ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความต่างประเทศ
เมื่อ ‘สงครามการค้า’
กลายเป็น ‘สงครามโลก’!
เมื่อปี 1921 กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า สันนิบาตการค้าเสรีแห่งอเมริกา (The Free Trade League of America) ประกาศข้อความที่เป็นทั้งคำเตือนและเป็นคำอ้อนวอนอยู่ในตัวออกมา ความว่า
“เสรีภาพทางการค้าระหว่างนานาประเทศ เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งในการดำรงรักษาสันติภาพของโลกให้คงไว้”
แล้วลงท้ายด้วยใจความสำคัญว่า “ประวัติศาสตร์คือประจักษ์พยานที่แสดงให้เห็นว่า สงครามทั้งหลายโดยรวมแล้วเป็นผลพวงที่เกิดขึ้นสืบเนื่องจากการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อแสวงหาตลาด หรือไม่ก็เป็นการแสดงการประท้วงต่อบรรดาอุปสรรค และข้อห้ามทางการค้าทั้งหลายนั่นเอง”
ปัญหาก็คือ สารัตถะดังกล่าวเหล่านั้น ไม่มีใครใส่ใจ อย่าว่าแต่จะปฏิบัติตาม สิ่งที่เกิดขึ้นในหลายปีถัดมาจากนั้น ล้วนเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม ซึ่งในที่สุดก็ค่อยๆ รังสรรค์สภาวะแวดล้อมทางการเมืองโลกให้ดุ่มเดินไปสู่เส้นทางซึ่งนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ในที่สุด
ที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ สหรัฐอเมริกาในเวลานั้นวางตัวอยู่นอกวงของสงคราม จนกระทั่งทางการอเมริกันตัดสินใจห้ามขายน้ำมันให้กับญี่ปุ่น ในราวกลางปี 1941 ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้กองทัพญี่ปุ่นตัดสินใจบุกโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ ลากสหรัฐอเมริกาเข้าสู่สงครามเต็มตัวในที่สุด
อุทาหรณ์ที่แสดงให้เห็นว่า การเรียกเก็บภาษีและการกำหนดข้อจำกัดทางการค้าต่างๆ เป็นปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังของสารพัดสงคราม มีมาให้เห็นมากมายในประวัติศาสตร์ อย่างน้อยที่สุดก็ตั้งแต่ยุคสมัยของกรีกโบราณ เมื่อมองย้อนอดีตแล้วกลับมาสำรวจตรวจสอบปัจจุบัน
คําถามที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ภายใต้สภาวะแวดล้อมของสงครามการค้า ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศกับนานาประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับสองของโลกอย่างจีน เหมือนเช่นที่เป็นอยู่ในเวลานี้ การที่สงครามการค้าจะลุกลามกลายเป็นสงครามโลกขึ้นตามมา มีโอกาสจะเกิดขึ้นอีกได้หรือไม่
มีผู้นำคำถามดังกล่าวนี้ไปถาม ดร.มาร์ก-วิลเลียม แพเลน ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยเอ็กเซตเตอร์
แม้จะไม่มีคำตอบที่ชัดเจน รวบรัดให้ แต่นักวิชาการรายนี้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า หากคำนึงถึงว่า เราได้เห็นความสัมพันธ์ที่เคยแนบแน่นระหว่างสหรัฐอเมริกากับแคนาดา เสื่อมทรามลงรวดเร็วแค่ไหนหลังจากที่ทรัมป์ประกาศกำแพงภาษีเป็นการลงโทษแคนาดาไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ก็ไม่ยากนักที่จะจินตนาการได้ว่าในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ความขัดแย้งทางการค้าสามารถทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างชาติขึ้น ก่อให้เกิดปฏิปักษ์เชิงภูมิรัฐศาสตร์
และทำให้โอกาสที่จะลุกลามขยายตัวกลายเป็นการปะทะกันด้วยอาวุธมีความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น
“แน่นอน สิ่งที่เกิดขึ้นตามมายังไม่เป็นที่แน่ชัดนัก หากแต่ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างการเป็นปัจจัยแวดล้อมกับการเป็นต้นเหตุ แต่นับตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 เรื่อยมา บรรดานักเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพและผู้ที่ต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมทั้งหลาย ล้วนแต่ชี้ให้เห็นว่า การกำหนดภาษีเพื่อคุ้มครองทางการค้าก็ดี การห้ามค้าขายหรือการคว่ำบาตรทางการค้าก็ดี มักจะนำไปสู่สงครามการค้า”
“ซึ่งในที่สุดจะทำให้ชาติที่เคยเป็นพันธมิตรกลับกลายเป็นศัตรูซึ่งกันและกันได้ในเวลาอันรวดเร็วยิ่ง”
ตัวอย่างที่เก่าแก่ที่สุดในเรื่องนี้ ย้อนหลังไปตั้งแต่เมื่อราว 430 ปีก่อนคริสต์ศักราช เมื่อนครรัฐเอเธนส์ ประกาศคว่ำบาตร กำหนดข้อจำกัดทางการค้าต่อนครรัฐเมการา แล้วกลายเป็นปัจจัยให้เกิดสงครามที่เรียกว่า สงครามเปโลปอนเนเซียน (Peloponnesian wars) ขึ้นตามมา
หรือในกรณีที่เกิดความขัดแย้งทั้งทางภาษีและการค้า ระหว่างอังกฤษกับดัตช์ ในศตวรรษที่ 17 ส่งผลให้เกิดสงครามปฏิวัติอเมริกันและสงครามแห่งปี 1812 ขึ้นตามมา
ในทัศนะของแพเลน สงครามภาษีระหว่างออสเตรีย-ฮังการี และเซอร์เบีย ยังเป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้นมาอีกด้วย
ในเว็บไซต์ขององค์การการค้าโลก ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดภาวะตึงเครียดทางการค้าขึ้นเหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้ามหาสงครามครั้งนั้น ระบุเอาไว้ว่า “ประวัติศาสตร์มีตัวอย่างให้เห็นประปรายตามรายทางว่า ความขัดแย้งทางการค้าสามารถลุกลามขยายตัวเป็นความขัดแย้งกันด้วยอาวุธได้”
และปิดท้ายไว้ว่า “แม้ความข้อนี้ไม่ควรกระพือโหมจนเกินจริงไปก็ตาม แต่ในความนี้ก็มีความจริงเจือปนอยู่ด้วย”
ถ้าเป็นเช่นนั้น สงครามการค้าในเวลานี้ ก็อาจนำไปสู่สงครามระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ใช่หรือไม่
คำตอบก็คือ ในกรณีนี้ สงครามการค้าอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแข่งขันกันช่วงชิงอำนาจระหว่างทั้งสองฝ่าย ซึ่งทำให้สงครามการค้าครั้งนี้ อาจเป็นเพียงดัชนีชี้วัดมากกว่าที่จะเป็น “สาเหตุ” ของสงคราม
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคทางการค้า ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของภาษีหรือไม่ก็ตาม สามารถกระตุ้นให้เกิดความตึงเครียดระหว่างประเทศขึ้น ปลุกเร้าลัทธิชาตินิยมขึ้น และเสริมพลังสร้างอำนาจให้กับบรรดาผู้คนที่ต้องการให้เกิดการเผชิญหน้าซึ่งกันและกันขึ้นได้อย่างแน่นอน
ข้อสังเกตที่น่าสนใจก็คือ บรรดาภาษีศุลกากรที่ทรัมป์เรียกเก็บจากจีนในคราวนี้ ไม่ปรากฏว่ามีกรณีไหนที่ทำให้ทางการจีนแสดงความปรารถนาที่จะเปิดการเจรจาต่อรองหรือทำความตกลงกับฝ่ายบริหารของทรัมป์เลยแม้แต่น้อย มีแต่การดื้อแพ่งและการตอบโต้กลับเท่านั้น
นักวิชาการชาวจีนอย่าง วิกเตอร์ กั๋ว จากศูนย์จีนศึกษาและโลกาภิวัตน์ในกรุงปักกิ่ง ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ อัล อาราบิยา ตีความคำตอบของทางการจีนเอาไว้ว่า “คือการประกาศว่า จีนเตรียมการที่จะต่อสู้จนถึงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า สงครามภาษี สงครามเทคโนโลยี หรือสงครามจริงๆ ก็ตาม ”
ในทางหนึ่ง สงครามการค้า ยังส่งผลทำให้อุปสรรคที่เคยมีในรูปของความเสี่ยงที่จะสูญเสียประโยชน์ทางเศรษฐกิจระหว่างกันหมดสิ้นไป ทำให้คู่สงครามหมดความยับยั้งชั่งใจที่จะเผชิญหน้ากันด้วยกำลัง ในแง่นี้
ทำให้แพเลนสรุปความเอาไว้ว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกับจีนในครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้สงครามจริงๆ ระหว่างสองประเทศเกิดขึ้นอย่างแน่นอนก็จริง
แต่ก็ทำให้ความเป็นไปได้มีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมแน่ๆ นั่นเอง
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022