ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 พฤษภาคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | พื้นที่ระหว่างบรรทัด |
ผู้เขียน | ชาตรี ประกิตนนทการ |
เผยแพร่ |
พื้นที่ระหว่างบรรทัด | ชาตรี ประกิตนนทการ
สตง. Ground Zero
ควรออกแบบเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความน่าละอาย
ของรัฐราชการไทย (1)
สําหรับผมแล้ว เหตุการณ์ตึก สตง.ถล่ม เมื่อ 28 มีนาคม 2568 จากแผ่นดินไหวในประเทศเมียนมา คือ สัญลักษณ์แห่งความล้มเหลวพังทลายในระบบการทำงานของ “รัฐราชการไทย”
เป็นที่พูดถึงมายาวนานแล้วถึงประสิทธิภาพงานก่อสร้างอาคารในระบบราชการที่มีขั้นตอนยุ่งยากซับซ้อนเกินความจำเป็น การสร้างระบบตรวจสอบระหว่างทางถี่ยิบแต่ขาดประสิทธิภาพ การออกเกณฑ์การจัดซื้อจัดจ้างที่เข้มงวดแต่กลับถูกตั้งคำถามว่าเป็นไปเพื่อเอื้อประโยชน์พวกพ้องมากกว่าคุณภาพ ไปจนถึงงานเอกสารที่ล้นเกินแต่ไม่มีประโยชน์
ไม่ใช่แค่งานก่อสร้างอาคารเท่านั้น แต่แทบทุกมิติในระบบราชการไทยต่างเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น การทำงานที่เชื่องช้า (เร็วเฉพาะนายสั่ง) ทำงานแบบบนลงล่าง (top down) และยึดติดกับระเบียบราชการยิบย่อยมากกว่าผลลัพธ์
ระบบราชการที่ยุ่งยากมากมายเหล่านี้ถูกออกแบบขึ้นด้วยเหตุผลเรื่องความโปร่งใสในการเป็นกลไกป้องกันและตรวจสอบการทุจริต แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม
จากผลสำรวจดัชนีรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index หรือ CPI) ที่ใช้วัดความโปร่งใสของภาครัฐทั่วโลก ประจำปี 2567 ประเทศไทยได้คะแนนเพียง 34 คะแนน อยู่ในอันดับ 107 ของโลก และเป็นคะแนนที่ต่ำสุดในรอบ 12 ปี (อ้างถึงใน https://policywatch.thaipbs.or.th/article/government-132)
ผลสำรวจนี้สะท้อนให้เราเห็นว่า “รัฐไทย” ที่ยังคงมีลักษณะการบริหารจัดการแบบ “รัฐราชการ” สูงมากในเกือบทุกมิติ ทั้งรวมศูนย์อำนาจ ทำงานด้วยเครือข่ายแบบอุปถัมภ์มากกว่าความสามารถ และขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้เดินทางมาสู่จุดวิกฤตแล้ว
แต่ความเลวร้ายที่สะท้อนผ่านตัวเลขดังกล่าวก็ดูจะไม่เป็นที่สนใจมากนัก อาจจะเป็นเพราะความชินชา หรืออาจเป็นเพราะการนำเสนอในเชิงตัวเลขที่ดูนามธรรมเกินไป

ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์
การพังทลายของตึก สตง. คือรูปธรรมที่เปิดเปลือยให้เราเห็นว่าสังคมไทยกำลังอยู่ในก้นเหวที่ลึกที่สุดของความล่มสลายในระบบความโปร่งใสของรัฐราชการไทย
เงินทอน การออกแบบผิดพลาด คุณภาพวัสดุก่อสร้าง การสั่งแก้แบบก่อสร้างระหว่างทาง การปลอมแปลงเอกสาร บริษัทก่อสร้างสัญชาติจีนที่อาจไม่ได้มาตรฐาน การฮั้วประมูล ความล่าช้าในการก่อสร้าง การจัดซื้อจัดจ้างเฟอร์นิเจอร์ราคาสูงจนน่าเกลียด การออกแบบพื้นที่ภายในที่เต็มไปด้วยสิ่งไม่จำเป็น ฯลฯ ทั้งหมดนี้คือคำถามที่สังคมสงสัยต่อความโปร่งใสของตึกหลังนี้
แน่นอน ความสงสัยนี้มิใช่เกิดขึ้นเฉพาะตึก สตง. แต่มันเกิดขึ้นมาหลายทศวรรษแล้ว และมีการเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูประบบราชการไทยมายาวนาน แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นอย่างจริงจังเสียที
จนกรณีตึก สตง. ที่ดูเสมือนว่าระบบนี้มันได้เดินมาจนถึงจุดเลวร้ายขั้นสุด ตึกพังทลายจนมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จากตัวเลข ณ วันที่ 25 เมษายน 2568 มีผู้เสียชีวิตแล้ว 62 ราย สูญหาย 32 ราย
ที่น่าตกใจคือ การพังทลายนี้เกิดขึ้นกับตึก “สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน” ที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบการใช้งบประมาณแผ่นดิน (ภาษีประชาชน) ให้มีความโปร่งใสที่สุด และต้องรักษาผลประโยชน์ของชาติมากที่สุด
ผมเชื่อว่าสังคมไทยสะเทือนใจและตกใจกับกรณีนี้ และอยากให้มีการสืบหาข้อเท็จจริง นำตัวบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
แม้ปัจจุบันจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อสืบสวนข้อเท็จจริงขึ้นมาแล้ว แต่ผมคิดว่าอาจไม่เพียงพอต่อความสูญเสียและเลวร้ายที่เกิดขึ้น
ในทัศนะผม กรณีนี้มิได้เป็นเพียงความล้มเหลวผิดพลาดเฉพาะการก่อสร้างตึกหลังนี้ แต่มันคือสิ่งที่สะท้อนความล้มเหลวโดยรวมของระบบราชการแบบไทยๆ ที่ฝังแน่นยาวนนานหลายสิบปี
ดังนั้น สังคมไทยควรใช้กรณีนี้เป็นจุดตั้งต้นในการเผยให้เห็นความล้มเหลวเชิงโครงสร้างที่ฝังลึกของรัฐราชการไทย เพื่อนำไปสู่การเรียกร้องการปฏิรูปครั้งใหญ่สู่อนาคต และเพื่อไม่ให้กรณีนี้สูญหายไปตามกาลเวลาเหมือนกรณีอื่นๆ อีกมากมาย
ผมอยากเสนอให้มีการสร้าง “อนุสรณ์สถานแห่งความน่าละอายของรัฐราชการไทย” ณ ตำแหน่ง สตง. Ground Zero
ข้อเสนอนี้ คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดที่จะสร้างอนุสรณ์สถานเพื่อพูดถึงความล้มเหลวของรัฐราชการไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงออกมาต่อต้านอย่างหัวชนฝาแน่นอน กระนั้นผมก็อยากจะขอลองฝันดูสักหน่อย
แม้ปัจจุบันเรื่องนี้ยังปรากฏเนื้อข่าวตามสื่อต่างๆ อยู่ แต่กระแสก็เริ่มน้อยลงตามสัจธรรมของโลกในยุคข้อมูลข่าวสารท่วมท้นล้นยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทร
เมื่อภารกิจค้นหาร่างผู้เสียชีวิตและสูญหายจบลง ภูเขาเศษซากของตึก สตง. ก็คงจะถูกเร่งปรับสภาพพื้นที่อย่างรวดเร็วจนไม่หลงเหลือภาพแห่งความน่าหดหู่สะเทือนใจอีกต่อไป
และภายในเวลาไม่กี่เดือนไม่กี่ปีหลังจากนี้ ความทรงจำเกี่ยวกับผู้คนเป็นจำนวนมากที่ต้องตายอย่างไม่จำเป็นก็คงเลือนหายไปจากสังคมไทย หลงเหลือเพียงร่องรอยในโลกโซเชียลที่แม้จะไม่สูญหายไปไหน แต่ก็ไร้พลัง ทั้งหมดคงเป็นเพียงคลิปภาพเหตุการณ์ในอดีตที่ไม่ต่างจากคลิปโศกนาฏกรรมมากมายที่เกิดขึ้นแทบจะทุกวันในทุกมุมโลก
อาจจะมีการหยิบยกมาพูดถึงบ้างเมื่อถึงคราวครบรอบ 1 ปี, 5 ปี, 10 ปี อาจมีพิธีระลึกถึงบ้าง แต่ก็คงมีค่าเพียงแค่การระลึกถึงโศกนาฏกรรมครั้งหนึ่งในหลายครั้งที่เกิดขึ้นมากมายจนนับไม่ไหว และอาจเป็นได้เพียงการระลึกถึงผู้สูญเสียที่จับมือใครดมไม่ได้ (อีกครั้ง) หาคนผิดมาลงโทษไม่เจอ (อีกแล้ว) หรือหากหาได้จริง ก็อาจเป็นเพียงความผิดพลาดเชิงปัจเจกบุคคลที่คงไม่ได้นำไปสู่การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างแต่อย่างใด
หากไม่อยากปล่อยให้กรณี ตึก สตง.ถล่ม ดำเนินไปเช่นนั้น สังคมไทยต้องเรียกร้องในสิ่งที่ไปไกลมากกว่าการระบายความโกรธและการเรียกร้องเพียงแค่ให้มีการตรวจสอบสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งคงเป็นกระแสกดดันที่ยืนระยะยาวในสังคมไทยไม่ได้นาน
สังคมจำเป็นต้องผลักดัน ณ ช่วงเวลาที่กระแสยังคงสูงอยู่นี้ ให้เกิดสิ่งที่ยั่งยืนระยะยาวกว่า นั่นก็คือ การเปลี่ยนพื้นที่ สตง. Ground Zero ให้กลายเป็นอนุสรณ์สถาน เพื่อส่งต่ออารมณ์ความรู้สึก ความเจ็บปวด ความสะเทือนใจ ที่เกิดจากความล้มเหลวที่ไม่น่าให้อภัยของระบบราชการแบบไทยๆ ไปสู่คนรุ่นต่อไป
อนุสรณ์สถานแห่งนี้จะเป็นบทเรียนให้แก่รัฐราชการไทยในการปฏิรูปตนเองสู่อนาคต คอยย้ำเตือนข้าราชการทั้งหมดให้ตระหนักว่า ครั้งหนึ่ง ภายใต้ความเละเทะของระบบที่แม้กระทั่งหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบความโปร่งใสของระบบ ยังล้มเหลวเองจนก่อให้เกิดโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่ได้
ทำไมต้องเป็น “อนุสรณ์สถานแห่งความน่าละอาย” ไม่ใช่ “อนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงผู้สูญเสีย” ตามรูปแบบที่นิยมทำกันมากในโลกนี้และสังคมไทย
หากเราสร้างเพียงอนุสรณ์สถานระลึกถึงผู้ตาย แม้อาจทำให้ญาติผู้สูญเสียบรรเทาความเศร้าลงได้บ้าง (เพราะรู้สึกว่ารัฐมองเห็นความสำคัญ) แต่ไม่อาจนำพาสังคมไปสู่ความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง และนับวันผู้เกี่ยวของกับผู้ตายก็จะค่อยๆ น้อยลงไปตามกาลเวลา
ไม่ช้าอนุสรณ์สถานแห่งนั้นก็จะมีสภาพเป็นเพียง อิฐ หิน ปูน เหล็ก ที่ไร้พลังลงเรื่อยๆ
“อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา 16” และ “อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม” เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ตัวอนุสรณ์สถานออกแบบเน้นให้ความสำคัญต่อการระลึกถึงผู้สูญเสียโดยขาดภาษาทางสถาปัตยกรรมที่แสดงถึงอาชญากรรมรัฐกระทำต่อประชาชน ตัวองค์ประกอบหลักมีลักษณะคล้ายสถูปเจดีย์ ดูนิ่งสงบ และไร้นัยยะเชิงสัญลักษณ์ของความโกรธแค้นต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น
แม้อนุสรณ์สถานทั้งสองแห่งยังคงมีกิจกรรมระลึกถึงเหตุการณ์และผู้สูญเสียทุกปีจนกระทั่งปัจจุบัน แต่คงไม่เกินไปนักหากจะพูดว่า จิตวิญญาณของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและอยากได้อนาคตที่ดีขึ้นซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของทั้งสองเหตุการณ์ อนุสรณ์สถานทั้งสองแห่งยังไม่สามารถถ่ายทอดจิตวิญญาณดังกล่าวออกมาได้
ด้วยเหตุนี้ หากความฝันเป็นจริง หากเราสามารถเปลี่ยน สตง. Ground zero เป็นอนุสรณ์สถานได้จริง การสร้าง “อนุสรณ์สถานแห่งความน่าละอาย” ที่บันทึกความล้มเหลว ผิดพลาด และการทุจริตของระบบราชการไว้ อย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ และเตือนใจไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย จึงเป็นข้อเสนอที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสังคมไทยได้ดีที่สุด และเป็นวิธีการให้เกียรติผู้สูญเสียอย่างเหมาะสมที่สุด
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022