรม (กับยุคสมัยที่นามบัตรบริษัทเงินกู้เรี่ยราดเกลื่อนกลาดอยู่ทุกย่อมย่านร้านตลาด)
ในความคิดแบบคนบ้านบ้านอย่างพวกเรา ที่ดำรงอยู่อย่างไม่ประมาทตามคำสอนแห่งศาสนา มีระเบียบวินัยในการบริหารจัดการงานอย่างเป็นระบบ-พัฒนาการ ก็สงสัยใจว่าทำไมการค้าขายจึงซึมเซาไม่คึกคักเหมือนปีที่ผ่านมา
จึงสรุปได้ว่าพึ่งพา (ไว้ใจ) ผู้บริหารภาษีของพวกเราไม่ได้
พวกเขาและ “เธอ” ต่างก็นำภาษี (ของเรา) เข้ารกเข้าพงจนหลงทาง (ท่ามกลางป่ามืดมิด)
ปี พ.ศ.2568 หายแวบไปแล้ว 4 เดือน เทศกาลปีใหม่-สงกรานต์ เศรษฐกิจมีพิษสง
เราจะดำรงอยู่อย่างไรให้หวังว่าภาษีของประเทศชาติบ้านเมืองจะไม่โดนปู้ยี่ปู้ยำไปมากกว่านี้ (ระหว่างการร้องขอไม่ให้ยุบสภา-ระหว่างการขอร้องให้ ฯพณฯ ลาออก)
สงกรานต์ บ้านป่าอักษร
ในท่ามกลาง
การประกาศความสำเร็จของเทศกาลสงกรานต์
แต่ในความสำเร็จดังกล่าว
เราเริ่มได้ยิน “เสียง”
เสียงอย่างที่ “สงกรานต์ บ้านป่าอักษร” สะท้อนมา
นั่นคือการท่องเที่ยว
ที่เป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
เริ่มชะลอตัว และถดถอย
ซึ่งน่าประหวั่นพรั่นพรึง
และซ้ำเติมวิกฤต “สงครามการค้า”
ที่หนักอยู่แล้ว ให้หนักขึ้นไปอีก
เตรียมตัวและเตรียมใจรับให้ดี คนไทย!!
• ขาลง (2)
ในเดือนมีนาคม ภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีการเปิดตัวจำนวนโครงการลดลง
โครงการเปิดขายใหม่รวม 18 โครงการ น้อยกว่าเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ส่งผลให้จำนวนหน่วยขาย และมูลค่าโครงการลดลง แต่มีราคาเฉลี่ยต่อหน่วยเพิ่มขึ้น
อาคารชุดยังคงครองสัดส่วนหน่วยขายสูงสุดถึง 50.1% ของหน่วยขายทั้งหมดในเดือนมีนาคมนี้ และมีสัดส่วนขายได้สูงสุดด้วยเช่นกัน
จำนวนอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นใหม่ในเดือนนี้มีทั้งหมด 3,524 หน่วย ลดลงจากเดือนที่ผ่านมาจำนวน 1,207 หน่วย (เดือนกุมภาพันธ์ 2568 มีจำนวน 4,731 หน่วย) หรือลดลงประมาณ 30.8%
ผู้ประกอบการรายใหญ่มีการเปิดตัวมากกว่ารายเล็กเช่นเดิม
โดยส่วนใหญ่ร้อยละ 93 ของจำนวนหน่วยขายเป็นการพัฒนาโดยผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทในเครือ
สัดส่วนหน่วยขายส่วนใหญ่มาจากการพัฒนาอาคารชุดระดับราคาปานกลางค่อนข้างถูก และการพัฒนาบ้านเดี่ยวระดับราคาค่อนข้างสูง
มูลค่ารวมของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดใหม่ในเดือนมีนาคม 2568 นี้มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 21,006 ล้านบาท
ลดลงจากเดือนที่ผ่านมาจำนวน 320 ล้านบาท (เดือนกุมภาพันธ์ 2568 มีมูลค่า 21,326 ล้านบาท)
หรือลดลงประมาณ 1.5%
หากพิจารณาอัตราการขายได้ จะพบว่าในเดือนสามของการเปิดขายมีอัตราการขายได้เฉลี่ยที่ 18.6%
ลดลงจากเดือนที่ผ่านมาที่มีอัตราการขายได้ที่ 23.3% ต่อเดือน
อสังหาริมทรัพย์ที่มีอัตราการขายได้สูงสุด คือ อาคารชุด ระดับราคา 2-3 ล้านบาท จำนวน 379 หน่วย ขายได้แล้ว 255 หน่วย (67%)
รองลงมาคือ อาคารชุด ระดับราคา 3-5 ล้านบาท จำนวน 389 หน่วย ขายได้แล้ว 224 หน่วย (58%)
และอันดับ 3 คือ อาคารชุด ระดับราคา 5-10 ล้านบาท จำนวน 68 หน่วย ขายได้แล้ว 25 หน่วย (37%)
ผู้ประกอบการที่เปิดตัวโครงการใหม่ในเดือนมีนาคม จะพบว่าเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (มหาชน) มีจำนวน 12 บริษัท
คือ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ตามลำดับ
นอกจากนี้ ก็ยังมีบริษัททั่วไปอีกจำนวนหนึ่ง
โครงการที่เปิดตัวใหม่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในจำนวน 1 โครงการ และตั้งอยู่ในส่วนต่อขยายเมือง (Intermediate area) จำนวน 5 โครงการ เช่น ย่านลาดพร้าว คู้บอน พระรามเก้า สุขุมวิทตอนปลาย ชัยพฤกษ์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีอีก 12 โครงการที่อยู่ในพื้นที่รอบนอกเมือง ซึ่งเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยในย่านแหล่งงานและสถานศึกษา เช่น รังสิต ลำลูกกา บางพลี เทพารักษ์ บางนา-ตราด บางใหญ่ บางบัวทอง เป็นต้น
มูลค่าโครงการ 3 เดือนแรกของปี 2568 มีมูลค่าการโครงการรวม 50,321 ล้านบาท และจำนวนหน่วยขายรวมของ 3 เดือนแรกปี 2568 มีจำนวน 9,892 หน่วย คาดว่าในปี 2568 ทั้งปี มูลค่าโครงการอาจมีรวมกันเพียง 260,000 ล้านบาท รวมจำนวนหน่วยเพียง 55,395 หน่วย
ซึ่งถือว่าลดลงกว่าปี 2567 เสียอีก
แต่ทั้งนี้เป็นเพียงการประมาณการเบื้องต้น หากเศรษฐกิจดีขึ้นได้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็อาจเติบโตตามไป
ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
วงการอสังหาริมทรัพย์
เป็นอีกวงการหนึ่งที่ถูกคาดหมายว่าจะซบเซา
ซึ่งข้อมูลก็บ่งชี้เช่นนั้น
ซึ่งก็หวัง อย่างที่ ดร.โสภณหวัง
นั่นคือ หากเศรษฐกิจดีขึ้น
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็อาจเติบโตตามไป
แต่เศรษฐกิจจะดีขึ้นจริงๆ หรือ
ถามแบบ “สึ่งตึง” (ฮา) อย่างนี้แหละคนไทยเอ๋ย!?! •
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022