ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | เมนูข้อมูล |
เผยแพร่ |
เมนูข้อมูล | นายดาต้า
ปรับทำไม ‘ครม.’
ดูจะเป็นปกติที่ทั้ง “ทักษิณ ชินวัตร” และ “นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร” จะยืนยันว่า “ยังไม่มีคุยกันเรื่องปรับ ครม.” ในหลายคนที่เป็นผู้ใหญ่ระดับแกนนำพรรคเพื่อไทยก็เช่นกัน ไม่มีใครยืนยัน
แต่เรื่องราวของการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี เลยไปถึง “ปรับพรรคร่วมรัฐบาล” กลับกระหึ่มเอ่ยอ้างความเชื่อถือได้แบบเต็มปากเต็มคำ
ดูจะเป็นข่าวที่น่าเชื่อถือมากกว่าคำให้สัมภาษณ์ของ “ผู้ควบคุมรัฐบาล” เสียด้วยซ้ำ
ดังนั้น ความน่าสนใจที่ซ้อนกันเข้ามาจึงไม่เพียงจะปรับ ครม.หรือไม่ จะปรับอย่างไรเท่านั้น
แต่ที่ควรจะหาทางตอบควบคู่กันไปด้วยคือ “กระแสข่าวทำไมจึงไม่เป็นไปตามคำยืนยันของผู้นำรัฐบาล” แต่กลับถูกกำหนดจาก “กูรู” ต่างๆ ที่แสดงออกผ่านสื่อแทบทุกแขนง ทั้งที่ต่างรับรู้กันว่า “อำนาจปรับคณะรัฐมนตรี” มีความเด็ดขาดอยู่ที่ “นายกรัฐมนตรี”
เป็นไปได้หรือไม่ นี่เป็นอีกรูปธรรมของ “วิกฤตความเชื่อมั่น” ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาเรื่องนี้ถูกทำให้เป็นปัญหากับทุกองค์ประกอบของอำนาจจัดการประเทศ
“อํานาจบริหาร” ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ครอบครอง โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำดูจะประสบ “วิกฤตความเชื่อมั่น” ไปเต็มๆ เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะพูด หรือคิดทำอะไร ไม่ทำให้เกิดความคาดหวังว่าจะ “ทำจริง” ขึ้น คนบางกลุ่มไม่เชื่อเลย ขณะที่คนส่วนใหญ่ได้แต่รอดู ทำหรือไม่ทำไม่ได้อยู่ในความเชื่อถือว่าจะเป็นไปอย่างที่พูดหรือไม่
ใช่หรือไม่ว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะรัฐบาลไทยแทบจะเรียกได้ว่าทุกยุคทุกสมัย เลือกที่จะไม่พูดความจริงกับประชาชน เลือกที่จะรักษาภาพให้ตัวเอง หรือรัฐบาลดูดีมากกว่าที่จะสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจอย่างตรงไปตรงมาว่าเกิดอะไรขึ้นกับการทำหน้าที่
อย่างเช่น ทั้งที่ตั้งใจอยู่แล้วที่จะปรับ ครม.กลับเลือกที่จะบอกว่า “ไม่ปรับ” เพราะกลัวความยุ่งยากเนื่องจากการวิ่งเต้น หรือโจมตีกันเพื่อแย่งเก้าอี้
“เศรษฐกิจไม่ดี” ต้องยืนกรานว่า “ดี” เพื่อไม่ให้ถูกโจมตีว่าไม่มีฝีมือความสามารถในการบริหาร
หรืออะไรอื่นๆ ที่มักจะเสนอภาพในทางตรงกันข้ามกับความเป็นจริง
ซึ่งวัฒนธรรมเช่นนี้ได้สร้าง “ความไม่เชื่อมั่นให้เกิดขึ้น” เกิดความเคยชินว่าคำแถลงหรือบอกกล่าวของรัฐบาลเป็นเรื่องปกติที่ไม่ต้องเชื่อ ซึ่งชวนให้คิดมากว่าการสร้างวัฒนธรรมเช่นนี้ขึ้นมาเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีต่อการบริหารปกครองประเทศ
และอาจจะเพราะค่านิยมที่ไม่มีความจำเป็นต้องเชื่อรัฐบาลนี่เอง ที่ทำให้เกิด “กูรู-ผู้เชี่ยวชาญ-นักวิเคราะห์” มากมาย มาแสดงบทบาทสร้างความเชื่อแทน เมื่อผู้คนในประเทศอยู่ในสภาพแยกพวก แบ่งฝ่าย ต่างฝ่ายต่างมุ่งสร้างความเชื่อถ่างความแตกแยกให้ถ่างกว้าง เกิดความเห็นต่างรุนแรงในทุกเรื่อง
ซึ่งทำให้การบริหารจัดการเกิดความยุ่งยากขึ้นอีก
เมื่อผู้นำรัฐบาลบอกว่า “ไม่ปรับ ครม.” และทั้งที่จริงแล้วประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องปรับ
จาก “นิด้าโพล” ล่าสุดซึ่งสำรวจเรื่อง “ปรับ ครม. วันไหนดี” ในคำถามว่าจำเป็นต้องปรับหรือไม่ ประชาชนไม่ถึงครึ่ง คือร้อยละ 48.24 ที่เห็นว่าจำเป็นต้องปรับโดยเร็วที่สุด ที่เหลือคือร้อยละ 16.18 ระบุว่า ไม่จำเป็นต้องปรับ, ร้อยละ 15.50 ระบุว่าควรรออีก 3 เดือน, ร้อยละ 10.07 ควรรออีก 6 เดือน, ร้อยละ 6.95 ควรรออีก 1 ปี และร้อยละ 1.53 ควรรออีก 9 เดือน และไม่ตอบ/ไม่สนใจ ในสัดส่วนที่เท่ากัน
เมื่อถามถึงการเปลี่ยนรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ 10 อันดับแรกที่เห็นว่าควรเปลี่ยนคือ กระทรวงพาณิชย์ ร้อยละ 57.02, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร้อยละ 48.55, กระทรวงการคลัง ร้อยละ 46.49, สำนักนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 44.43, กระทรวงแรงงาน ร้อยละ 43.89, กระทรวงมหาดไทย ร้อยละ 43.82, กระทรวงกลาโหม ร้อยละ 42.52, กระทรวงคมนาคม ร้อยละ 41.53, กระทรวงศึกษาธิการ ร้อยละ 41.22, กระทรวงยุติธรรม ร้อยละ 41.07
หากติดตามการวิเคราะห์อย่างใกล้ชิด จะพบว่ากระแสที่บรรดากูรูสร้างขึ้นมามีผลไม่น้อยต่อความคิดของผู้ตอบแบบสอบถาม
แต่เมื่อติดตามลงไปในรายละเอียดของข้อมูลข่าวสารจะพบว่า แรงกดดันที่ให้เกิดการปรับคณะรัฐมนตรีรอบนี้ ไม่เกี่ยวกับความต้องการของประชาชนสักเท่าไร
ด้วยเหมือนกับว่าการปรับเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีไม่ได้มีผลสักเท่าไรต่อการสร้างผลงานให้เป็นประโยชน์กับประเทศ ตราบใดที่โครงสร้างอำนาจยังเหมือนเดิม
การปรับ ครม.ดูจะเป็นความต้องการของนักการเมืองเองมากกว่า โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การสร้างแรงกดดัน และเรียกร้องให้ปรับ “นายพิชัย นริพทะพันธุ์” ออกจากกระทรวงพาณิชย์ ไม่ใช่กระแสที่เกิดจากความต้องการของประชาชน แต่เริ่มต้นจากเหตุผลที่ว่า “พิชัย” ดูแล ส.ส.ในพรรคไม่ดีพอ ทำให้ผู้จุดประเด็นว่าพรรคกล้าธรรมซึ่งเป็นอีกปีกที่จะทำงานมวลชนเสริมพรรคเพื่อไทย ต้องการเพิ่มเก้าอี้ค้าขายมาดูแลผลิตผลทางการเกษตร
เหตุผลหลักไม่ใช่ส่งเสริมการค้า และดูแลเรื่องราคาสินค้าในประเทศให้เหมาะสมไม่ดี
เห็นเหตุผลที่มาจากการช่วงชิงเก้าอี้ภายในพรรค ด้วยค่านิยมว่ารัฐมนตรีจะต้องเอาใจใส่ในการดูแล ส.ส.ในพื้นที่เป็นหลัก หากทำหน้าที่นี้ให้เกิดความประทับใจไม่ได้ ต้องเปลี่ยนตัว
และนี่เป็นอีกเรื่องที่ไม่สื่อสารกับประชาชนให้เข้าใจเหตุผลที่แท้จริง
ในทางการเมืองนั้น ความเชื่อเป็นสิ่งสำคัญ การบริหารประเทศโดยไม่ทำให้เกิดความเชื่อจากประชาชนต่อคนในรัฐบาล ย่อมเป็นอุปสรรคในการไปให้ถึงความสำเร็จ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022