ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 พฤษภาคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ยุทธบทความ |
เผยแพร่ |
ยุทธบทความ | สุรชาติ บำรุงสุข
เดินหน้าสู่ปีที่ 4 (11)
เมื่อสงครามเปลี่ยนรูป
“เมื่อมาถึงวันที่ 5 ของการบุก ความหวังที่จะได้รับชัยชนะทันทีหายไปอย่างรวดเร็ว กระทรวงกลาโหมรัสเซียถูกบังคับให้ต้องยอมรับว่า ทหารรัสเซียหลายร้อยนายเสียชีวิตในยูเครน”
ดังได้กล่าวแล้วว่า เพียงไม่กี่วันหลังจากการบุกของรัสเซียในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 เริ่มปรากฏแนวโน้มที่ชัดเจนว่า ความหวังของประธานาธิบดีปูตินในการเข้าควบคุมยูเครนด้วยเครื่องมือทางทหาร ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง แต่ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นก็มิได้มีนัยว่ารัสเซียจะยุติ “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” (Special Military Operation)
แต่การตัดสินใจที่จะดำรงสภาพสงครามต่อไป โดยรัฐคู่สงครามยังไม่หยุดรบนั้น ย่อมมีนัยในวิชาทหารว่า สงครามจะเกิดการปรับเปลี่ยนตัวของสงครามเอง กล่าวคือ การรบในทุกสงครามมักเริ่มต้นด้วยการยุทธ์ในแบบของ “สงครามดำเนินกลยุทธ์” (Maneuver Warfare) ที่มีความคาดหวังที่จะได้รับชัยชนะอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อความหวังนั้นประสบความล้มเหลวจะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ การต่อสู้ระหว่างรัฐที่ยังไม่ยอมยุติการรบ จะขยับตัวเองไปสู่ความเป็น “สงครามทอนกำลัง” (Attrition Warfare)
แน่นอนว่าสงครามในรูปแบบของการรบด้วยยุทธศาสตร์ของการลดทอนกำลังนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่นักการยุทธศาสตร์และ/หรือนักการทหารไม่รู้จัก หรืออาจกล่าวได้ว่า 108 ปีก่อนการเกิดของสงครามยูเครน โลกได้เห็นถึงการกำเนิดของสงครามทอนกำลังชุดที่ใหญ่ที่สุดและโหดร้ายที่สุดชุดหนึ่งมาแล้วคือ สงครามโลกครั้งที่ 1
กองทัพของรัฐคู่สงครามในปี 1914 เริ่มด้วยความหวังไม่แตกต่างจากประธานาธิบดีปูตินในปี 2022 โดยในครั้งนั้น ผู้นำของรัฐคู่พิพาทล้วนเชื่อว่าสงครามจะรบไม่นานนัก และพวกเขาจะกลับมาบ้านอย่างวีรบุรุษก่อนที่เทศกาลคริสต์มาสของปี 1914 จะเริ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว เหล่าทหารได้กลับบ้านมาฉลองคริสต์มาสจริงๆ ในปลายปี 1918 ต่างหาก…
สงครามในความเป็นจริงยาวกว่าที่พวกเขาคิดเสมอ!
ทฤษฎีการสงคราม
สงครามยูเครนดำเนินไปอย่างเหลือเชื่อ ที่กองทัพของประเทศที่เล็กกว่า มีกำลังทหารน้อยกว่า มีอำนาจทางทหารอ่อนแอกว่า มีฐานของอุตสาหกรรมทหารที่ด้อยและมีความจำกัดมากกว่า อีกทั้งมีขนาดของเศรษฐกิจที่เล็กและเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่รัสเซียมี แต่กลับสามารถทำให้ “สงครามสายฟ้าแลบ” ของรัสเซียในช่วงแรกนั้น ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งในช่วงกลางปี 2022 กองทัพยูเครนก็เริ่มต้นเปิด “การรุกตอบโต้กลับ” (counteroffensive) ได้อย่างไม่น่าที่จะเป็นไปได้ กระนั้น การรบมีข้อจำกัดในตัวเองอย่างมาก เพราะหน้ากว้างของแนวรบมีความยาวประมาณ 500-600 ไมล์ และการรบเกิดขึ้นตลอดแนว
หากพิจารณาศักยภาพในการทำสงครามของรัสเซียก่อนการบุกยูเครนแล้ว เราจะพบภาพเชิงเปรียบเทียบ ดังนี้ รัสเซียมีกำลังพลมากกว่ายูเครนประมาณ 5 เท่า มีงบประมาณทางทหารมากกว่าประมาณ 11 เท่า และมีเศรษฐกิจใหญ่กว่าประมาณ 8 เท่า อีกทั้งยังมีอำนาจทางทหาร ที่สะท้อนจากการมียุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยในแบบต่างๆ เช่น เครื่องบินรบ (เช่น เครื่อง Su-34 และ Su-35) รถถังหลัก (เช่น T-72 และ T-90) ปืนใหญ่และรถยิงจรวดหลายลำกล้อง (เช่น 2S4 Tulpan, 2S7 Pion, BM-21 Grad) ทั้งยังมีอาวุธนิวเคลียร์อีกด้วย
แต่สุดท้ายแล้ว ความเหนือกว่าทางทหารไม่ถูกแปรให้เป็น “ความเหนือกว่าทางยุทธศาสตร์” ที่จะทำให้กองทัพรัสเซียประสบชัยชนะในการสงครามได้จริง อันเป็นผลจากการที่อำนาจทางทหารประสบความล้มเหลวในอันที่จะทำให้กองทัพรัสเซียได้รับชัยชนะในสนามรบอย่างรวดเร็ว ผลจากเงื่อนไขสงครามที่เกิดขึ้นเช่นนี้ คุณลักษณะของสงครามที่ตามมาจึงเป็นการรบในแบบที่ “เหนื่อยยาก-เหนื่อยล้า” (exhaustion)
อันเป็นการรบที่คู่สงครามจะมุ่งทำลายอาวุธและกำลังพลของอีกฝ่ายหนึ่งให้หมดลงทีละนิด… ทีละนิดไปเรื่อยๆ จนกว่าอาวุธและกำลังพลของฝ่ายตรงข้ามจะไปถึงสภาวะของการสิ้นสภาพที่จะทำการรบต่อไปได้
ชัยชนะของการรบเช่นนี้ เป็นผลมาจากการที่กำลังรบของฝ่ายข้าศึกถูกทำลายลงในอัตราที่ไม่สามารถทดแทนได้ หรืออัตราการสูญเสียของข้าศึกเกินกว่าอัตราการทดแทน ขณะเดียวกันก็พยายามรักษาอัตราการสูญเสียของฝ่ายตนให้อยู่ในระดับที่สามารถแบกรับได้ ภาวะเช่นนี้จะเป็นเงื่อนไขของชัยชนะในสงคราม เพราะฝ่ายตรงข้ามจะไม่มีขีดความสามารถทางกายภาพเหลือพอที่จะดำรงความริเริ่มในสงครามได้ และจะต้องยอมรับความพ่ายแพ้ที่จะเกิดตามมา ลักษณะของสงครามเช่นนี้ก็คือ “สงครามทอนกำลัง” นั่นเอง
ว่าที่จริงคำอธิบายในเชิงยุทธศาสตร์ได้จากชื่อของสงครามโดยตรงคือ การรบที่มุ่งทำลายศักยภาพของข้าศึกให้หมดลงไปเรื่อยๆ จนไม่สามารถทำการรบต่อไปได้ สงครามเช่นนี้มีการรบแบบนองเลือดในหลายจุด มีความสูญเสียมากทั้งกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ แต่การรบที่เกิดขึ้นก็ไม่เป็นจุดตัดสินในตัวเอง คือ ไม่มีการรบในแบบที่ “น็อกเอาต์” คู่ต่อสู้
อีกทั้งต่างฝ่ายต่างยึดพื้นที่ได้ไม่มาก หรือไม่สามารถเคลื่อนที่ไปได้มากในแนวรบ ในสงครามเช่นนี้ ผู้ชนะคือฝ่ายที่สามารถทดแทนความสูญเสียในสนามรบได้อย่างรวดเร็วและได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งความสูญเสียใหญ่ในสงครามยูเครน นอกเหนือจากจำนวนทหารแล้ว คือรถหุ้มเกราะและปืนใหญ่ระยะไกล สงครามแบบนี้จึงมีค่าใช้จ่ายในตัวเองสูงมาก รัฐผู้ชนะจึงต้องสามารถ “ดูดซับ” ความสูญเสียของกำลังพลและกำลังอาวุธได้มาก
(อาจจะต้องใช้คำว่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุดตลอดช่วงเวลาของสงคราม)
สงครามทอนกำลัง
หากพิจารณาถึงความเปลี่ยนแปลงของสงคราม เราจะเห็นภาพในระดับมหภาค 3 ประการ ดังนี้
1) การไม่ประสบชัยชนะอย่างรวดเร็วของกองทัพรัสเซีย และกองทัพยูเครนเปิดการรุกกลับ แต่ด้วยบริบทของสงครามส่งผลให้ทหารทั้ง 2 ฝ่ายดำเนินการไม่แตกต่างกัน คือต้องสร้างแนวสนามเพลาะเพื่อป้องกันตนเอง และเพื่อเหนี่ยวรั้งการรุกของข้าศึก พร้อมกับการใช้ปืนใหญ่ระดมยิงอย่างหนัก และรัสเซียหันไปใช้การเข้าตีในแบบ “คลื่นมนุษย์” (human-wave attacks) สภาวะเช่นนี้เป็นคำตอบว่า สงครามยูเครนตั้งแต่ปี 2022 ได้กลายเป็น “สงครามทอนกำลัง” ไปเองโดยปริยาย หรืออาจกล่าวได้ว่ามีสภาพคล้ายกับสงครามโลกครั้งที่ 1
ผลที่ตามมาอย่างมีนัยสำคัญคือ ความสูญเสียของทหารในสนามรบของทั้ง 2 ฝ่าย แต่ดังที่รับทราบกันกองทัพรัสเซียเป็นฝ่ายสูญเสียอย่างมาก เฉพาะในปีแรกของสงคราม (2022) นั้น กองทัพรัสเซียสูญเสียทหารมากที่สุดนับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ดังจะเห็นได้ว่าความสูญเสียต่อเดือนของกำลังพลประจำการและกำลังพลนอกแบบ (irregular soldiers) สูงเป็นอย่างน้อย 25 เท่าของความสูญเสียในสงครามกับชาวเชเชน (Chechnya; 1994-1996, 1999-2009) และเป็นอย่างน้อย 35 เท่าของความสูญเสียในสงครามอัฟกานิสถาน (1979-1989) จนอาจกล่าวได้ว่า ยูเครนกลายเป็น “สุสานทหารนิรนาม” ของกองทัพรัสเซียอย่างชัดเจน
ในช่วง 1 ปีแรกของสงครามยูเครนนั้น รัสเซียสูญเสียกำลังพลราว 2 แสน-2.5 แสนนาย (ตาย บาดเจ็บ และสูญหาย) หรือมีอัตราการสูญเสียของทหารรัสเซียประมาณ 5,000-5,800 นายต่อเดือน เปรียบเทียบกับ 15 ปีของสงครามเชเชนนั้น รัสเซียเสียกำลังพล 13,000-25,000 นาย หรือคิดเป็น 95-185 นายต่อเดือน ส่วนในสงครามอัฟกานิสถานนั้น โซเวียตเสียกำลังพลทั้งหมด 14,000-16,000 นาย หรือคิดเป็น 130-145 นายต่อเดือน ซึ่งถือเป็นอัตราการสูญเสียที่สูงมากในทางทหาร
สภาวะของสงครามทอนกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของกองทัพรัสเซียอย่างชัดเจน เพราะอัตราการสูญเสียทหารและยุทโธปกรณ์เป็นจำนวนมาก เช่น ในปีแรกของสงคราม รัสเซียเสียรถถังหลักที่เป็นกำลังรบมาตรฐานราว 50% (T-72B3, T-72B3M) และเสียรถถังหลักรุ่นใหม่ราว 2 ใน 3 (T-80BV/U)
2) กองทัพยูเครนรับมือกับการบุกของกองทัพรัสเซียได้ดีอย่างมาก และดีมากกว่าที่ชาติพันธมิตรตะวันตกคิด แม้กองทัพข้าศึกจะมีความเหนือกว่าทางทหารอย่างมาก เพราะการประเมินแต่เดิม คือกองทัพรัสเซียจะได้รับชัยชนะอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่หลายฝ่ายไม่ได้ประเมินถึงคือ การสร้าง “นวัตกรรมทหาร” (military innovation) ของกองทัพยูเครน โดยเฉพาะการใช้ระบบอากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aircraft Systems : UAS) ผสมผสานเข้ากับการยุทธ์ของกำลังรบทางบก จนสงครามยูเครนมีคุณลักษณะเป็น “สงครามโดรน” และโดรนได้กลายเป็น “นักทำลายล้าง” กองทหารรัสเซียอย่างมีประสิทธิภาพ
นวัตกรรมทหารที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการคิดของทหารในระดับต่างๆ ไม่ใช่มาจากการสั่งการของนายทหารระดับบน คือการคิดมีลักษณะเป็น “จากล่างขึ้นบน” (bottom-up innovation) ซึ่งเป็นผลจากทั้งแรงกดดันของสงคราม และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดโอกาสให้นายทหารชั้นต้นสามารถสร้างนวัตกรรมได้ ทั้งยังเปิดโอกาสให้พลเรือนที่เข้าร่วมรบ นำเอาวิทยาการจากภาคพลเรือนเข้ามาประยุกต์ใช้ในการรบกับกองทัพรัสเซีย
ดังจะเห็นถึงวิธีการรบใหม่ๆ ที่กองทัพยูเครนใช้ เช่น สงครามโดรน และสงครามไซเบอร์ เป็นต้น
3) การสร้างนวัตกรรมทหารมีความจำเป็น แต่ไม่เพียงพอในการรบกับกองทัพขนาดใหญ่ของรัสเซียอย่างแน่นอน เพราะกองทัพยูเครนต้องการการสนับสนุนทางทหารขนาดใหญ่ เช่น ระบบป้องกันทางอากาศ ปืนใหญ่ยิงระยะไกล รถหุ้มเกราะ รถถัง เครื่องบินรบ เครื่องกระสุน อะไหล่ทางทหาร และอุปกรณ์สำหรับการส่งกำลังบำรุง โดยเฉพาะความต้องการกระสุนปืนใหญ่ และอาวุธต่อต้านรถถังเป็นจำนวนมาก และข้อมูลงานข่าวกรองดาวเทียมที่มีส่วนอย่างมากในการช่วยกำหนดเป้าหมายในการโจมตี
ดังนั้น ความช่วยเหลือทางทหารจากรัฐพันธมิตรจึงมีความสำคัญต่อความอยู่รอดของยูเครนอย่างมาก เพราะโดยตัวของยูเครนเองแล้ว ยูเครนไม่สามารถแบกรับสงครามทอนกำลัง ที่มักมีระยะเวลาของสงครามนาน (หรืออาจนานกว่าที่หลายฝ่ายคิด รวมทั้งฝ่ายรัสเซียด้วย) ความช่วยเหลือจากภายนอกเช่นนี้จะมีส่วนอย่างมากในการตัดสินสงคราม หรือเมื่อถึงจุดหนึ่ง รัสเซียเองก็ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือทางทหารจากภายนอก
เช่น โดรนราคาถูกจากอิหร่าน กระสุนปืนใหญ่และกระสุนขนาดต่างๆ จากเกาหลีเหนือ อุปกรณ์ทหารบางอย่างจากจีน แม้จะไม่ใช่อาวุธก็ตาม
อนาคตที่หดหู่
จากการรบที่มีลักษณะติดพันและต่อเนื่องนั้น เห็นได้ชัดว่ายิ่งนานวัน สงครามยูเครนยิ่งมีความเป็น “สงครามทอนกำลัง” ในตัวเอง เพราะโอกาสที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะได้รับชัยชนะอย่างรวดเร็วนั้น ไม่น่าจะมีความเป็นไปได้ ประกอบกับศักยภาพในการทำการรบ และการสนับสนุนด้านอาวุธที่รัฐคู่สงครามมีอยู่ ยิ่งทำให้สงครามมีโอกาสยืดยาวออกไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยังไม่มีคู่สงครามฝ่ายใดที่ต้องการยุติการรบ
แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผู้สนับสนุนอาวุธรายใหญ่ของยูเครนคือ สหรัฐอเมริกาตัดสินใจที่จะยุติการส่งอาวุธ และบังคับให้ยูเครนต้องยอมเปิดการเจรจากับรัสเซีย!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022