ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2568 |
---|---|
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
https://www.facebook.com/sirote.klampaiboon/
เปลี่ยนนายกฯ ก่อนที่จะต้องเปลี่ยนรัฐบาล
อยู่ดีๆ กระแสเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีและปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ลุกลามแบบที่ไม่ควรเป็น เพราะไทม์ไลน์การเมืองตอนนี้ตรงกับช่วงปิดสภา นักการเมืองทุกฝ่ายจึงเดินสาย “ดูงาน” ต่างประเทศจนการตอบโต้การเมืองหายไปหมด ไม่ต้องพูดว่ารัฐบาลเพิ่งชนะโหวตไว้วางใจ ซึ่งแปลว่าจะไม่มีการอภิปรายรัฐบาลไปอีกปี
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กระแสเปลี่ยนนายกฯ ดังขึ้น แต่เมื่อเทียบกับในอดีตที่ “กระแส” เกิดจากการวิเคราะห์ของสื่อและนักวิชาการ กระแสเปลี่ยนนายกฯ รอบนี้มาจากประชาชนรู้สึกแบบนี้มากจน “กระแส” ดังไปด้วย
กระแสจึงเป็นกระจกสะท้อนความอึดอัดและความหวังของประชาชนพร้อมกัน
คุณแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯ เครือข่ายคุณทักษิณ ชินวัตร คนที่ 6 และหากนับจากการเลือกตั้งปี 2544 ที่คุณทักษิณชนะเลือกตั้งจนถึงปี 2568 เครือข่ายคุณทักษิณก็มีอำนาจสูงสุดในประเทศมาแล้ว 12 ปีจากทั้งหมด 24 ปี ซึ่งมากพอที่จะทำให้คุณแพทองธารได้ประสบการณ์จากนายกฯ คนอื่นที่เป็นฝ่ายเดียวกัน
อย่างไรก็ดี ปีแรกของคุณแพทองธารผ่านไปอย่างกระท่อนกระแท่น คุณแพทองธารไม่มีวิสัยทัศน์แบบคุณทักษิณ ไม่มีเสน่ห์แบบคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่มีบารมีแบบคุณสมัคร สุนทรเวช ไม่มีทักษะบริหารแบบคุณเศรษฐา ทวีสิน และไม่เข้าใจระบบราชการแบบคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จน “กระแส” ต่อคุณแพทองธารไม่ดีขึ้นเลย
กองเชียร์รัฐบาลคงเถียงว่าคนที่หนุน “แพทองธาร” เป็นนายกฯ ต่อก็มี แต่คำพูดนี้ไม่มีความหมายอะไร เพราะนายกฯ ทุกคนล้วนมีใครบางคนในโลกเชียร์ให้เป็นนายกฯ ต่อทั้งนั้น
ประเด็นคือความอยากระดับบุคคลจะเป็น “กระแส” ก็ต่อเมื่อโยนเรื่องนี้แล้วมีคนขานรับ ซึ่งในกรณีคุณแพทองธารแทบไม่มีเลย
คอลัมนิสต์ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลบอกว่าเพื่อไทยเป็นเป้าของความเกลียดชัง แต่เมื่อบอกว่าอะไรเป็นเป้าก็เท่ากับสิ่งนั้นเป็นเหยื่อจนถูก “ล็อกเป้า” ปัญหาคือรัฐบาลคุณแพทองธารไม่ได้ถูกสังคมวิจารณ์เพราะเกลียดอย่างคุณทักษิณ, คุณสมัคร และคุณยิ่งลักษณ์ แต่มาจากปัญหาของรัฐบาลเองจริงๆ
สรุปสั้นๆ รัฐบาลมีปัญหาเรื่องการขาดดุลประชาธิปไตย (Democracy Deficit) ซึ่งหมายถึงภาวะที่สถาบันการเมืองถูกมองว่าไม่ทำตามหลักประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ และมีปัญหาเรื่องความไม่น่าเชื่อถือทางจริยธรรม (Moral Deficit) ที่รัฐบาลไม่ทำอะไรเพื่อปราบคอร์รัปชั่นหรือความไม่เป็นธรรม
รัฐบาลมีตราบาปเรื่องจับมือฝ่ายรัฐประหารตั้งรัฐบาลข้ามขั้วทั้งที่เคยหาเสียงว่าจะไม่ทำ คุณแพทองธารแก้เรื่องนี้ไม่ได้ ซ้ำยังทำให้ปัญหาเลวร้ายโดยประกาศว่าจับมือฝ่ายรัฐประหารนานแล้ว คะแนนไม่ถึงก็ต้องจับมือกันหน่อย ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ตราบาปนี้ฝังแน่นกับคุณแพทองธารจนแก้ไม่ได้เลย
ข่าวการเมืองที่คนสนใจสูงสุดช่วงต้นปีคือข่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจ, ประกันสังคมไม่โปร่งใส และทุจริตสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทั้งสามเรื่องล้วนดำเนินไปโดยรัฐบาลแทบไม่มีบทบาทอะไร ไม่ว่าในทำเนียบ, ในสภา, ในพรรค หรือในทีมไอโอ ซึ่งเท่ากับคุณแพทองธารและรัฐบาลไม่ได้คะแนนจากเรื่องเหล่านี้เลย
เมื่อใดที่คนพูดถึงการต่อสู้กับการทุจริตในประกันสังคม หรือ สตง. เมื่อนั้นคนจะพูดถึงคุณรักชนก ศรีนอก, คุณเอกนัฏ พร้อมพันธุ์, คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์, CSI LA , คุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ฯลฯ แต่แทบไม่มีใครพูดถึงคุณแพทองธารหรือพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่เพราะสังคมมีอคติ แต่เพราะคุณแพทองธารและพรรคแทบไม่มีบทบาทจริงๆ
ไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำเรื่องเหล่านี้เพราะอะไร คุณแพทองธารหายไปเฉยๆ ในการต่อสู้กับการทุจริตที่คนไทยเดือดเนื้อร้อนใจกันหมด
และแม้แต่เรื่องซึ่งไม่ใช่ข่าวการเมืองตรงๆ อย่างข่าวลูก “กำนันเบี้ยว” ก็มีประเด็นเกี่ยวข้องกับคุณทักษิณ, คุณแพทองธาร และพรรคเพื่อไทยแบบที่ไม่ดี
รัฐบาลแพทองธารมีปัญหาการเข้าสู่อำนาจ ตราบาปนี้แก้ไม่ตก ต่อให้นายแบกนางแบกจะใส่ร้ายคนที่ไม่พอใจเรื่องนี้ว่าเป็น “สลิ่ม” หรือไม่เข้าใจ “ประชาธิปไตย 101” และเมื่อรัฐบาลเลือกที่จะไม่ทำอะไรชัดๆ เรื่องปราบทุจริต ตราบาปใหม่ก็ทับถมตราบาปเก่าของรัฐบาลให้เลวร้ายกว่าเดิม
รัฐมนตรีในรัฐบาลคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา คนหนึ่งเคยพูดกับผมว่าเป็นรัฐบาลตอนนั้นเหนื่อยเพราะ “ไม่มีข่าวเชิงบวกกับรัฐบาลเลย”
และเมื่อผมเจอรัฐมนตรีคนนี้ซึ่งอยู่ในรัฐบาลหลังคุณประยุทธ์อีก คำตอบที่ได้ก็คล้ายกันว่าทุกวันนี้ “ไม่มีข่าวเชิงบวกกับรัฐบาลเลย” ไม่ว่ารัฐบาลจะพยายามทำอะไรก็ตาม
“ภาษีทรัมป์” ทำให้ความไม่เชื่อมั่นคุณแพทองธารเพิ่มจนความไม่มั่นใจในรัฐบาลเติบโต เพราะหัวใจของเรี่องนี้คือการเปลี่ยนโครงสร้างการค้าระหว่างประเทศที่มีเกือบ 80 ปี
ผู้นำสิงคโปร์พูดเหมือนนักวิชาการว่านี่คือการเกิด “ระเบียบโลกใหม่” แต่คุณแพทองธารไม่แสดงความเข้าใจเรื่องนี้เลย
ทุกคนทราบดีว่า “ภาษีทรัมป์” ยกเลิกสิทธิพิเศษทางภาษีที่สหรัฐเคยให้ประเทศต่างๆ เอาของไปขายสหรัฐโดยเก็บภาษีถูกๆ เพื่อกดดันให้ประเทศอื่นซื้อสินค้าสหรัฐเพิ่มและลดกำแพงภาษีสินค้าสหรัฐลง
หัวใจของเรื่องนี้จึงมีอยู่แค่ไทยจะซื้ออะไรจากสหรัฐเพิ่ม และจะเปิดให้สหรัฐขายอะไรในไทย
ปัญหาคือคุณแพทองธารไม่เคยทำให้คนไทยชัดเจนว่ารัฐบาลจะซื้ออะไรและจะปล่อยให้สหรัฐขายอะไร ข้าวโพดและถั่วเหลืองคงถูกนำเข้าจากสหรัฐมากขึ้นแน่ๆ แต่ปัญหาคือชาวไร่ข้าวโพดและถั่วเหลืองก็เสี่ยงที่ราคาผลผลิตจะลดลงด้วย ซึ่งคุณแพทองธารก็ไม่เคยพูดว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร
การสั่งซื้ออาวุธจากสหรัฐเพิ่มเป็นอีกเรื่องที่ไทยคงต้องทำ แต่งบประมาณทหารไทยก็เยอะจนรัฐบาลเพื่อไทยถูกวิจารณ์ว่าเอาใจทหารไม่ต่างจากรัฐบาลประยุทธ์อยู่แล้ว จะซื้ออาวุธอย่างไรไม่ให้งบฯ กองทัพเพิ่มจึงยาก
แต่ถ้าเพิ่มก็หมายถึงการเสียโอกาสเอาเงินก้อนนี้ไปทำเรื่องอื่นทันที
ผมไม่อยากช่วยรัฐบาลหลอกคนไทยว่าเรื่องนี้ง่ายนิดเดียว แต่ขอยกตัวอย่างญี่ปุ่นซึ่งมีโจทย์สหรัฐคล้ายไทยมากกว่าที่คนไทยคิด เพราะสหรัฐต้องการให้ญี่ปุ่นซื้อข้าวเพิ่มเหมือนให้ไทยซื้อข้าวโพด เช่นเดียวกับอยากให้ญี่ปุ่นเพิ่มงบฯ ทหารเพื่อลดภาระสหรัฐและซื้ออาวุธสหรัฐไปพร้อมกัน
ญี่ปุ่นไม่มีปัญหาเรื่องเงิน แต่การนำเข้าข้าวสหรัฐจะกระทบชาวนาญี่ปุ่นจนเป็นปัญหาการเมืองทันที ส่วนการเพิ่มงบฯ ทหารโดยซื้ออาวุธสหรัฐจะทำให้จีนและเกาหลีใต้ระแวงแสนยานุภาพของญี่ปุ่นจนเกิดความเครียดในภูมิภาคขึ้นด้วย การซื้อของสหรัฐจึงสร้างปัญหาในและนอกประเทศให้ญี่ปุ่นเอง
เมื่อใดที่ไทยนำเข้าข้าวโพดและถั่วเหลืองจากสหรัฐ ราคาข้าวโพดและถั่วเหลืองของเกษตรกรไทยก็จะตกลงทันที และจีนซึ่งไทยซื้อข้าวโพดและถั่วเหลืองมาตลอดก็จะไม่พอใจไทยด้วย เช่นเดียวกับการซื้ออาวุธสหรัฐที่จะทำให้จีนไม่พอใจไทยมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
โจทย์เศรษฐกิจด้านการค้าระหว่างประเทศจาก “ภาษีทรัมป์” เป็นเรื่องยาก และยิ่งโจทย์นี้เชื่อมโยงกับภูมิรัฐศาสตร์ก็ยิ่งแก้ยากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
ขณะที่ผู้นำอย่างนายกฯ สิงคโปร์หรือมาเลเซียสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนโดยพูดตรงๆ ว่าภาษีทรัมป์ยากจนเปลี่ยน “ระเบียบโลกใหม่” อย่างไร คุณแพทองธารกลับบอกว่าเรื่องนี้ไม่กังวล รู้ล่วงหน้ามานาน เตรียมตัวไว้อยู่แล้ว เดี๋ยวคุณทักษิณเจรจาให้ ฯลฯ ซึ่งความน่าเชื่อถือเป็นอย่างที่เห็นกัน
พูดตรงๆ คุณแพทองธารเรื่องนี้เหมือนคนที่ถูกจับเข้าเวิร์กช็อปเรื่อง Combinetoric of Enumerative Geometry แล้วบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไร เคยอ่านมาแล้ว เตรียมตัวมานาน เดี๋ยวพ่อคิดให้ ฯลฯ โดยที่ตัวเองไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องนี้คืออะไรจนกล้าพูดอะไรชุ่ยๆ แบบนี้ออกมา
ความไม่มีฝีมือของรัฐบาลแพทองธารทำให้เศรษฐกิจไทยที่พังพินาศก่อน “ภาษีทรัมป์” จะยิ่งทรุดหนักลง IMF ปรับเศรษฐกิจ -1.1% จาก 2.9% เหลือ 1.8% ซึ่งเท่ากับไม่โตแล้ว ยิ่งกว่านั้นคือไทยเป็นประเทศเดียวใน 5 ประเทศอาเซียนที่โตไม่ถึง 2% ภายใต้รัฐบาลเพื่อไทยที่คุยว่าจะทำเศรษฐกิจดี
เมื่อเศรษฐกิจโตต่ำก็หมายความว่ารายได้และภาษีของประเทศหดตัว และเมื่อรายได้และภาษีหดตัวก็หมายความว่าเงินที่รัฐบาลใช้กระตุ้นเศรษฐกิจะลดน้อยลงด้วย ทั้งที่เศรษฐกิจไทยอยู่ได้ด้วยการแจกเงินสูตรต่างๆ เกือบ 15 ปีแล้วจากมิยาซาว่า, จำนำข้าว, แจกเงินคนจน และแจกเงินหมื่น
ผลงานของคุณแพทองธารในเวลาที่โจทย์ง่ายเป็นอย่างไรก็เห็นกันอยู่แล้ว และเมื่อเผชิญโจทย์ที่ยากขึ้น โอกาสที่ผลงานจะแย่ขึ้นย่อมมีมากตามไปด้วย Competency Deficit หรือความสามารถบกพร่องจึงเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ทำให้กระแสเปลี่ยนนายกฯ รุนแรงขึ้นมา
ไม่มีอะไรให้ถกเถียงแล้วว่าคุณแพทองธารเหมาะเป็นนายกฯ หรือไม่เป็น ปัญหาของประเทศมีอยู่นิดเดียวว่าการเป็นผู้นำประเทศเวลานี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถ แต่ขึ้นอยู่กับเครือข่าย และเครือข่ายที่ทำให้คุณแพทองธารมีอำนาจอาจพอใจกับการมีคุณแพทองธารยิ่งกว่าการมีรัฐบาลที่เก่งและดี
คุณแพทองธารคงเป็นนายกฯ ต่อไปได้อีกสักพัก แต่ไม่มีทางเป็นจนครบวาระ และไม่มีทางจะไม่เปลี่ยนตัวนายกฯ เพราะเดิมพันของการเปลี่ยนแปลงที่ช้าคือการเปลี่ยนตัวรัฐบาล
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022