
ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 พฤษภาคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
ชนเผ่าพื้นเมืองหลายชาติพันธุ์ในจีนและในไทย เดินทางไปมาหาสู่กันและกันนับพันๆ ปีมาแล้ว ทั้งนี้ สืบเนื่องจากคนไทยมีบรรพชนเป็นชาวสยาม ซึ่งเป็นลูกผสมของชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมหลายชาติพันธุ์ “ร้อยพ่อพันแม่” ทั้งในไทยและในจีน หลายพันปีมาแล้ว
ความสัมพันธ์จีน-ไทยในประวัติศาสตร์ไทย (กระแสหลัก) ซึ่งหลอกสังคมไทยเกือบ 100 ปีมาแล้ว สรุปดังนี้
(1.) จีน-ไทย เริ่มแรกมีความสัมพันธ์ในสมัยสุโขทัยราชธานีแห่งแรกของไทย (2.) พ่อขุนรามคำแหง เสด็จเมืองจีน 2 ครั้ง และ (3.) จักรพรรดิจีนให้ช่างจีนแก่พ่อขุนรามคำแหงเพื่อทำเครื่องเคลือบสังคโลกที่สุโขทัย
แต่หลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดีเท่าที่พบขณะนี้ ไม่สนับสนุนประวัติศาสตร์ (กระแสหลัก) ดังนี้
(1.) สุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรกของไทย (2.) พ่อขุนรามคำแหง ไม่เคยเสด็จเมืองจีน ไม่ว่าครั้งเดียว หรือ 2 ครั้ง แต่เจ้านายเชื้อสาย “พระร่วง” สุโขทัยเสด็จเมืองจีน คือ เจ้านครอินทร์ แห่งรัฐสุพรรณภูมิ และ (3.) จักรพรรดิจีนไม่เคยพระราชทานช่างจีนแก่ พ่อขุนรามคำแหง แต่จักรพรรดิจีนพระราชทานช่างจีนแก่เจ้านครอินทร์ จากนั้นเจ้านครอินทร์ให้ช่างจีนขึ้นไปทำเครื่องเคลือบที่สุโขทัยกับศรีสัชนาลัย เรียกสมัยหลังว่าเครื่องสังคโลก
หนังสือ “ประวัติจีนกรุงสยาม” (เล่ม 1) โดย เจฟฟรี ซุน และพิมพ์ประไพ พิศาลบุตร ไม่มีเรื่องพ่อขุนรามคำแหงไปเมืองจีน เพื่อสร้างความสัมพันธ์จีน-ไทย จึงเป็นหนังสือวิชาการสำคัญน่าซื้อหาไปอ่าน แล้วเก็บไว้ประจำบ้านอย่างภูมิฐาน ขณะเดียวกันห้องสมุดสถานศึกษาทุกระดับควรซื้อไว้บริการผู้สนใจเรื่องนี้ เพราะหนังสือประวัติศาสตร์ (กระแสหลัก) ที่มีอยู่ใช้การไม่ได้แล้ว
หลักฐานวิชาการทางประวัติศาสตร์โบราณคดี สนับสนุนความสัมพันธ์จีน-ไทย หลายพันปีมาแล้ว ได้แก่ ภาษาและวรรณกรรม, หม้อสามขา, กลองสำริด, โบราณวัตถุและเอกสารจีนราชวงศ์ฮั่น, ปฏิทิน, สิบสองนักษัตร, ขวัญ, แถน, พิธีกรรมหลังความ ตาย, นาทดน้ำ, ดีเอ็นเอ เป็นต้น
[1.] ภาษาและวรรณกรรม มีต้นตอหรือรากเหง้าราว 3,000 ปีมาแล้ว จากภาษาตระกูลไท-กะได หรือไท-ไต มีศูนย์กลางอยู่มณฑลกวางสี ภาคใต้ของจีน พรมแดนต่อเนื่องเวียดนามภาคเหนือ
ภาษาและวรรณกรรมในโลกเคลื่อนไหวไปตามเส้นทางการค้าโดยคนไม่จำเป็นต้องโยกย้าย หรืออพยพตามไปด้วย
ดังนั้น ภาษาและวรรณกรรมไท-ไต จากกวางสี-เวียดนาม เคลื่อนที่ไปตามเส้นทางการค้าถึงลุ่มน้ำโขง, ลุ่มน้ำสาละวิน, ลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยคนจากกวางสี-เวียดนาม ไม่ต้องโยกย้ายหรืออพยพไปด้วยกัน
[2.] หม้อสามขา เครื่องเซ่นผีที่เป็นชนชั้นนำ ต้องฝังหม้อสามขาในหลุมศพรวมกับร่างคนตาย ราว 3,000 ปีมาแล้ว
ชนเผ่าพื้นเมืองหลายชาติพันธุ์รับหม้อสามขาจากจีน แล้วแพร่กระจายลงทางทิศใต้ไปตามเส้นทางคมนาคม ถึงลุ่มน้ำเจ้าพระยา และคาบสมุทรมลายู ดังนั้น เมื่อหัวหน้าเผ่าพันธุ์ตาย ก็เอาหม้อสามขาฝังรวมในหลุมฝังศพเพื่อใช้งานในโลกต่างมิติตามความเชื่อเรื่องขวัญทางศาสนาผี (เหมือนหม้อลายเขียนสีบ้านเชียง)
หม้อสามขาในไทย พบมากบริเวณลุ่มน้ำแม่กลองตอนบน-แควใหญ่, แควน้อย (กาญจนบุรี) จากนั้นกระจายถึงลุ่มน้ำท่าจีน (สุพรรณบุรี) และลุ่มน้ำน้อย (อ่างทอง)
หม้อสามขาเหล่านี้ไม่ได้นำลงมาจากลุ่มน้ำฮวงโหในจีน แต่ทำขึ้นในท้องถิ่นสำหรับฝังในหลุมศพเท่านั้น จึงไม่ได้ทำขึ้นใช้ในชีวิตประจำวัน
[3.] กลองสำริด เป็นต้นแบบของเครื่องมือประโคมในไทย ได้แก่ ฆ้อง เช่น ฆ้องหุ่ย, ฆ้องวง ฯลฯ แหล่งผลิตดั้งเดิมอยู่ในจีน บริเวณมณฑลยูนนาน และมณฑลกวางสีต่อเนื่องเวียดนาม
ทำด้วยสำริดซึ่งเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงกับดีบุก ดังนั้น กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เรียกกลองทอง, กลองสำริด ส่วนจีนเรียก “ถงกู่” หมายถึงกลองทองแดง
ไทยทุกวันนี้เรียกกลองสำริดว่า “กลองมโหระทึก” จากความเข้าใจผิดว่าตรงกับ “หรทึก” ในกฎมณเฑียรบาลสมัยอยุธยา แต่จริงๆ แล้ว “หรทึก” หมายถึงเครื่องประโคมในพิธีพราหมณ์จากอินเดีย ต่อมาราชสำนักอยุธยายกย่องเป็นเครื่องประโคมศักดิ์สิทธิ์ เรียก “หรทึก”
[4.] ขวัญ ความเชื่อทางศาสนาผีว่าขวัญหมายถึงพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ มีในคน, สัตว์, พืช, สิ่งของ, อาคารสถานที่ [ขวัญต่างจากวิญญาณ ซึ่งทดแทนกันมิได้ แต่ปัจจุบันปนกันระหว่างขวัญทางศาสนาผี กับวิญญาณทางศาสนาพุทธ]
คำว่า “ขวัญ” รับจากจีนว่า เฮวิ๋น, หวั๋น (ดูในหนังสือของพระยาอนุมานฯ)
[5.] แถน หมายถึงผีฟ้า ได้จากคำจีนว่า เทียน หรือ เตียน แปลว่าฟ้า

[6.] พิธีกรรมหลังความตาย ต้องจัดการซากศพ 2 ครั้ง เรียกฝังศพครั้งแรก และ ฝังศพครั้งที่ 2 เป็นพิธีกรรมตามความเชื่อขวัญทางศาสนาผีหลายพันปีมาแล้ว
พบเหมือนกันตั้งแต่แผ่นดินใหญ่ลุ่มน้ำฮวงโหและแยงซีในจีน, ภาคพื้นทวีปอุษาคเนย์ จนถึงคาบสมุทรและหมู่เกาะอุษาคเนย์ มากกว่า 2,500 ปีมาแล้ว เป็นหลักฐานสำคัญแสดงความสัมพันธ์จีน-ไทย
[7.] ราชวงศ์ฮั่น จีน-ไทย มีความสัมพันธ์เก่าแก่ตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่น 2,200 ปี ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับการค้าระยะไกลทางทะเลสมัยเริ่มแรกกับอินเดีย ซึ่งมีสินค้าสำคัญคือทองแดง จึงถูกอินเดียเรียก “สุวรรณภูมิ”
เอกสารจีนที่แสดงประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์จีน-ไทย ได้แก่ “ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่นฉบับหลวง” เขียนถึงประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (ก่อน ค.ศ.205-ค.ศ.25/ก่อน พ.ศ.748-568) แต่งโดยปันกู้ ซึ่งในบรรพ 28 ว่าด้วยภูมิศาสตร์ มีเนื้อหาระบุการเดินเรือผ่านไปยังดินแดนต่างๆ บริเวณอุษาคเนย์ รวมทั้งดินแดนบ้านเมืองในไทยสมัยโบราณ [อาจารย์ประพฤทธิ์ ศุกลรัตนเมธี เสนอหลักฐานทางประวัติศาสตร์ “ประวัติความสัมพันธ์ไทย-จีนในเอกสารจีน” คณะศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2555]
พบชิ้นส่วนเครื่องปั้นจีนสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (202 ปีก่อนคริสตกาล-9/341-552) ที่สุราษฎร์ธานี เป็นหลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่าชาวจีนค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับดินแดนในเขตประเทศไทยมานานกว่า 2,000 ปีแล้ว [จากหนังสือประวัติจีนกรุงสยาม เล่มที่ 1 หน้า 12]
[8.] ปฏิทินจากจีน ล้านนาได้ต้นแบบปฏิทินจาก “กานจือ” ของจีน ราว 2,000 ปีมาแล้ว เป็นปฏิทินลำดับปีและวัน แบบนับวนเป็นรอบๆ และรอบละ 60 เรียกว่า “แม่ปีลูกปี” (ที่ลำดับปี) หรือ “แม่มื้อลูกมื้อ” (ที่ลำดับวัน)
[9.] สิบสองนักษัตร ไทยรับจากจีน (ไม่อินเดีย) จีนเปลี่ยนปีนักษัตรตอนปีใหม่จีน (ตรุษจีน) ไทยเปลี่ยนปีนักษัตรตอนปีใหม่ไทย คือ เดือนอ้าย หรือเดือนที่ 1 หลังลอยกระทง ตรงกับปฏิทินสากลราวพฤศจิกายน-ธันวาคม
[แต่ถูกชนชั้นนำอำนาจรวมศูนย์ครอบงำว่าเปลี่ยนตอนสงกรานต์ ซึ่งไม่ใช่ เพราะสงกรานต์เป็นพิธีขึ้นปีใหม่ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่ไทยรับจากอินเดีย ส่วนสิบสองนักษัตรไม่มีในอินเดีย เนื่องจากสิบสองนักษัตรเป็นสิ่งเนื่องในศาสนาผีที่ไทยรับจากจีน]
[10.] นาทดน้ำ มีคันนากักเก็บน้ำ เป็นเทคโนโลยีจากจีน มากกว่า 2,000 ปีมาแล้ว
จีนพบนาข้าวเก่าแก่ 6,000 ปีมาแล้ว ทางตะวันออกของจีน บริเวณพื้นที่ตอนล่างของดินดอนสามเหลี่ยม ปากแม่น้ำแยงซี มณฑลเจ้อเจียง
[11.] “ดีเอ็นเอ” ฮวงโห, แยงซี ความสัมพันธ์จีน-ไทย มีก่อน 1,700 ปีมาแล้ว หรือก่อน พ.ศ.868 (สุวรรณภูมิ) พบดีเอ็นเอของคนในจีนบริเวณลุ่มน้ำฮวงโห ราว 1,700 ปีมาแล้ว ปนอยู่กับดีเอ็นเอของคนพื้นเมืองในไทยที่แม่ฮ่องสอน
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ของกลุ่มตัวอย่างจากโลงผีแมน (อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน) โดยนักพันธุศาสตร์ (มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก) ร่วมกับนักโบราณคดี (มหาวิทยาลัยศิลปากร กรุงเทพฯ) มีการเผยแพร่ต่อสาธารณะเมื่อต้นปีที่แล้ว พ.ศ.2567 •
| สุจิตต์ วงษ์เทศ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022