ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | เทศมองไทย |
เผยแพร่ |
เทศมองไทย
ไทยกับอาเซียน
ในบริบทสงครามการค้า
สํานวนไทยเก่าแก่ที่ว่า “เมื่อช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกลาญ” ยังคงนำมาประยุกต์ใช้ได้เสมอ แม้ภายใต้บริบทว่าด้วย “สงครามการค้า” อย่างเช่นที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ที่พญาช้างสารระดับโลกอย่างสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ กับจีน เปิดศึกทางการค้าและภาษีเข้าใส่กันแบบแทบไม่หลงเหลือช่องว่างให้เจรจาต้าอ้วยใดๆ กันอีกขึ้นมา ชนิดที่ทำให้ผู้สันทัดกรณีบอกว่า แทบไม่ต่างอะไรจากการตัดสัมพันธ์ทางการค้าซึ่งกันและกันลงโดยสิ้นเชิงนั่นเอง
ปัญหาก็คือว่า เขาเปิดศึกกันขนานใหญ่แล้ว หญ้าแพรกอย่างไทย หรือประเทศในอาเซียนทั้งหลายไปเกี่ยวข้องอะไรด้วย?
คำตอบง่ายๆ อยู่ในข้อเขียนที่ปรากฏบนเว็บไซต์ของ ดิ อีโคโนมิสต์ เมื่อ 16 เมษายนที่ผ่านมา สะท้อนชัดเจนผ่านหัวเรื่องที่ตั้งเป็นคำถามเอาไว้ว่า “เมื่ออเมริกาหันหลังให้กับสินค้าจากจีน สินค้าเหล่านั้นจะไปไหน?”
คำตอบอย่างง่ายก็คือ ก็ทุกประเทศที่เหลืออยู่นั่นแหละต้องดูดซับสินค้าพวกนั้นเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาติในกลุ่มประเทศอาเซียน ไม่ว่าจะต้องการสินค้าเหล่านั้นหรือไม่ก็ตามที
ข้อมูลของ ดิ อีโคโนมิสต์ บอกว่า เมื่อทรัมป์สิ้นสุดการดำรงตำแหน่งสมัยแรกของตนลงนั้น สินค้าที่นำเข้ามาจากจีนถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นจาก 3 เปอร์เซ็นต์ เป็น 19 เปอร์เซ็นต์ ครอบคลุมราว 2 ใน 3 ของหมวดสินค้าที่นำเข้าไปยังสหรัฐอเมริกาทั้งหมด
เพื่อเลี่ยงภาษีดังกล่าว จีนทำอยู่ 2 ทาง ทางหนึ่งคือย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอย่าง เวียดนาม ไทย หรือเม็กซิโก เพื่อที่จะได้ไม่ต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น
อีกทางหนึ่งก็คือ ส่งสินค้าไปเปลี่ยนตราประทับว่า เป็นสินค้าจากประเทศเหล่านั้น เพื่อสวมสิทธิ์ไม่ต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น
ข้อมูลของโกลด์แมนแซคส์ ระบุว่า ในปี 2023 สินค้าจีนที่หลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกานี้ มีมูลค่ารวมสูงถึง 120,000 ล้านดอลลาร์
ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ประเทศเหล่านี้ได้เปรียบดุลการค้าต่อสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นมหาศาลในระยะเวลาอันสั้น อันเป็นที่มาของการถูกเรียกเก็บ “ภาษีตอบโต้” จากทรัมป์ในอัตราสูงลิ่วในครั้งนี้
สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่หนักขึ้น เมื่อเกิดสภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจในจีน รัฐบาลปักกิ่งหันมาอุดหนุนภาคการผลิตขนานใหญ่ ทำให้ผลผลิตพุ่งสูงขึ้นในขณะที่ต้นทุนลดลง บริษัทสามารถลดราคาเพื่อการส่งออกลงได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์นับตั้งแต่ปี 2023 เรื่อยมา
สินค้าราคาถูกเหล่านี้ไหลบ่าเข้ามาในชาติอาเซียนภายใต้ความตกลงทางการค้าระหว่างกัน ทำให้จีนได้ดุลการค้ากับแทบทุกประเทศในภูมิภาคนี้อย่างรวดเร็ว
ในขณะที่ภาคการผลิตในท้องถิ่นพากันล้มหายตายจากไปเพราะแข่งขันไม่ไหว
ดิอีโคโนมิสต์ ชี้ว่า ในกรณีของไทย อุตสาหกรรมการผลิตในประเทศลดลงถึงราว 1 ใน 10 เมื่อเทียบกับปี 2019
ขนาดของการเสียเปรียบดุลการค้ากับจีนขยายตัวเพิ่มมากขึ้นสองเท่าตัว
ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หดตัวลงมากที่สุดถึง 40 เปอร์เซ็นต์
ความหวังที่จะกลายเป็นฮับในการผลิตโน้ตบุ๊กมลายไปอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาอีกครั้งในเร็วๆ นี้ก็คือ สินค้าในหมวดเดียวกันนี้ของจีน ซึ่งเคยส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเมื่อปีที่แล้วคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 33,000 ล้านดอลลาร์ กำลังมองหาตลาดรองรับแห่งใหม่อยู่ในเวลานี้
เวียดนามเองก็ตกอยู่ในที่นั่งลำบากเช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมผลิตของเล่นเด็กที่มีมูลค่าปีละ 1,000 ล้านดอลลาร์ ก็ย่อยยับไปเพราะไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าในหมวดเดียวกันแต่ราคาถูกกว่าจากจีนได้
นอกจากนั้นยังมีอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป ซึ่งถูกกำแพงภาษีของทรัมป์เล่นงานจนเดือดร้อนไปตามๆ กัน ไม่เว้นแม้แต่ผู้ผลิตในประเทศอย่างบังกลาเทศและอินเดีย
ดิอีโคโนมิสต์ ระบุว่า บางประเทศเลือกที่จะใช้มาตรการตอบโต้ในสถานการณ์เช่นนี้ ตัวอย่างเช่น อินเดียและอินโดนีเซีย แต่ประเทศอย่าง ไทย และมาเลเซีย กลับเลี่ยงที่จะกำหนดมาตรการตอบโต้ทำนองดังกล่าว เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นการสร้างความไม่พึงพอใจให้เกิดขึ้นกับประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็น “พี่เบิ้ม” ในภูมิภาค
ดิ อีโคโนมิสต์ ตั้งข้อสังเกตว่า ข้อเสนอที่จัดทำเพื่อการเจรจาต่อรองกับทรัมป์ของประเทศอย่างไทย และเวียดนาม ออกมาคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ ไทยเสนอจะจัดการกวาดล้าง “การสวมสิทธิ์จากประเทศที่สาม” ในขณะที่เวียดนามบอกว่า จะขจัด “การฉ้อฉลทางการค้า” และเข้มงวดกับกฎเกณฑ์การประทับตราถิ่นกำเนิดสินค้าในอนาคต
แต่ถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าคำพูดกับการกระทำจริงๆ จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือไม่ แรงกดดันต่อบรรดาผู้นำของประเทศเหล่านี้มีแต่จะทวีสูงขึ้นมหาศาลในอีกไม่ช้าไม่นานนับจากนี้ครับ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022