งัดแผนกู้เงิน-ขยายเพดานหนี้ ตั้งรับแรงกระแทกวิกฤตทรัมป์ ทำใจกระทบมาตรการ ‘แจกเงินหมื่น’

บทความพิเศษ | ศัลยา ประชาชาติ

 

งัดแผนกู้เงิน-ขยายเพดานหนี้

ตั้งรับแรงกระแทกวิกฤตทรัมป์

ทำใจกระทบมาตรการ ‘แจกเงินหมื่น’

 

ต้องเรียกว่าตอนนี้ทั้งโลกกำลังปั่นป่วนอยู่กับการรับมือมาตรการกำแพงภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ

ทั้งแผนการเจรจาและการปรับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศ (ใหม่) เพราะการค้าโลกจากนี้จะไม่เหมือนเดิม

แม้สหรัฐจะยืดเวลาขึ้นภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) ออกไป 90 วัน และช่วยให้การเจรจากับสหรัฐจะสำเร็จ แต่เงื่อนไขข้อตกลงต่างๆ ก็ทำให้วิถีการค้า (เสรี) เปลี่ยนไปแล้ว

การค้าโลกที่หดตัว การชะงักงันของระบบเศรษฐกิจ ทำให้ทุกประเทศต้องเตรียมแผนตั้งรับแรงกระแทกจากมาตรการภาษีทรัมป์ ที่จะส่งผลให้เกิดเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ

องค์การการค้าโลก (WTO) ปรับลดคาดการณ์การค้าทั่วโลก โดยระบุว่าผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐ อาจส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหนักที่สุดนับตั้งแต่ช่วงที่โควิด-19 ระบาดหนัก

สำหรับประเทศไทยก็เช่นกัน สำนักวิจัยหลายแห่งปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจ (จีดีพี) อยู่ที่ระดับ 1.5% จากที่ตั้งไว้เดิมระดับ 2.5%

ขณะที่การนัดหมายเจรจาการค้าของทางการไทยกับทางการสหรัฐต้องเลื่อนออกไปจากกำหนดเดิม 23 เมษายนที่ผ่านมา โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าทีมเจรจาการค้าไทย-สหรัฐ เปิดเผยสาเหตุการเลื่อนเจรจากับสหรัฐว่า มีการขยับกำหนดเวลาการไปเยือนสหรัฐจากเดิม เพื่อหารือเพิ่มเติมให้เกิดความชัดเจนที่สุด

 

“ปัจจุบันมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น ซึ่งไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทย แต่ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นกับทุกประเทศ สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งสิ่งที่เคยคิดว่าชัดเจน อาจไม่ชัดเจน และควรจะขยับกำหนดเวลาการไปเยือนเพื่อหารือเพิ่มเติม”

นอกจากนี้ นายพิชัยระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นยอมรับว่าต้องเกิดผลกระทบหมด ทุกประเทศในโลกมีปัญหาเหมือนกันเนื่องจากระบบการค้าขายของโลกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทุกคนต้องปรับตัว ทางรัฐบาลได้เตรียมการเพื่อช่วยเหลือ ฟื้นฟู และปฏิรูป ที่ผ่านมาก็มีการหารือกับสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ว่าหากเศรษฐกิจตกต่ำต้องทำอย่างไรบ้าง จะดำเนินการอย่างไร ประเทศไทยมีทางเลือกอย่างไร

ส่วนเรื่องการฟื้นฟู เยียวยาได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่าหากเกิดเหตุอะไร มาตรการช่วยเหลือคืออะไรคงต้องเตรียมการไว้ก่อน

นายพิชัยกล่าวถึงแผนการกู้เงินเพิ่ม และการพิจารณาขยายเพดานหนี้สาธารณะ 70% ต่อจีดีพี ว่าเรื่องดังกล่าวหากคิดว่าเศรษฐกิจลดลงจริง จะต้องเตรียมแผนการจ้างงาน การลงทุนเพื่อทำให้เศรษฐกิจในอนาคตได้รับประโยชน์ เรื่องนี้ต้องคิด และต้องประเมินไว้

 

โดยสัปดาห์ที่ผ่านมานายพิชัยให้สัมภาษณ์ว่า มาตรการภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกหดตัว กำลังซื้อทั่วโลกลดลง แม้ว่าประเทศไทยจะสามารถเจรจากับสหรัฐสำเร็จ แต่ก็จะยังมีบางประเทศที่ไม่สำเร็จ และเศรษฐกิจโลกจะเปลี่ยนไป

“การค้าโลกที่ลดลงจะส่งผลกระทบต่อภาคส่งออกของไทย และซัพพลายเชนผู้ผลิต ที่อาจต้องลดกำลังการผลิตจนส่งผลถึงการเลิกจ้างเป็นปัญหาที่จะตามมา”

ดังนั้น นอกจากเรื่องแผนการเจรจากับสหรัฐ รัฐมนตรีคลังระบุว่า สิ่งสำคัญคือรัฐบาลต้องเตรียมพร้อมรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่จะวิกฤตมากหรือน้อย ทำให้ต้องพิจารณาขยับเพดานหนี้สาธารณะจากเกณฑ์ปัจจุบัน 70% ต่อจีดีพี (ณ สิ้นกุมภาพันธ์ 2568 หนี้สาธารณะไทยอยู่ที่ 64.21% ต่อจีดีพี) อย่างไรก็ดี หากกระทรวงการคลังพิจารณาขยายเพดานหนี้สาธารณะ สิ่งสำคัญคือการตัดสินใจจะนำเงินไปลงทุนอะไร ต้องเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ คุ้มค่า และสร้างอนาคตให้กับประเทศ

และเมื่อรัฐบาลมองว่ามีความจำเป็นต้อง “ตุนกระสุน” เพื่อรับมือกับวิกฤตในอนาคต นายพิชัยก็ยอมรับว่า สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (แจกเงิน 10,000) ก็ต้องทบทวนใหม่ เนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยนไป

“เมื่อการค้าโลกหดตัว ภาคส่งออกของไทยจะมีปัญหา ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำแน่ๆ รัฐบาลก็ต้องเตรียมตัวลงทุนโครงสร้างพื้นฐานช่วยตัวเอง ลงทุนให้เกิดการจ้างงานในประเทศ ซึ่งจากกรอบเจรจากับสหรัฐ ได้วางยุทธศาสตร์ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางผลิตและแปรรูปอาหารเพื่อส่งออก”

และเพื่อให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ดังกล่าว นายพิชัยยังเชื่อว่าการลงทุนโครงการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ควรลงทุน

ขณะเดียวกัน ก็ยังมีโจทย์ใหญ่รออยู่นั่นคือ รื้อยุทธศาสตร์เศรษฐกิจประเทศไทย

รองนายกฯ พิชัยฉายมุมมองว่า วิกฤตที่เกิดขึ้นถือเป็นโอกาสในการจัดทัพอย่างจริงจัง จัดการปัญหาต่างๆ ของประเทศ โดยในกรณีการส่งออกสินค้าของไทยที่ผ่านมามีประเด็นปัญหาที่สินค้าจีนใช้ไทยเป็นทางผ่านในการส่งออกไปสหรัฐ ทำให้ประเทศไทยต้องเร่งแก้ปัญหาเรื่องการเข้มงวดเรื่องการออกใบแหล่งกำเนิดสินค้า ไม่ให้เกิดการสวมสิทธิ์

นอกจากนี้ ส่วนที่บริษัทจีนย้ายฐานมาลงทุนในประเทศไทยจำนวนมาก ก็เป็นอีกประเด็นที่ “ต้องทบทวน” ซึ่งได้สั่งการทางบีโอไอ (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) ไปแล้ว ต่อไปการส่งเสริมลงทุนต้องเลือก ต้องมีเกณฑ์และบรรทัดฐานให้ชัดเจนว่าเข้ามาผลิตอะไร ใช้เทคโนโลยีอะไร ผลิตแล้วขายใคร ตลาดอยู่ที่ไหนประเทศอะไร เพื่อบาลานซ์ ไม่ใช่มองเรื่องเงินลงทุนอย่างเดียว

 

สอดคล้องกับ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และในฐานะที่ปรึกษาของคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา ระบุว่า นอกจากการตอบสนองข้อเรียกร้องสหรัฐ ขณะนี้ถือเป็นสถานการณ์ “ไฟต์บังคับ” ที่ประเทศไทยจะต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพราะโลกเปลี่ยนไปแล้ว จะอยู่แบบเดิมไม่ได้

“เราจะเน้นพึ่งพาการส่งออกที่ไม่ใช่สินค้าไทย แต่เป็นสินค้าที่เข้ามา re-export ซึ่งไม่มีประโยชน์ ขณะที่การส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหาร แปรรูปสินค้าเกษตรเป็นจุดแข็งของประเทศไทย และสอดรับกับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทยได้ ซึ่งประเทศไทยจะต้องใช้เรื่องนี้ในการทรานส์ฟอร์มเศรษฐกิจไทย”

ขณะที่รายงานข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยข้อมูลการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลช่วง 5 เดือนแรกในปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567-กุมภาพันธ์ 2568) รายได้เกินเป้าเพียง 0.1% โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ แต่การจัดเก็บรายได้ของ 3 กรมภาษีหลักยังต่ำกว่าเป้าหมาย

ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่รัฐบาลต้องมีแผนหาเงินมาตุนเพื่อรับมือปัญหาเศรษฐกิจที่อาจชะลอตัวรุนแรง เพราะนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐกระทบต่อการส่งออก ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจสำคัญของไทย ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนก็ชะลอตัวอย่างชัดเจน

โดยมีการยืนยันว่าขณะนี้กระทรวงการคลังกำลังประเมินว่าจำเป็นหรือไม่ที่รัฐบาลจะต้องออก พ.ร.บ.เงินกู้เพิ่มเติม เพื่อนำมารองรับกรณีเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบรุนแรง ซึ่งการออก พ.ร.บ.กู้เงินเพิ่มเติมนั้น รัฐบาลต้องมีเหตุจำเป็น เช่น เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะวิกฤต มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องกู้เงินเพิ่มเติม

ดังนั้น ด้วยสถานการณ์ที่กำลังปั่นป่วนทั่วโลก ก็มีโอกาสที่รัฐบาลจะต้องเปิดประตูกู้เงินเพิ่มมาเป็นกระสุนตุนไว้ เพื่อรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจในอนาคต