การเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรประกันสังคม : ก้าวสำคัญของสวัสดิการเด็กไทย ท่ามกลางความผันผวนทางการเมือง

ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

ฝนไม่ถึงดิน | ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

 

การเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรประกันสังคม

: ก้าวสำคัญของสวัสดิการเด็กไทย

ท่ามกลางความผันผวนทางการเมือง

 

การปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรของผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมจาก 800 บาทเป็น 1,000 บาทต่อเดือน ที่มีผลตั้งแต่สิ้นเดือนเมษายน 2568 นับเป็นความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ส่งผลดีต่อเด็กไทยกว่า 1.2 ล้านคน

ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจากการผลักดันของทีมประกันสังคมก้าวหน้าที่ใช้เวลาเพียง 6 เดือนในการผลักดันนโยบาย

ซึ่งนับว่ารวดเร็วเมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์การพัฒนาเงินสงเคราะห์บุตรที่ผ่านมา

การปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรที่ผ่านมามีความล่าช้าและไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น

การปรับขึ้นเงินสงเคราะห์บุตรจาก 150 บาทในปี 2542 มาเป็น 1,000 บาทในปี 2568 ใช้เวลาถึง 26 ปี โดยการพัฒนาเกิดขึ้นอย่างไม่ต่อเนื่องและมีความล่าช้า

ความไม่ต่อเนื่องนี้มีความเชื่อมโยงอย่างมีนัยสำคัญกับความผันผวนทางการเมืองไทย โดยเฉพาะในช่วงที่มีการรัฐประหาร การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอย่างฉับพลันมักส่งผลให้นโยบายสวัสดิการสังคมถูกชะลอหรือยกเลิก

เห็นได้ชัดเจนในช่วงหลังรัฐประหารปี 2549 และ 2557 ที่การพัฒนาสวัสดิการเด็กมีความล่าช้าอย่างมาก

โดยเฉพาะช่วงปี 2548-2554 ที่ใช้เวลาถึง 6 ปีในการปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรจาก 350 บาทเป็น 400 บาท ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นมาก

รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารมักให้ความสำคัญกับประเด็นความมั่นคงและการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากกว่าการพัฒนาระบบสวัสดิการสังคม

นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสังคมและสวัสดิการมักถูกมองว่าเป็นภาระทางการคลังมากกว่าการลงทุนในทุนมนุษย์ของประเทศ

การที่ทีมประกันสังคมก้าวหน้าสามารถผลักดันให้มีการปรับเพิ่มได้ภายในเวลาเพียง 6 เดือนจึงสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างของนโยบายอันเกิดจากความมุ่งมั่นสำคัญและแรงจูงใจทางการเมืองที่ให้ความสำคัญกับนโยบายสวัสดิการสังคมมากกว่า

 

เงินสงเคราะห์บุตรเป็นมากกว่าเงินช่วยเหลือรายเดือน แต่เป็นเงื่อนไขสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกันตน

การลงทุนในประชากรรุ่นถัดไปผ่านสวัสดิการเด็กมีผลตอบแทนทางสังคมหลายประการ

การลดภาระหนี้นอกระบบของผู้ปกครองเป็นหนึ่งในผลลัพธ์ที่สำคัญ เงินสงเคราะห์ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายประจำวัน ทำให้ครอบครัวลดความจำเป็นในการกู้เงินนอกระบบที่มีดอกเบี้ยสูงเพื่อเลี้ยงดูบุตร โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานรับจ้างรายวันที่มีรายได้ไม่แน่นอน หรือครอบครัวที่มีภาระการเลี้ยงดูเด็กหลายคน

นอกจากนี้ เงินสงเคราะห์บุตรยังช่วยสร้างโอกาสการเรียนรู้ให้กับเด็ก

เงินที่ได้รับสามารถนำไปใช้เพื่อการศึกษา หนังสือ อุปกรณ์การเรียน และกิจกรรมพัฒนาการเด็ก ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาวในทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ

การสร้างความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพก็เป็นอีกประเด็นสำคัญ เพราะช่วยให้ครอบครัวสามารถจัดหาอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและการดูแลสุขภาพที่ดีขึ้นให้แก่เด็ก

ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการทางร่างกายและสมองในระยะยาว

นประเทศสวีเดน ระบบสวัสดิการเด็กถือเป็นต้นแบบที่น่าสนใจ

รัฐบาลสวีเดนจัดสรรเงินช่วยเหลือครอบครัว โดยไม่มีการทดสอบรายได้ครัวเรือน และมีการเพิ่มจำนวนเงินตามลำดับบุตร

ครอบครัวชาวสวีเดนรายหนึ่งให้ข้อมูลว่า เงินสงเคราะห์นี้ช่วยให้เธอสามารถจ่ายค่าเรียนดนตรีและกิจกรรมกีฬาสำหรับลูกสองคนได้โดยไม่กระทบค่าใช้จ่ายประจำวัน

ส่งผลให้เด็กๆ มีพัฒนาการด้านสังคมและความสามารถพิเศษที่ดี

ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่น แม้จะประสบปัญหาอัตราการเกิดต่ำ แต่ก็ได้พัฒนาระบบเงินอุดหนุนเด็กที่น่าสนใจ

โดยเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปีจะได้รับเงินช่วยเหลือ 15,000 เยน (ประมาณ 3,300 บาท) ต่อเดือน

ครอบครัวญี่ปุ่นรายหนึ่งเล่าว่า นอกจากนำเงินไปใช้จ่ายประจำวันแล้ว ยังนำไปเปิดบัญชีออมทรัพย์เพื่อการศึกษาของลูกในอนาคต เมื่อเด็กเข้าเรียนมหาวิทยาลัย

เงินออมนี้ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก

เมื่อเปรียบเทียบกับไทยที่ปรับเพิ่มเป็น 1,000 บาท แม้จะเป็นก้าวสำคัญ แต่ยังคงมีช่องว่างที่ต้องพัฒนาอีกมาก โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

เงิน 12,000 บาทต่อปี

คุณค่าที่แตกต่างตามบริบทครอบครัว

การได้รับเงินสงเคราะห์บุตร 1,000 บาทต่อเดือน รวมเป็น 12,000 บาทต่อปี มีความหมายแตกต่างกันไปตามฐานะทางเศรษฐกิจของแต่ละครอบครัว

สำหรับครอบครัวรายได้น้อย เงินจำนวนนี้อาจนำไปใช้เพื่อความจำเป็นพื้นฐาน เช่น อาหาร นม ผ้าอ้อม หรือค่าเดินทางไปโรงเรียน

ดังกรณีของครอบครัวแรงงานก่อสร้างในกรุงเทพฯ ที่มีรายได้รวมประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน เงินสงเคราะห์บุตรช่วยให้สามารถซื้อนมและอาหารที่มีประโยชน์ให้ลูกได้อย่างเพียงพอ โดยไม่ต้องลดคุณภาพอาหารเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

สำหรับครอบครัวรายได้ปานกลาง เงินจำนวนนี้อาจนำไปใช้เพื่อกิจกรรมเสริมพัฒนาการ หรือการออมเพื่อการศึกษาในอนาคต

เช่น ครอบครัวพนักงานบริษัทที่นำเงินส่วนนี้ไปสมัครเรียนพิเศษด้านภาษาอังกฤษและดนตรีให้กับลูก ซึ่งเป็นโอกาสที่อาจไม่เกิดขึ้นหากไม่มีเงินช่วยเหลือนี้

ในกรณีครอบครัวที่มีภาระพิเศษ เช่น เด็กที่มีความต้องการพิเศษ เงินสงเคราะห์นี้อาจนำไปใช้เพื่อการบำบัดหรืออุปกรณ์ช่วยเหลือเฉพาะทาง

ดังกรณีของครอบครัวในที่มีบุตรเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เงิน 1,000 บาทต่อเดือนช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายในการพาลูกไปรับการบำบัดที่โรงพยาบาลซึ่งอยู่ห่างจากบ้าน 40 กิโลเมตร

แม้จะไม่เพียงพอทั้งหมด แต่ก็ช่วยให้สามารถพาลูกไปรับการบำบัดได้อย่างสม่ำเสมอมากขึ้น

 

ต้นแบบสู่สวัสดิการครอบครัวด้านอื่น

ความสำเร็จในการปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรนี้ยืนยันว่าระบบสวัสดิการเด็กถ้วนหน้าสามารถพัฒนาต่อยอดสู่แนวคิดสวัสดิการครอบครัวด้านอื่นๆ ได้

เช่น การลาเพื่อดูแลคนในครอบครัว (Family Leave) ที่ทีมประกันสังคมก้าวหน้ากำลังผลักดัน

การมีระบบสวัสดิการที่ครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตจะช่วยสร้างความมั่นคงให้กับประชาชนทุกช่วงวัย

การเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นการเพิ่มจำนวนเงิน แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง

นี่คือก้าวสำคัญของการลงทุนในอนาคตของประเทศไทยผ่านการดูแลเด็กและครอบครัว