ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 พฤษภาคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | คำ ผกา |
ผู้เขียน | คำ ผกา |
เผยแพร่ |
คำ ผกา
ส้มกับภาวะสูญเปล่าทางวาทกรรม
ผลการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดนครศรีธรรมราชนั้นน่าสนใจมาก
เพราะพรรคที่ลงแข่งประกอบไปด้วยภูมิใจไทยที่ต้องปกป้องที่นั่งเดิมของตนเอง
กล้าธรรมที่เข้าท้าชิงด้วยเดิมพันของการเป็น “ตัวแปร” ที่สามารถเขย่าส่วนผสมของพรรคร่วมรัฐบาลได้ หากเราเชื่อในเกมการต่อรองว่าด้วย ภูมิใจไทยออก เอากล้าธรรมบวกพลังประชารัฐบางส่วนมาเติม (ตามที่เซียนการเมืองทั้งหลายเขาวิเคราะห์กันซึ่งฉันไม่ซื้อทฤษฎีนี้)
ไม่เพียงเท่านั้น ยังเบอร์ใหญ่ของประชาธิปัตย์อย่าง ชินวรณ์ บุณยเกียรติ
และมีพรรคประชาชนที่ในสายตาของชนชั้นกลางที่เสพสื่ออยู่ในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เป็นพรรคที่ได้รับความนิยมอันดับหนึ่งและมีคะแนนของโพลนำเป็นอันดับหนึ่งในทุกเรื่อง เป็นพรรคการเมืองที่มีภาพลักษณ์ว่าด้วยสัญลักษณ์ของความเปลี่ยนแปลง คนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ การเมืองสุจริต (เขียนมาถึงตรงนี้ก็เริ่มสับสนว่า การเมืองสุจริตเป็นสโลแกนของพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคส้มกันแน่)
พรรคกล้าธรรมโค่นแชมป์เก่าภูมิใจไทยได้ ส.ส.เพิ่มมาอีก 1 คน
มองในแง่เสถียรภาพรัฐบาลไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จำนวน ส.ส.รัฐบาลเท่าเดิม แต่จะทำให้พรรคกล้าธรรมมีอำนาจต่อรองมากขึ้นหรือไม่ คำตอบก็คือยังไม่ขนาดนั้น ในอีกสองปีข้างหน้า สถานภาพของพรรคภูมิใจไทยยังคงมั่นคงอยู่อย่างมาก
แต่หนึ่งเสียงของกล้าธรรมที่เพิ่มขึ้นมาเป็นการส่งสัญญาณว่าการเลือกตั้งในภาคใต้ที่ภูมิใจไทยไปยึดมาจากประชาธิปัตย์สำเร็จนั้นจะไม่ง่ายแล้ว เพราะมีกล้าธรรมเข้ามาแชร์ส่วนแบ่งการตลาดนี้
พูดให้เห็นภาพชัดขึ้นคือ พรรคร่วมรัฐบาลหลังการเลือกตั้งปี 2570 จะมีพรรคกล้าธรรมมาเบียดให้พรรคภูมิใจไทยมี ส.ส.น้อยลงหรือไม่?
นี่เป็นโจทย์สำคัญมากเพราะเพื่อไทยต้องแข่งทั้งกับพรรคประชาชน ต้องแข่งทั้งกับภูมิใจไทย ส่วนภูมิใจไทยต้องแข่งทั้งกับพรรคประชาชน กล้าธรรม และเพื่อไทย และทุกพรรคที่กล่าวมานี้อยากตั้งรัฐบาลด้วยกัน
สำหรับฉันมันจะสนุกก็ตรงนี้ ว่าแต่ละพรรคจะวางยุทธศาสตร์สำหรับการเลือกตั้งปี 2570 อย่างไร
เพราะถึงที่สุดแล้ว ทุกพรรคการเมืองต่างก็มีภาพของหน้าตารัฐบาลไว้คร่าวๆ ทั้งนั้น
ทำไมฉันถึงมองว่าสนุก
หากเรามองการเมืองประชาธิปไตยเป็นกระบวนการ ไม่ได้มองว่าประชาธิปไตยคือผลลัพธ์
การแข่งขันกันแบบนี้ย่อมก่อให้เกิดแรงเขย่าและสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางใดทางหนึ่ง
เช่น อาจทำให้บางพรรคเริ่มตระหนักว่ากติกาบางอย่างไม่สมเหตุสมผล หลายๆ พรรคการเมืองเริ่มเห็นตรงกันว่า กกต.ไม่ได้อำนวยความยุติธรรมในการเลือกตั้งจริงๆ
ความพยายามวางกติกาใหม่ที่เป็นคุณต่อความเข้มแข็งของประชาธิปไตยอาจจะไม่ได้มาจากความต้องการความยุติธรรมในแง่ของศีลธรรม แต่เกิดจากภาวะ “สู้ไม่ไหว”
เช่น ซื้อเสียงเหมือนกันแต่ซื้อสู้อีกพรรคหนึ่งไม่ได้ เลยหันมาโจมตีการซื้อเสียง โจมตีการทำงานของ กกต. ตรวจสอบ กกต.
และทั้งหมดนี้ในระยะยาวย่อมทำให้สังคมเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการมีอยู่ของ กกต. ไม่ใช่เครื่องมือที่ช่วยให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ ยุติธรรม เพียงเครื่องมือเดียว
หันมามอง “รสนิยม” ในการเลือกนักการเมืองและพรรคการเมืองของ “คนใต้” ที่ได้ชื่อว่าฉลาดและกินหลากหลาย
บ.ก.ฟ้าเดียวกันผู้ปราดเปรื่องได้วิเคราะห์เอาไว้อย่างน่าจับใจว่า คนใต้เป็นไบโพลาร์ เลือก ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จากอุดมการณ์ ส่วน ส.ส.เขตนั้นเอาไว้เพื่อ “ขายเสียง” (ถ้าคนใต้จะโกรธ กรุณาอย่าโกรธฉัน เพราะฉันไม่ได้เป็นคนพูดประโยคนี้และไม่ได้เห็นด้วยกับความเห็นนี้)
โดยอ้างว่า การเลือกตั้งปี 2566 คนใต้เทคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ให้ก้าวไกล ถือเป็นการเลือกโดยอุดมการณ์
แต่พอเป็น ส.ส.เขตก็เลือกกันมาอย่างหลากหลาย คือมาทั้งรวมไทยสร้างชาติ มาทั้งภูมิใจไทย
ฉันขอวิเคราะห์อย่างหลวมและหยาบ อีกทั้งจะไม่บอกว่าการวิเคราะห์ของตนเองถูก
แต่เขียนขึ้นมาเพื่อให้ได้ถกเถียงกันต่อ
ฉันคิดว่าการเลือกตั้งในภาคใต้นั้นไม่มีอะไรซับซ้อน และคนใต้เลือกอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เพื่อไทย ไม่ใช่ทักษิณ ไม่ใช่ชินวัตร เท่านั้นเลย
ภาวะเกลียดกลัวทักษิณของโหวตเตอร์ชาวใต้คือพลังขับเคลื่อนการเลือกตั้ง เอาเสาไฟฟ้าลงแข่งกับพรรคเพื่อไทยก็เชื่อได้ว่าพรรคเพื่อไทยจะพ่ายแพ้ให้แก่เสาไฟฟ้าแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์
ส่วนคำถามว่าทำไมชาวใต้ถึงเกลียดทักษิณ เกลียดพรรคเพื่อไทย ฉันคิดว่าประโยค “คนใต้กินหลากหลาย” อธิบายได้ชัดเจน
คำว่าคนใต้กินหลากหลาย สะท้อนได้ไหมว่าคนใต้มองว่าตนเองฉลาด
เหตุที่ฉลาดเพราะอุดมสมบูรณ์ มีป่า มีทะเล มีผลไม้ ไม่แร้นแค้นยากไร้เหมือนคนอีสาน คนเหนือ ที่ไม่มีอะไรกิน สารอาหารไม่ครบ ไอคิวจึงต่ำ การเลือกพรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย จึงเป็นการเลือกของ “คนโง่” โง่เพราะทุพโภชนาการ
ดังนั้น เพื่อยืนยันความเป็นคนฉลาดไอคิวสูงของคนใต้ คนใต้จึงเลือกอะไรก็ได้บนโลกใบนี้ยกเว้นพรรคเพื่อไทยและชินวัตร
ก่อนหน้านี้คนใต้เลือกประชาธิปปัตย์ และประชาธิปัตย์ไม่ต้องทำอะไรเยอะ แค่หล่อเลี้ยงภาพลักษณ์ความฉลาด ซื่อสัตย์ ชีวิตสมถะ นักกฎหมาย พูดเก่ง พูดคำใหญ่คำโต
สิ่งที่ชาวใต้ทำมาตลอดคือการเลือกพรรคประชาธิปัตย์กับการได้ชื่อว่า “ไม่โง่” ไปพร้อมๆ กับถนนที่แย่ที่สุดในประเทศไทย โครงสร้างพื้นฐานไม่ได้รับการพัฒนาเท่ากับภาคเหนือ กลาง อีสาน และกลายเป็นว่า ภาคอีสานถนนดีมาก
กลุ่มทุนท้องถิ่นอีสานพัฒนาและเติบโตไปกับการค้าชายแดนอย่างเงียบๆ แต่ยั่งยืน
ภาคอีสานปลูกยางพาราส่งออก มีข้าวหอมระดับโลก คนอีสานเป็นเชฟในร้านอาหารญี่ปุ่นมากที่สุด เป็นโกลบอลซิติเซนไปทำงานต่างประเทศมากที่สุด มีโลกทัศน์กว้างขวาง
แต่แทนที่คนใต้จะบอกว่าตัวเองเลือก “ผู้แทนฯ” ห่วย คนใต้กลับได้รับคำอธิบายจากอดีตนายกฯ ประชาธิปัตย์ว่า เพราะคนใต้ไม่เลือกพรรคไทยรักไทย คนใต้จึงถูกทอดทิ้ง รัฐบาลไม่รักเรา รัฐบาลเอางบฯ ไปพัฒนาภาคเหนือ ภาคอีสานหมด
เพราะเป็นโหวตเตอร์ของพรรครัฐบาล หรือมายาคตินี้สะท้อนในคำถามนักข่าวที่ถามนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ว่าน้ำท่วมภาคใต้ นายกฯ ไม่ได้ดูแลเลย ไม่รักคนใต้เท่ากับที่รักคนเหนือเหรอ? เป็นที่มาของประโยคอันลือลั่น “สามีคนใต้” ลุกลามสานต่อดราม่าไปอีก และดราม่ามันก็มีที่มาที่ไปในประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัยจริงๆ
(ฉันไม่ได้บอกว่าคนใต้ทุกคนเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้น ผู้อ่านต้องวงเล็บ not all ในขณะที่อ่านด้วยตนเอง)
คนเลือกทักษิณ เพื่อไทย ชินวัตร = คนโง่ ในเมื่อคนใต้ไม่โง่ จึงเลือกอะไรก็ได้ยกเว้นพรรคแดง
ประชาธิปัตย์สูญเสียฐานที่มั่นในภาคใต้ไปเพราะอะไร?
การรัฐประหารสองครั้งในรอบสิบปีไม่ได้สร้างความอ่อนแอให้พรรคการเมืองที่ถูกรัฐประหารเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบต่อความเข้มแข็งและความต่อเนื่องของพรรคการเมืองทุกพรรค
พรรคระดับชาติอย่างพรรคชาติไทยพัฒนาต้องปรับสเกลไปเป็นพรรคท้องถิ่น ชาติไทยพัฒนา secure ตัวเองไว้ที่ฐานเสียงของตัวเอง ทำทุกอย่างในสเกลนี้ให้แม่นยำ ยืนระยะเป็นรัฐบาลทุกสมัย มีเก้าอี้รัฐมนตรีอย่างน้อยหนึ่งเก้าอี้
พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคที่ปรับตัวได้อย่างน่าสนใจที่สุด นั่นคือขาหนึ่งปั้นบุรีรัมย์โมเดลให้เห็นตัวอย่างความสำเร็จของความฝัน ของการเชื่อมต่อท้องถิ่นกับความเป็นระดับโลกผ่านธุรกิจกีฬาทั้งฟุตบอลและโมโตจีพี
อีกขาหนึ่งทำ networking กับสื่อ ชนชั้นกลาง และกลุ่มคนในสายงายครีเอทีฟในรูปของซอฟต์เพาเวอร์แบบไม่กระโตกกระตาก มายาวนานไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์กลุ่มไทบ้าน และผ้าย้อมครามในฐานะส่วนหนึ่งของทีมฟุตบอลบุรีรัมย์ เป็นเสื้อ เป็นผ้าพันคอ เป็นของที่ระลึกที่ล้างกลิ่นโคลนสาบควายออกหมดจดสู่ดีไซน์สากลและทำอย่างเงียบๆ
ในขณะที่มีเรื่องชวนฉงนในกรณีที่ดินเขากระโดง มีประเด็นฮั้ว ส.ว.สายสีน้ำเงิน ภูมิใจไทยก็มีเซเลบเกิดใหม่ในภาพลักษณ์ใหม่ เช่น ภราดร ปริศนานันทกุล มี ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ ที่ไม่มีอะไรด่างพร้อย สวย สุขุม สุภาพ แต่งตัวเป๊ะ ไม่ขัดแย้งกับใคร นอบน้อมต่อนายกฯ และสวมฮิญาบลงพื้นที่กับพี่น้องมุสลิม
พูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ณ วันนี้พรรคการเมืองที่บาลานซ์ทั้งสายดาร์กสายขาวได้กลมกล่อมอย่างไม่น่าเชื่อคือภูมิใจไทย ในความเป็นพรรคอันดับสาม ไม่มีใครคาดหวังสูง มีซิงเกิลคอมมานด์ในพรรคชัด
ทำให้ภูมิใจไทยเป็นพรรคที่มีเวลาทำงานเพื่อสร้างความเข้มแข็งอันเอื้อให้พรรคเติบโตได้ดีที่สุด
(แต่จะยั่งยืนหรือไม่ในอนาคตเมื่อเงื่อนไขอื่นถูกเติมเข้ามาก็ต้องไปดูกันข้างหน้า)
พรรคประชาธิปัตย์ได้รับความเสียหายจากการรัฐประหารในหลายระดับ
นั่นคือ ลืมตัวไปสนับสนุนขบวนม็อบที่นำไปสู่การสร้างความชอบธรรมให้กับการรัฐประหารถึงสองครั้ง คือ พันธมิตรฯ และ กปปส. สิ่งนี้ทำลายความชอบธรรมทางการเมืองของพรรคการเมืองในเชิงสถาบันอย่างรุนแรง
และทำให้พรรคไม่มีเสน่ห์ดึงดูดคนรุ่นใหม่ นักวิชาการ เทคโนแครต เก่งๆ ให้มาทำงานให้พรรคอีกเลย
เจนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในพรรค คือ รัชดา ธนาดิเรก
วิชา HR101 ที่ทุกคนรู้คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่ในองค์กรไม่มีคนเก๋ คนเก่งเป็นหน้าเป็นตาให้องค์กร องค์กรนั้นก็จะไม่มีคนเก๋คนเก่งอยากเข้ามาทำงาน
เมื่อก่อนใครๆ ก็อยากเป็นประชาธิปัตย์ อยากเป็นแบบมาร์ค อยากเป็นแบบกรณ์
แต่ภาพลักษณ์ที่เสียหายจากการไปร่วมกับพันธมิตรฯ กปปส. การตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร การปราบคนเสื้อแดงปี 2553 โดยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสุเทพ เทือกสุบรรณ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์สูญเสียความชอบธรรม คะแนนนิยม และไม่มี “แบรนด์แอมบาสเดอร์” หน้าใหม่ๆ ของพรรคมาดึงเลือดใหม่เข้าพรรคได้เลย
ใหม่สุดคือ จิตภัสสร์ กฤดากร ซึ่งก็จบบทบาทของตัวเองไปแล้ว ลูกหลานอย่าง พริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ ก็หนีตายไปอยู่กับสาขาสองคือพรรคส้ม
ดังนั้น จึงชัดเจนว่าการรัฐประหารสองครั้งทำให้พรรคประชาธิปัตย์อ่อนแอ นำมาสู่ภาวะแตกสลาย และยากจะกลับมาเป็นพรรคระดับชาติได้อีก
และจุดแข็งของพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยได้ชื่อว่า “ไม่มีนายใหญ่” ไม่ได้เป็นของตระกูลใด เมื่อแตกสลายแบบนี้ก็ไม่มี “เจ้าภาพ” ที่จะมากอบกู้ เพราะไม่มีใครเป็นเจ้าของพรรค
“เจ้าที่” จะลุกมาปรับเป็นพรรคระดับท้องถิ่นแบบชาติไทยพัฒนาก็ไม่ได้ เพราะชาติไทยพัฒนาเป็นภารกิจของลูกหลานท่านบรรหาร ศิลปอาชา ถามว่า แล้วภารกิจกอบกู้ประชาธิปัตย์เป็นของใคร ก็ได้แต่กรอกตา
ด้วยสภาพนี้ถามว่าต่อให้ไม่มีการใช้กระสุนเลย ประชาธิปัตย์ก็ไม่มีวันชนะ เพราะสภาพของพรรคเหมือนแพแตก การส่งผู้สมัครจึงใช้แต่สรรพกำลังที่เป็นตัวบุคคล ไม่มีความเป็นพรรคในแง่สถาบันทางการเมืองมาค้ำจุนเลย
ฉันอาจจะผิดก็ได้ แต่ฉันมองไม่เห็นอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์เลยในทุกการเลือกตั้งที่จะมีในอนาคต
พรรคประชาชน ทำไมถึงแพ้ในสนามนครศรีธรรมราช?
แพ้เพราะเป็นการเลือกตั้งซ่อม คนออกมาใช่สิทธิ์น้อย? ก็มีส่วน
แต่สิ่งที่ต้องนำพิจารณาอย่างหนักหน่วงคือเป้าหมายของพรรคประชาชนไม่ได้ลงเลือกเพื่อจะชนะ
แต่ลงเลือกเพื่อขยายฐานเสียง ลงเลือกตั้งเพื่อสะสมคะแนนไว้ในการเลือกตั้งใหญ่ปี 2570
พรรคประชาชนจึงระดมทุกสรรพกำลังขึ้นเวที ทั้งพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ทั้งพริษฐ์ วัชรสินธุ เท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ รังสิมันต์ โรม ต๋อม วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส่ง ส.ส.คนใต้อย่างภัคมน หนุนอนันต์ ไปปลุกเร้าจิตใจ ด้วยสรรพกำลังที่ทุ่มลงไปขนาดนี้ แต่ได้คะแนนกลับมาเพียง 6,084 คะแนน ซึ่งน้อยอย่างน่าใจหาย
ฉันนั่งเช็กว่าเนื้อหาของการปราศรัยของพรรคประชาชนมีอะไรบ้าง
หนึ่ง เน้นย้ำว่าต่อต้านคอร์รัปชั่น คอร์รัปชั่นคือศัตรู
สอง เป็นพรรคการเมืองที่ไม่เป็นหางเครื่องของรัฐบาล หากเลือกพรรคภูมิใจไทย กล้าธรรม หรือ ปชป. ก็เท่ากับเลือกหางเครื่องของแพทองธาร
สาม เป็นพรรคที่ไม่มีบ้านใหญ่ ไม่มีพี่ใหญ่ ไม่มีครูใหญ่ มีแต่ประชาชนเป็นใหญ่
สี่ ปัญหาทุจริตกัดกินประเทศ ต้องเลือกฝ่ายค้านไปตรวจสอบรัฐบาล
ห้า นักการเมืองล้วนแต่เข้าไปแสวงหาประโยชน์ มีแต่พรรคประชาชนเท่านั้นที่เข้าไปเพื่อทำงานให้ประชาชน
หก พรรคเพื่อไทยตระบัดสัตย์ (แต่คู่แข่งในสนามนี้ไม่มีเพื่อไทย เลยไม่รู้ว่าพูดไปทำไม)
เนื้อหาการปราศรัยวนเวียนอยู่เท่านี้ ให้น้ำหนักกับการบอกว่าตัวเองเป็นคนดีกว่าคนอื่น
ซึ่งหากเอาไปหาเสียงในพื้นที่อื่นๆ อาจจะได้ผล แต่มันไม่มีได้ผลในพื้นที่ภาคใต้
เพราะทั้งหมดนี้เป็นการเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน ไปด่าเพื่อไทยให้คนที่เกลียดเพื่อไทยอยู่แล้วฟัง มันจะได้คะแนนกี่โมง?
ที่สำคัญไปหาเสียงโดยการด่าเพื่อไทยทั้งๆ ที่พรรคเพื่อไทยไม่ได้ลงแข่ง?
ถามว่าทำไมพรรคประชาชนไม่หาเสียงโดยโจมตีภูมิใจไทย หรือโจมตีธรรมนัส พรหมเผ่า หรือโจมตีนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็น รมต.เกษตรฯ?
คำตอบคือ “ป๊อด”
ถึงที่สุดที่อ้างว่ามีความกล้าหาญคือ กล้าเฉพาะกับพรรคเพื่อไทย กับคนอื่นคือยืนกุมเป้าสั่นๆ หมด
กลัวภูมิใจไทยไม่คบ กลัวธรรมนัส กลัวนฤมล กลัวหมด เลยใช้วีธีอ้อมไปว่า ถ้าเลือกกล้าธรรมคือไปเติมเสียงให้แพทองธารนะ?
หากพรรคประชาชนมีความกล้าหาญจริงควรอภิปรายเรื่องราคาพืชผลการเกษตร ประมง ที่เป็นงานของ รมต.นฤมลโดยตรง แต่ไม่พูด ไม่โจมตี ไพล่ไปด่าทักษิณให้คนใต้ฟัง คนใต้ก็กรอกตา แล้วบอกว่ากูด่ามาก่อน ด่าเจ็บด้วย
หรือจะโจมตีภูมิใจไทยที่ดูแลมหาดไทย ความมั่นคง เป็นรองนายกฯ ไม่แม้แต่จะโจมตีนโยบายรัฐบาลที่ส่งผลทางลบต่อชีวิตชาวนครฯ
ไม่ทำอะไรเลยนอกจากยกก้นตัวเองให้ดูว่าไม่มีขี้ติดตูด สะอาดมาก ดีมาก เลือกเราเถอะ เราเป็นคนดี
หนักกว่านั้นพรรคประชาชนยังพกอินเนอร์ของพรรคการเมืองที่ชนะอันดับหนึ่งของทุกโพลไว้กับตัวเองตลอดเวลา
ทุกครั้งที่ขึ้นเวทีจึงพูดด้วยอินเนอร์ของแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งต่อไปเสมอ ซึ่งมันขัดแย้งกับเนื้อหาบนเวทีปราศรัยที่เบาหวิว โชว์แต่ทักษะการโปรเจ็กต์เสียง
สองปีที่เหลือ พรรคประชาชนกำลังทำให้ตัวเองกลายเป็นพรรคขายวาทกรรมและน้ำลาย
ลำพูนกลายเป็นสนามวิ่งเล่นของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มีนายกฯ ตัวจริงเป็นลูกสมุน และจะแพ้ในทุกสนามการเมืองท้องถิ่น
ผลการเลือกตั้งปี 2570 จะเป็นเบี้ยหัวแตกเฉลี่ยไปทุกพรรค พรรคการเมืองไหนจับสัญญาณได้ก่อน จะไม่เหนื่อยมาก เพราะจะตั้งโจทย์ได้แม่นยำ
และพรรคการเมืองไหนจับสัญญาณได้ก่อน ควรจะรู้ว่าต้องลงทุนกับการสร้าง foundation ให้พรรคกับการสร้างคน โดยมองการเลือกตั้งปี 2574 เป็นเป้าหมายหลัก และปี 2570 เป็นการประคองตัว
แล้วจะมีอยู่พรรคหนึ่งที่ยังเชื่อว่าตัวเองจะชนะเพียงเพราะยุทธิวิธีแคมเปญ สร้างแบรนด์ และชนะในโพลออนไลน์ เพราะมัวแต่มาเล่นอยู่ในเกมยั่วโมโหของ “นางแบก” กับเกมของ “สื่อ” ที่ใช้นักการเมืองพรรคส้มขับเคลื่อนเอนเกจเมนต์ไปวันๆ และมีเวลาจะชนะในการเลือกตั้งอีกไม่เกิน 1 ครั้งในแบบที่จะไม่ได้เป็นรัฐบาลอีก
ถ้า “ส้ม” จะอ่านเกมนี้ออกก็อ่านออก ถ้าอ่านไม่ออกก็มีชีวิตผูกจิตอยู่กับเพื่อไทยตลอดกาลจนกว่าจะหาไม่
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022