การปกครองเปลี่ยน-แฟชั่นปรับ : แฟชั่นสมัยคณะราษฎร-สงคราม (2)

ณัฐพล ใจจริง

My Country Thailand | ณัฐพล ใจจริง

 

การปกครองเปลี่ยน-แฟชั่นปรับ

: แฟชั่นสมัยคณะราษฎร-สงคราม (2)

 

การปฏิวัติ 2475 ไม่แต่เพียงสถาปนาให้ประชาชนเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังทำให้แฟชั่นการแต่งกายหรูหราของราชสำนักที่เคยเป็นเครื่องแบ่งชั้นสูง-ต่ำทางสังคมคลี่คลายสู่ความเรียบง่ายและเท่าเทียมตามสมัยประชาธิปไตย

ภายหลังการปฏิวัติแล้ว คณะราษฎรได้เปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งกายข้าราชการชายจากแบบเดิมนุ่งโจงกระเบน เสื้อราชปะแตนมาสู่การแต่งกายแบบสากล ต่อมา หญิงเลิกนุ่งโจงกระเบน ผ้าซิ่น มานุ่งกระโปรง สวมเสื้อตัดเย็บแบบเรียบง่ายแทน จากนั้น มานิยมแฟชั่นเสื้อกระโปรงเป็นชุดสีต่างๆ

ต่อมา รัฐบาลสมัยรัฐนิยมแนะนำให้มีการแยกเสื้อผ้าเป็นชุดอยู่บ้าน ชุดออกนอกบ้านธรรมดา ชุดเข้าสังคม ชุดนอน ฯลฯ อันสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอารยะของชาติด้วย (ขุนวิจิตรมาตรา, 2523, 370-371)

แฟชั่นสตรีภายหลังการปฏิวัติ-ก่อนรัฐนิยม

แฟชั่นสตรีไทยสมัยระบอบประชาธิปไตยก่อนรัฐนิยม เครดิตภาพ : นนท์

นับจากแฟชั่นการแต่งกายหรูหราตามแบบวิกตอเรียนของสตรีในราชสำนักและสตรีชนชั้นสูงครั้งระบอบเก่าที่มาสู่ความเรียบหรูสมัยแกสบี้ช่วงก่อนสมบูรณาญาสิทธิราชย์

ภายหลังการปฏิวัติ แนวการแต่งกายของสตรีสามัญนั้นมักเสื้อแขนสั้นหรือแขนกุดที่ตัดเย็บอย่างเรียบง่าย ยาวเพียงเอวหรือคลุมเอวเล็กน้อย นุ่งซิ่นหรือนุ่งสเกิร์ต หรือสวมชุดกระโปรง ทรงผมดัดด้วยน้ำยาหรือดัดด้วยไฟฟ้าตามร้านทำผมสมัยใหม่เริ่มปรากฏโฆษณาบนหน้าหนังสือพิมพ์ สวมรองเท้าหนังสานหรือรองเท้าส้นสูง แฟชั่นการแต่งกายของสตรีที่เรียบง่ายที่ปรากฏทั่วไประหว่าง 2475-2484 ในหมู่ปัญญาชนสตรีและสตรีสามัญทั่วไป จากบันทึก สมศรี สุกุมลนันท์ คนร่วมสมัยเล่าถึงการแต่งกายของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อครั้ง 2481 ว่า สมัยนั้นนิสิตหญิงนิยมนุ่งผ้าซิ่นเช่นกัน (สมศรี สุกุมลนันท์, 2556, 91-93)

ภายหลังการปฏิวัติ 2475 เมื่อชาวกรุง ทั้งสตรีและคนดังสมัยนั้นคนใดที่ต้องการเสื้อผ้าชุดใหม่ ต้องไปซื้อผ้าจากสำเพ็งหรือพาหุรัดแล้ว หากชาวกรุงนั้นตัดเย็บไม่เป็นหรือต้องการชุดที่ทันสมัยมักนิยมมาตัดเสื้อที่ตลาดมิ่งเมือง วังบูรพา ร้านตัดเสื้อเหล่านั้นย่อมสามารถตอบสนองความต้องการนั้นได้อย่างไม่ยาก (วรรณชนก บุญปราศภัย, 2563, 17-18)

ร้านทำผมเมื่อ 2478 และการแต่งกายของแม่ค้านุ่งสเกิร์ตและผ้าซิ่นได้รับรางวัลในงานฉลองรัฐธรรมนูญ 2478-2479

ต่อมา รัฐบาลของจอมพล ป.ในช่วงก่อนสงครามโลก (2481-2484) ประกาศนโยบาย “สร้างชาติ” ที่มีเป้าหมายสานต่อการพัฒนาประเทศมีความก้าวหน้าตามหลัก 6 ประการต่อไป เขาเห็นว่า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว สมควรมีการปรับปรุงชาติขึ้นใหม่ แม้ชาติจะมีมานานแล้วก็ตาม แต่สภาวะของชาติบางประการยังไม่อยู่ในระดับความเป็นประชาชาติได้ ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องสร้างชาติให้ดีขึ้นกว่าเดิม

เขานิยามความหมายของคำว่า “สร้างชาติ” ไว้ว่า “มีวัฒนธรรมดี มีศีลธรรมดี มีอนามัยดี มีการแต่งกายอันเรียบร้อยเป็นระเบียบดี มีที่พักอาศัยดี และมีที่ทำมาหากินดี เหล่านั้นเป็นต้น เมื่อพลเมืองทุกคนมีสภาพดังกล่าวนี้แล้ว ชาติก็จะเป็นหน่วยรวมที่มั่งคั่งสมบูรณ์ ประชาชนก็สามารถช่วยกันประกอบงานส่วนกลางของชาติให้วัฒนารุ่งเรืองขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย” (ประมวลคำปราศรัยและสุนทรพจน์ของ ฯพณฯ จอมพล ป., 2485, 38)

จากนั้น รัฐบาลเริ่มเผยแพร่คำขวัญจำนวนมากที่ครอบคลุมนโยบายการสร้างชาติของเขา ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมอย่างกว้างขวางเพื่อสื่อสารแนวคิดการสร้างชาติไทยขึ้นใหม่ให้กับประชาชน กลางปี พ.ศ.2484 จอมพล ป.ขยายความคำว่า “สร้างชาติ” ของเขาดังต่อไปนี้

แฟชั่นสตรีไทย ช่วง 2478-2479 เครดิตภาพ : ศรีจามร

ประการแรก สร้างตนเอง ด้วยการบำรุงตนเองให้แข็งแรง มีวัฒนธรรม ประพฤติดี แต่งกายดี

ประการที่สอง สร้างครอบครัว มีความมัธยัสถ์ มั่นศึกษาหาความรู้ และเป็นพ่อบ้านแม่เรือน ให้การศึกษาแก่บุตรหลาน

และประการที่สาม เมื่อสามารถสร้างตัวเอง สร้างครอบครัวได้แล้ว คือ การสร้างชาติ เพราะชาติคือผลรวมของทั้งหมด นั่นคือการช่วยสร้างชาติ (ประมวลคำปราศรัยและสุนทรพจน์ของ ฯพณฯ จอมพล ป., 2485, 69)

ทั้งนี้ การแต่งกายของคนไทยทั่วไปภายหลังการปฏิวัติ 2475 เริ่มปรับเปลี่ยนไปสู่สากลมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. เช่น มีการส่งเสริมให้แต่งกายแบบสมัยใหม่ มีการสวมหมวก สวมรองเท้า สวมกางเกงหรือกระโปรงแทนนุ่งโจงกระเบน เกิดกระแสการตัดเสื้อตามสมัยนิยมมากขึ้นด้วยสตรีมีสิทธิเสรีภาพเสมอภาคเท่าเทียมกับชาย พร้อมกับกระแสที่สตรีเริ่มทำงานนอกบ้านมากขึ้น ในปี 2484 สตรีถูกร้องขอให้เลิกนุ่งผ้าโจงกระเบน ให้เปลี่ยนเป็นนุ่งผ้าซิ่นหรือกระโปรง ไว้ผมยาว สวมเสื้อตามสมัยนิยมเพื่อร่วมกันสร้างชาติ ด้วยรัฐมองว่า การแต่งกายที่มีวัฒนธรรม ช่วยสร้างความมีอารยะให้ชาติ (waymagazine.org/thai-silk-and-112/)

ความเปลี่ยนแปลงของแฟชั่นการแต่งกายของคนไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. เห็นได้ชัดจากประกาศรัฐนิยมตั้งแต่ 2481 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประกาศรัฐนิยม ฉบับที่ 10 เรื่องการแต่งกายของประชาชนชาวไทย ประกาศใช้เมื่อมกราคม 2484 ที่ต้องการสร้างชาติด้วยการส่งเสริมวัฒนธรรมให้เกิดขึ้นกับประชาชน ต่อมา มิถุนายน 2484 มีการนัดหมายให้คนไทยสวมหมวกให้เป็นส่วนหนึ่งของการแต่งกายของชาวไทย จอมพล ป.เรียกร้องให้คนไทยมีส่วนในการสร้างชาติด้วยการรักษาวัฒนธรรมการแต่งกาย การพูด การใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ เพื่อรักษาเกียรติภูมิของชาติ (ประมวลคำปราศรัยและสุนทรพจน์ของ ฯพณฯ จอมพล ป., 2485, 87)

กล่าวได้ว่า รัฐบาลจอมพล ป.ต้องการกำจัดความไม่เสมอภาคทางสังคมที่สะท้อนออกมาด้วยการแต่งกายดังปรากฏในระบอบเก่า อีกทั้งในสายตารัฐบาลเห็นว่า การแต่งกายที่มีวัฒนธรรมเกี่ยวข้องกับความมีอารยะ อันช่วยกำจัดความล้าหลังป่าเถื่อนทิ้งไปพร้อมผลักดันชาติไทยให้เจริญก้าวหน้า

ดังนั้น การแต่งกายแบบใหม่ของคนไทยจึงเป็นเป้าหมายของรัฐที่กำหนดให้เกิดกับประชาชนที่มีวัฒนธรรมอันเหมาะสมสอดคล้องกับชาติที่มีอารยะดังชาติไทยในระบอบประชาธิปไตย

การแต่งกายของสตรีไทยนุ่งสเกิร์ตและซิ่นภายหลังการปฏิวัติ เมื่อปี 2482
สตรีแห่งระบอบใหม่ เรียม เพศยนาวิน นางสาวไทยปี 2482 นุ่งผ้าซิ่น และสตรีสวมชุดกระโปรง เมื่อ 2483
สตรีไทยดัดผม สวมเสื้อแขนสั้นใส่สเกิร์ตหรือใส่ชุดกระโปรงที่เริ่มแพร่หลาย ช่วง 2478-2479
แฟชั่นสตรีไทย 2478-2479 และแฟชั่นสตรีไทย ก่อนสงคราม เครดิต : ศรีจามร และ Pinid Bulakul
การแต่งกายของสตรีในราชสำนัก ครั้งระบอบเก่า
สภาพการแต่งกายของหญิงสามัญสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์