พท.-ภท. เขย่ากันกี่ริกเตอร์

บทความในประเทศ

 

พท.-ภท.

เขย่ากันกี่ริกเตอร์

 

ชัดเจนว่าวันนี้ 2 พ่อลูกชินวัตร “ทักษิณ-แพทองธาร” เจอเกมอำนาจรุมเขย่าเก้าอี้จากทุกทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นการเมืองในระบบและการเมืองนอกระบบ

การเมือง “ในระบบ” นอกจากพรรคฝ่ายค้านที่ยังคงหนักแน่นต่อสู้ทางความคิด ปัจจุบันก็เปิดพรมแดนการเมืองใหม่ๆ ลงมาเล่นการเมืองสนามท้องถิ่น แถมเริ่มชิงเก้าอี้เดิมจากขั้วสีแดงได้บ้างแล้ว

เพื่อไทยยังต้องเจอการต่อรองของพรรคร่วมรัฐบาล ที่มี ส.ว.สีน้ำเงินเป็นเครื่องมือ ยังไม่นับการตรวจสอบจากองค์กรอิสระ และสภาวะนิติสงครามที่อาจเข้ามาเล่นงานเพื่อไทยเมื่อไหร่ก็ได้ (เช่นที่นายเศรษฐา ทวีสิน โดน)

ส่วนการเมืองนอกระบบ วันนี้เพื่อไทยเริ่มเจอม็อบทั้งภาคประชาสังคมต่างๆ ม็อบชาวบ้าน ม็อบการเมือง ล่าสุดคือม็อบคนเสื้อขาวต้านกาสิโน เป็นปัจจัยสำคัญให้ต้องใส่เกียร์ถอย กม.เอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ

ต้องยอมรับว่าปัญหาประเทศวันนี้สาหัสและซับซ้อน ปะดังเข้ากับอุปสรรคสารพัด หนักจนเกินกว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยที่เข้ามามีอำนาจใน “เงื่อนไขเฉพาะ” จะแบกรับไหว (ต่อให้มีความตั้งใจดี)

แม้ใช้ทั้งกองแช่งหรือกองเชียร์ ก็เกิดคำถามที่เป็นเสียงอันดังขึ้นว่า รัฐบาลเพื่อไทยจะไปได้ตลอดรอดฝั่งไหม กระทั่งสัปดาห์ที่ผ่านมามีนักวิชาการเสนอให้ยุบสภา

ตามมาด้วยข่าวหนาหูเรื่อง “การปรับเปลี่ยน” ในพรรครัฐบาล 2 ระดับ คือ “ระดับเล็ก” ปรับตัวรัฐมนตรี เปลี่ยนโควต้ากระทรวง และ “ระดับใหญ่” เอาพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคออก

แน่นอนเป้าหมายหลักเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ใคร พรรคภูมิใจไทย-ขั้วสีน้ำเงิน ที่กำลังแหลมคมในทางการเมืองมากขึ้นทุกขณะ

 

บาดแผลล่าสุดคือการตั้งกำแพงค้าน กม.เอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ (ที่มีไข่แดงคือกาสิโน) โดยนายไชยชนก ชิดชอบ ซึ่งเป็นระดับเลขาธิการพรรค ประกาศกร้าวพ่วงด้วยชื่อพ่อ-แม่กลางสภา ว่าไม่เอา

สอดคล้องไปกับบิ๊กสีน้ำเงินวงนอก อย่าง เนวิน ชิดชอบ, ชาดา ไทยเศรษฐ์, สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ออกมาขย่ม “มูฟเมนต์นี้” ของรัฐบาลเพื่อไทย ต่อเนื่อง

ในที่สุดแม้ร่างกฎหมายจะถูกเลื่อนไปพูดคุยกันในสมัยประชุมหน้า แต่ท่าทีของคนค่ายสีน้ำเงิน ก็ทิ้งความเสียหาย “ทางการเมือง” ให้กับพรรคเพื่อไทยไม่น้อย

เพราะที่ผ่านมาเพื่อไทยก็ถอย จนไม่รู้จะถอยอย่างไรแล้ว เรื่องล่าสุดก็ทำให้ต้องถอยอีก

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกกับการ “งัดข้อ” จากฟากสีน้ำเงิน

 

ย้อนกลับไปดูร่างกฎหมายเพื่อไทยหลายฉบับ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมืองอย่างการแก้รัฐธรรมนูญ การผลักดันประชามติ ร่าง กม.ปฏิรูปอำนาจในกองทัพจัดระเบียบสภากลาโหม ประเด็นจริยธรรมนักการเมือง การนิรโทษกรรม นโยบายกัญชา ล้วนถูกตั้งโต๊ะแถลงขัดขวางอย่างตรงไปตรงมาจากฟากสีน้ำเงิน

การสกัดขัดขวาง กม.เอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ นัยยะหนึ่งจึงสะท้อนว่า “การขัดขวาง” นั้น ลามจากการเมืองมานโยบายด้านเศรษฐกิจแล้ว

ระดับ “ผู้เล่นในเกม” ประกอบด้วยหัวหน้าพรรค-ผู้บริหารพรรค เล่นบทประนีประนอมยอมความ เออออห่อหมก มีสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับค่ายสีแดง

แต่ระดับ “ผู้เล่นนอกเกม” (ส่วนใหญ่เป็นพ่อของผู้เล่นในเกม) เล่นบทอีกแบบ ออกแนวเกรี้ยวกราด ขย่มสีแดงอย่างชัดเจน

นี่คือตัวอย่างความ “เขี้ยวลากดิน” ฉบับสีน้ำเงิน

ต้องยอมรับว่า “ผู้เล่นในเกม” ของค่ายสีน้ำเงิน ก็เก๋าพอตัว แม้จะถูกลูกพรรคเพื่อไทยออกมาค่อนแคะแซะด่าไม่เว้นแต่ละวัน ก็เลือกเล่นบทนิ่ง มุ่งกระชับความสัมพันธ์ไปที่ผู้มีอำนาจตัวจริงของค่ายสีแดงเป็นหลัก

ตัวอย่างเห็นได้ชัดก็คือนายอนุทิน ชาญวีรกูล กลับบทสุดพลิ้ว นายไชยชนกแค่ผิดคิว เคลียร์ใจนายกฯ-นายทักษิณเรียบร้อยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เช่นเดียวกับท่าทีพรรคเพื่อไทย

สรุปคือ ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีใครพร้อมปะทะจริงๆ

 

มีคำถามน่าสนใจว่านายทักษิณคิดอย่างไรกับ “การเมืองขั้วสีน้ำเงิน”

คำตอบหนีไม่พ้น “อยากปรับออกใจจะขาด” แต่ทำไม่ได้

ต้องไม่ลืม “อีแอบ” ที่นายทักษิณเคยด่าพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อไม่นานมานี้ พร้อมส่งเสียงขู่ขับพ้นรัฐบาลมาแล้ว (แม้ครั้งนั้นจะจบด้วยการตบหัวแล้วลูบหลังก็ตาม)

คำถามต่อมาว่า ในวันนี้ หากเพื่อไทยปรับพรรคภูมิใจไทยออกจากรัฐบาล จะเป็นไปได้ไหม

ในทางการเมืองต้องบอกว่า “เป็นไปได้” คำนวณตามคณิตศาสตร์การเมือง หากเพื่อไทยดึงพลังประชารัฐกลับ ปล่อยขั้วสีน้ำเงินเป็นฝ่ายค้านร่วมกับพรรคประชาชน รัฐบาลก็ยังมีคะแนนเสียงเกินมาเล็กน้อย

สมมุติค่ายสีแดงเขี่ยค่ายสีน้ำเงินพ้นเก้าอี้จริง นโยบายการเมือง-เศรษฐกิจของเพื่อไทย ก็จะผ่านสภาล่างแบบฉลุยในระยะเวลา 2 ปีนี้ ได้เก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงสำคัญคืน เดินหน้านโยบายทวงศักดิ์ศรีที่หายไปจากการเปลี่ยนขั้วตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ

แต่ “ในความจริงทางการเมือง” ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะต้องคำนวณพลังทางการเมือง เครื่องไม้เครื่องมือที่ค่ายสีน้ำเงินมี ต้องไม่ลืมดาบของ “สภาบนและองค์กรอิสระ” ด้วย

ปลดพ้นรัฐบาลได้จริง แต่ขั้วสีแดงก็ไปไม่รอด

 

น.ส.แพทองธารก็ดูจะเข้าใจเรื่องนี้จึงพูดเรื่องตำแหน่งนายกฯ เป็นอนิจจัง อำนาจพร้อมหลุดได้เสมอ ซึ่งนี่คือสิ่งที่ขั้วสีแดงกังวลที่สุด

เมื่อแตะต้องภูมิใจไทยไม่ได้ สุดท้ายก็หนีไม่พ้น ก็ต้องกัดฟันอยู่กันไปแบบนี้

ภูมิใจไทยก็ยังเล่นเกมต่อรองต่อไป

แต่จะทำให้ความกดดันทางการเมือง-เศรษฐกิจขณะนี้เบาบางลงได้อย่างไร ความเป็นไปได้จึงเหลือเพียงการปรับ ครม.

จะมีแค่การ “ปรับเล็ก” ย้ายกระทรวงเปลี่ยนคน แต่ไม่มี “ปรับใหญ่” อย่าง เอาพรรคร่วมรัฐบาลออก เปลี่ยนพรรคร่วมรัฐบาลใหม่

เพื่อไทยแตะกระทรวงในโควต้าภูมิใจไทยไม่ได้ อย่างมากที่สุดก็อาจเป็นเจรจา “สลับกระทรวง” ที่มีฐานะใกล้เคียงกัน

เพื่อไทยปรับได้จริงๆ แค่กระทรวงของตนเอง ซึ่งก็ไม่ง่ายที่จะทำให้อะไรดีขึ้น ปัญหาการเมือง-เศรษฐกิจก็ยังแก้ยากเหมือนเดิม (ไม่ต้องพูดเรื่องการสร้างผลงานเตรียมพร้อมสู้เลือกตั้งใหญ่)

ยกเว้นจะมีจุดเปลี่ยนการเมืองสำคัญอย่างกรณี 44 ส.ส.ของพรรคส้มถูกตัดสิทธิ์การเมือง อันนี้ก็อาจเป็นปัจจัยให้มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ได้

ากวันนี้ เส้นทางการเมืองของขั้วแดง-น้ำเงิน จึงเป็นการต่อรองทางการเมืองกันไปมา เขย่ากันต่อไป ชิงความเป็นใหญ่ภายใต้เกมอนุรักษนิยมเช่นเดิม

จากคดีเขากระโดง คดีโรงแรมที่เขาใหญ่ คดีที่ดินอัลไพน์ คดีโพยฮั้ว ส.ว.ล้างกระดานสีน้ำเงิน จึงสะท้อนการเขย่ากันไปมาไม่หยุดหย่อน

โดยเฉพาะเหตุการณ์ล่าสุด ล้ม กม.กาสิโน ถือว่าแรงมาก

ต้องยอมรับว่าภูมิใจไทยเก๋าเกม มี ส.ส.ไม่ถึงร้อยคน แต่ถือไพ่เหนือกว่าในหลายๆ เรื่อง จากนี้ไปสู่วันเลือกตั้งใหญ่ ก็ไม่มีเรื่องให้ต้องเครียดมาก แค่รักษาดุลทางการเมืองเดิมไว้ เขย่ากันไปเรื่อยๆ อีกด้านก็สะสมกระสุน รักษาบ้านใหญ่ รอวันลงสนามอีกรอบ

ผิดกับเพื่อไทย ที่ต้องแบกรับปัญหาเศรษฐกิจการเมืองไว้หมด จะบริหารประเทศก็ทำได้แบบมีอำนาจไม่เต็มที่

แก้ปัญหาสังคมก็ไม่คืบหน้า แก้เศรษฐกิจก็ติดขัด เรือธงทั้งหลายจอดนิ่งแทบไม่ขยับ ทำได้เพียงปะผุปัญหา

เรื่องการเมือง ก็เป็น “ตำบลกระสุนตกอยู่ฝ่ายเดียว” ต้นทุนที่ต้องแลก จากการพลิกขั้วตั้งรัฐบาล

คิดดูว่า สัปดาห์นี้ นายกฯ แพทองธารยังถูกถามเรื่องตระบัดสัตย์อยู่เลยแม้ผ่านไปแล้วเกือบ 2 ปี

รอบนี้ เจ้าตัวคงทนไม่ไหวตอบกลับแบบฉบับนายกฯ เจนวาย เหตุผลที่ต้องจับมือคนที่เคยประกาศจะไม่จับมือรัฐบาล เพราะเผอิญได้คะแนนไม่ถึง ตอกกลับแบบแซบๆ “คำถามดีเลย์ไปนะ”…

สะใจกองเชียร์ แต่ไม่รู้คนกลางๆ สะใจด้วยไหม ส่วนฝ่ายตรงข้ามยิ่งฮึกเหิมเขย่าเพื่อไทยไม่หยุดเลยทีนี้…