‘เข้าใจภาษีทรัมป์ช็อกโลกด้วยกราฟิก 4 เรื่อง’ (จบ)

เกษียร เตชะพีระ

การเมืองวัฒนธรรม | เกษียร เตชะพีระ

 

‘เข้าใจภาษีทรัมป์ช็อกโลกด้วยกราฟิก 4 เรื่อง’ (จบ)

 

2) บทเรียนสงครามการค้าโลกในประวัติศาสตร์

เพียงชั่วห้าปีจากปี 1929-1933 สงครามการค้าโลกอันสืบเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำใหญ่ทั่วโลก (ซึ่งปะทุขึ้นด้วยตลาดหุ้นวอลล์สตรีตล่มเมื่อปี 1929 https://www.blockdit.com/posts/5fc5ce4ddb9db52587177dfd) ก็ส่งผลให้การค้าโลกหดตัวลงเหลือหนึ่งในสามจากระดับเดิมของมัน คือจาก 2,997.7 ล้านดอลลาร์ เมื่อปี 1929 เหลือ -> 1,058.9 ล้านดอลลาร์ ในปี 1933

กราฟิก (1) นี้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักเศรษฐศาสตร์ มันถูกค้นคิดขึ้นในงานศึกษาเมื่อปี 1973 โดยนักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจอเมริกัน Charles Poor Kindleberger II (1910-2003) ผู้เป็นศาสตราจารย์สังกัด Massachusetts Institute of Technology จึงเรียกกันว่าเกลียวก้นหอยคินเดิลเบอร์เกอร์ (the Kindleberger Spiral) ตามชื่อผู้ค้นคิดและรูปทรงของมัน (https://economictimes.indiatimes.com/news/international/global-trends/does-kindlebergers-spiral-predict-economic-depressions/articleshow/120053853.cms?UTM_Source=Google_Newsstand&UTM_Campaign=RSS_Feed&UTM_Medium=Referral)

กราฟิกเกลียวก้นหอยนี้สาธิตให้เห็นว่าสงครามการค้าสามารถเวียนเหวี่ยงหลุดพ้นออกไปจากการควบคุมและผลักพาโลกให้ตกลงสู่วงจรการตอบโต้แก้เผ็ดทำลายล้างซึ่งกันและกันอย่างรวดเร็วได้อย่างไร มันส่งผลให้การค้าโลกที่เพิ่มพูนขึ้นมหาศาลในช่วงสามทศวรรษแรกของศตวรรษที่ยี่สิบถูกกวาดล้างหายเรียบไปในชั่วไม่ถึงสี่ปีหลังวิกฤตตลาด หุ้นวอลล์สตรีตล่มเมื่อปี 1929 เนื่องจากมาตรการปกป้องการค้าต่างแก้เผ็ดเอาคืนที่นานาชาติดำเนินต่อกันและกัน อย่างหน้ามืดตามัวสมัยนั้น

คำถามชวนคิดคือ ในสภาพที่การค้ามีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นทุกทีในเศรษฐกิจโลกทุกวันนี้ (ดูกราฟิก (2) ซ้าย) ภาษีทรัมป์จะส่งผลกระทบอย่างไรโดยเฉพาะเจาะจงต่อบรรดาประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐปัจจุบันซึ่งรวมทั้งประเทศไทยเราด้วย (ดูกราฟิก (2) ขวา)

กราฟิก (2)  ซ้าย : กระแสไหลเวียนของการค้าคิดเป็นร้อยละของ GDP โลกจากปี 1970-2023;
ขวา : ประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐมากที่สุดตามลำดับคิดเป็นพันล้านดอลลาร์, Le Monde, 17 f?vrier 2025

3) เศรษฐกิจอเมริกันเสี่ยงเสียสมดุล

หลังผ่านโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจมาเกือบศตวรรษ การผุดโผล่ขึ้นใหม่ของด่านขวางกั้นการค้านำมาซึ่งความ เสี่ยงนานัปการอย่างไม่ปรากฏมาก่อน

กล่าวสำหรับในประเทศอเมริกาเอง เกิดความเสี่ยงสำคัญที่เศรษฐกิจอเมริกันจะเสียสมดุล เพราะส่วนแบ่งของสินค้านำเข้าระหว่างประเทศในการค้าโลกมากมายมหาศาลชนิดเทียบกันไม่ติดกับเมื่อศตวรรษที่แล้ว

เมื่อจวนเจียนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่สองนั้น สินค้านำเข้าสหรัฐคิดเป็นแค่ไม่ถึง 3% ของ GDP สหรัฐ ซึ่งหมายความว่าการค้าระหว่างประเทศมีส่วนแบ่งเพียงเล็กน้อยในการผลิตโภคทรัพย์ทั้งหมดของอเมริกา

ทว่า ในปี 2025 ปัจจุบัน ยอดรวมสินค้านำเข้ากลับคิดเป็นเกือบ 15% ของ GDP สหรัฐเอง นั่นหมายความว่าการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มสูงขึ้นย่อมเสี่ยงจะส่งผลลัพธ์ให้เกิดเงินเฟ้อในหลายภาคส่วนเศรษฐกิจ อาทิ อุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งพึ่งพาอาศัยบริษัทผู้รับเหมาช่วงมากมายที่ตั้งอยู่นอกประเทศสหรัฐเองอย่างหนัก

กราฟิก (1) กราฟิกการค้าโลกวัดโดยยอดมูลค่าสินค้านำเข้ารายเดือนของ 75 ประเทศคิดเป็นล้าน $ จากปี 1929-1933 เส้นโยงทึบระบุจังหวะกฎหมายขึ้นภาษีนำเข้า Hawley-Smoot สหรัฐมีผลบังคับใช้เมื่อ 17 มิถุนายน 1930 ส่งผลให้ประเทศคู่ค้าสหรัฐ พากันขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้บ้าง, ข้อมูลจากสถิติรายเดือนของสันนิบาตชาติ กุมภาพันธ์ 1934, Le Monde, 6 Avril 2025

4) ภาวะขาดดุลการค้าของอเมริกา : รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง

ภาวะขาดดุลการค้าและบริการอย่างหนักของสหรัฐปัจจุบัน (จากที่เคยเกินดุล 3,508 ล้านดอลลาร์ เมื่อปี 1960 มาเป็น -> ขาดดุล 917,835 ล้านดอลลาร์ ในปี 2024) เกิดจากความประสงค์ร้ายอยากเอารัดเอาเปรียบของเหล่าประเทศคู่ค้าในโลกของสหรัฐ หรือว่าเกิดจากการใช้จ่ายเกินตัวของชาวอเมริกันเองกันแน่?

ประธานาธิบดีทรัมป์คิดเองเออเองว่าการที่สหรัฐขาดดุลการค้านับแต่ทศวรรษที่ 1970 เป็นต้นมาเกิดจากประเทศอื่นๆ พากัน “ขูดรีดเอาเปรียบ” สหรัฐ โดยการปกป้องตลาดในประเทศของตัวด้วยภาษีนำเข้าและอุปสรรคการค้าที่ไม่ใช่ภาษีอื่นๆ รวมทั้งการบิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา

กราฟิก (3) : กราฟิกแสดงสินค้านำเข้าสหรัฐคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของ GDP สหรัฐเองจากปี 1930-2024, Le Monde, 6 Avril 2025

นายสตีเวน มิรัน ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทำเนียบขาวปัจจุบัน อธิบายว่าสหรัฐถูกชักจูงให้คงภาวะขาดดุลการค้าและบริการสืบเนื่องมานมนานเพื่อค้ำจุนสนับสนุนอุปสงค์ของนานาประเทศต่อเงินตราสกุลดอลลาร์สหรัฐ เขาบอกว่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีค่าแข็งเกินไป ส่งผลให้สินค้าส่งออกจากสหรัฐแข่งสู้สินค้าจากประเทศอื่นได้น้อยลง นี่เท่ากับว่าประเทศต่างๆ ทั้งหลายยัดเยียด “ภาระ” ให้บรรดาธุรกิจอเมริกันทั้งหลายแบกรับ (https://www.whitehouse.gov/briefings-statements/2025/04/cea-chairman-steve-miran-hudson-institute-event-remarks/)

อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่กลับเห็นว่าความเป็นจริงมันตื้นง่ายกว่านั้นมาก เรื่องของเรื่องคือตัวแสดงเศรษฐกิจอเมริกันทั้งหลายไม่ว่าครัวเรือนเอย บริษัทเอย รัฐอเมริกันเองเอย ฯลฯ บริโภคล้นพ้นตัวเกินไป ใช้จ่ายมากว่าที่ผลิตได้แค่นั้นเอง

พึงสังเกตว่าภาวะขาดดุลกับนานาประเทศของอเมริกานั้นด้านหลักแล้วเป็นขาดดุลการค้า ไม่ใช่ขาดดุลบริการ (ซึ่งหมายถึงการท่องเที่ยว, บริการให้คำปรึกษา, บริการการเงิน, สิทธิบัตร, ซอฟต์แวร์, การเชื่อมต่อข้อมูล หรือคลาวด์คอมพิวติง ฯลฯ) ตรงกันข้าม ในแง่ดุลบริการนี้ สหรัฐเกินดุลเกือบ 3 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2024 ทีเดียว!

กราฟิก (4) : ดุลการค้าและบริการของสหรัฐคิดเป็นล้านดอลลาร์ จากปี 1960-2024, Le Monde, 6 Avril 2025