ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2568 |
---|---|
เผยแพร่ |
เปลี่ยนผ่าน | ทีมข่าวการเมือง มติชนทีวี
‘อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์’
เราอยู่ในภาวะ ‘ยักแย่ยักยัน’
เพราะแนวคิด ‘น้ำเงินแท้’
หมายเหตุ “ศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์” ศาสตราจารย์เกียรติคุณแห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แสดงทัศนะทางการเมืองไว้ในรายการ “The Politics” ช่องยูทูบมติชนทีวี เมื่อวันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา
: สมัย “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เหมือนชนชั้นนำ กลุ่มทุน และบรรดาผู้มีอำนาจในสังคม จะเห็นพ้องต้องกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ คือผู้นำพาประเทศในช่วงรอยต่อ แต่พอ พล.อ.ประยุทธ์ไปต่อทางการเมืองไม่ได้ ความเห็นพ้องแบบนั้นก็หายไป
ผลผลิตวันนี้จริงๆ แล้วด้านหนึ่ง ก็คือผลผลิตที่เกิดขึ้นในช่วง 8-9 ปีของคุณประยุทธ์ คือคุณประยุทธ์ทำให้เกิดการจับมือระหว่างชนชั้นนำทุกมิติ ชนชั้นนำทางการเมือง ระบบราชการอื่นๆ บวกกับกลุ่มทุนแนบแน่นมากขึ้น
แล้วคุณประยุทธ์คิดว่าอันนี้จะเป็นฐานสำคัญของการเดินของสังคมไทยต่อไป ด้วยผลผลิตนี้ มันจึงทำให้หลังคุณประยุทธ์ กลุ่ม (ชนชั้นนำ) เหล่านี้กลายเป็นกลุ่มที่ทรงอำนาจ และทำให้กลุ่มการเมืองที่ขึ้นมาใหม่แบบคุณทักษิณ (ชินวัตร) คุณอนุทิน (ชาญวีรกูล) เดินต่อไม่ได้
ท้ายสุด คุณก็เดินตามความเหลื่อมล้ำที่ถูกจรรโลงไว้ตรงนี้ ภาวะความขัดแย้งทั้งหมดตรงนี้ (ระหว่างเพื่อไทยกับภูมิใจไทย) คือภาวะความขัดแย้งของพรรคการเมืองที่อยากเข้าไปอยู่ร่วมใน “Party of Order” (กลุ่มการเมืองของฝ่ายกษัตริย์นิยมและอนุรักษนิยมในยุคสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่สอง)
คือกลุ่มพรรคที่คุณประยุทธ์สร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นคุณอนุทินหรือพรรคเพื่อไทย พยายามจะแทรกตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มนี้ให้ได้ อย่างน้อยในเชิงอุดมการณ์
นี่คือผลผลิตของรัฐบาลคุณประยุทธ์ที่พยายามจะสร้างระบอบใหม่ให้แก่สังคมไทย ที่เราเรียกว่า “ระบอบประยุทธ์” ก็คือระบอบที่เชื่อมระหว่างทุนกับอำนาจอื่นๆ อย่างแน่นแฟ้น โดยที่ไม่เปิดทางให้เสียงต่างๆ โผล่ขึ้นมาเลย
ผลผลิตวันนี้ ด้านหนึ่งคงต้องบอกว่าคุณประยุทธ์ได้สร้างระบอบอันนี้ขึ้นมา ทำให้ไม่ว่าจะเป็นภูมิใจไทยหรือเพื่อไทยเอง คุณก็จำเป็นต้องเดินตามนี้
: ด้วยผลผลิตนี้ แม้จะมีความพยายามเดินหน้ากันต่อ มันก็เดินหน้าได้ยากใช่ไหม?
ใช่ครับ เดินหน้าได้ยากเพราะการรวมกันของกลุ่มอนุรักษนิยมที่แน่นหนามาก จนกระทั่งเขาสามารถควบคุมการตัดสินใจทั้งหมดได้ และท้ายที่สุดแล้ว ผมเชื่อว่าเขาได้ “ไกด์” (ชี้นำ) ทางเดินให้แก่พรรคการเมืองด้วย
กรณีพรรคภูมิใจไทย การเปลี่ยนเอา “สีแดง” ออก (จากสัญลักษณ์พรรค) หรือการแสดงตัวทั้งหลาย นี่คือการเดินตาม “ไกด์ไลน์” ของสิ่งที่เราเรียกว่าการเกาะแน่นกันของทุนตรงนี้ ซึ่งภูมิใจไทยหรือเพื่อไทยอาจจะไม่ทันนึกว่าตัวเองนั่นแหละกำลังเดินตามไกด์ไลน์ของมรดกที่ระบอบประยุทธ์ได้สร้างขึ้นมา
: พูดอย่างนี้ได้ไหมว่า การเมืองไทยจากเดิมที่เราอยู่ในเฟสของ “สงครามเสื้อสี” คือ “แดง” กับ “เหลือง” แล้วก็อาจมีสีอื่นมาแซมด้วย แต่หลังจาก 8 ปีของคุณประยุทธ์ มันทำให้การเมืองไทยมาอยู่ในเฟสที่ไม่ใช่ “สงครามเสื้อสี” แล้ว แต่เป็นเฟสของการต่อสู้กันในเชิงความคิด ทั้งเรื่องการเมือง ระบบเศรษฐกิจ ค่านิยม และวัฒนธรรม?
ผมคิดว่ามันเปลี่ยนกีฬาเสื้อสีจาก “เหลือง-แดง” ตอนนี้กลายเป็นว่า คุณจะต้องเป็น “สีน้ำเงินทรูบลู” คือ “น้ำเงินแท้” และการเป็น “น้ำเงินแท้” นั่นเอง มันทำให้เกิดการเขี่ยคนอื่นออก มันไม่ใช่การเมืองแบบที่จะเป็นการดึงคนเข้ามาร่วม แต่เป็นการเมืองแบบเขี่ยคนที่หลากหลายออกไป
สิ่งเดียวที่จะทำให้คุณอยู่ได้ ก็คือคุณต้องเป็น “น้ำเงินแท้” คุณต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าคุณเป็น “น้ำเงินแท้” ดังนั้น ส้มเอง แดงเอง เหลืองเอง สิ่งสำคัญคือคุณต้องเปลี่ยนตัวเอง ถ้าหากคุณจะอยู่ในระบอบนี้
แต่ถ้าคุณไม่เปลี่ยน คุณก็ต้องปะทะ ต้องแย่งชิง ทำ “สงครามทางด้านอุดมการณ์ความคิด” คือต่อสู้ทางด้านวัฒนธรรม อย่างเราดูละครทีวี เราก็จะเห็นว่ามันมีวัฒนธรรมแบบเดิมเยอะมากๆ
ดังนั้น กลุ่มอื่นๆ สีส้ม สีแดง หรือสีอื่นๆ ถ้าอยากจะมีอิสระของตัวเอง คุณต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิง ต่อสู้เพื่อทำให้คุณมีความหมายมากขึ้นต่ออนาคตของสังคมไทย
การเมืองมันเปลี่ยนอย่างมากๆ และนี่คือผลผลิตที่ทำให้เรากลายเป็นประเทศที่เดินไปไหนไม่ได้ ทู่ซี้อยู่กันไป ยักแย่กันไป แล้วประชาชนทั้งหมดความหวังน้อยลง
ผมคิดว่าความหวังในสังคมไทยตอนนี้ ในแง่เศรษฐกิจนี่เกือบจะหวังไม่ได้ เรียกว่าทุกคนทู่ซี้กันอยู่อย่างซังกะตายกันทั้งนั้น ทางการเมืองเองมันจำเป็นจะต้องคิดกันใหม่เยอะมาก เป็น “โปรเจ็กต์ใหม่” กันเลย “โครงการทางการเมือง” อันใหม่
ผมยกตัวอย่างอย่างนี้ ญี่ปุ่นในช่วง “ทศวรรษที่สูญหาย” (ภาวะเศรษฐกิจซบเซาในทศวรรษ 1990) สิ่งที่นายกฯ ญี่ปุ่น หรือทีมคลังสมองของญี่ปุ่นพยายามจะทำ ก็คือคิดโปรเจ็กต์อันใหม่แล้วเสนอแก่สังคมว่า ถ้าหากเราจะทำให้ญี่ปุ่นเข้มแข็งขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เราต้องทำอะไรบ้าง ตั้งแต่เรื่องเด็ก เรื่องผู้หญิง เรื่องการศึกษา ทุกอย่าง
บ้านเราไม่มี เพราะบ้านเราอยู่ที่ว่าเป็น “น้ำเงินแท้” แค่นั้น พิสูจน์กันด้วยการพยายามจะกรีดเลือดให้ไหลออกมาเป็นสีน้ำเงินเท่านั้นเอง ดังนั้น สังคมไทยที่ไม่ได้สร้างอุดมคติร่วมกัน มันเดินไปได้ยากมาก ไม่ว่าขวาหรือกลางหรือซ้ายก็แล้วแต่
เราขาดกลุ่มที่จะต้องคิดกันจริงจังว่า เราจะเดินไปอย่างไร ปัญหาแต่ละอย่างถูกแยกเป็นเสี้ยวๆ หมด ยาบ้าก็เรื่องหนึ่ง การพนันก็ถูกว่าไปเรื่องหนึ่ง อันนี้คือน่าตกใจ จากสิ่งที่ทำให้เกิดเป็น “สังคมน้ำเงินแท้” มันหนักหน่วง
: แต่วันนี้ ในมุมการเมือง “ปีกอนุรักษนิยม” ก็ยังไม่มีความเสถียร มันดูมีหลายเฉด และไม่มีใครสามารถสถาปนาตัวเองให้เป็นหัวหอกหลัก (ของ “สีน้ำเงินแท้”) ได้จริงๆ
ในช่วงยุคสมัยที่เราเรียกว่า “ฉันทมติภูมิพล” ในยุคของพระเจ้าอยู่หัวในบรมโกศ ผมคิดว่าอย่างน้อยที่สุด “ระบบราชการ” ที่แยกย่อยมันได้ประสานกันระดับหนึ่ง ซึ่งทำให้เกิดการเคลื่อน ดีหรือไม่ดีเราก็ให้คุณค่ากันได้ แต่มันเกิดระบบอันหนึ่งที่มันเคลื่อนไปได้
แต่บ้านเราตอนนี้ ระบบราชการก็เคลื่อนไม่ได้ แล้วทุกอย่างก็แยกเป็นเสี้ยวๆๆๆ ไปหมด ท้ายสุดแล้ว “ความสัตย์ซื่อ” ที่มีต่องานตัวเองก็ไม่มี นึกถึงทุกเรื่องในสังคมไทย เราไม่มีความสัตย์ซื่อต่อจรรยาบรรณของตัวเอง ต่อวิชาชีพตัวเองในทุกด้าน นึกถึงพระ นึกถึงวงการยุติธรรม นึกถึงตำรวจ นึกถึงทหาร นึกถึงครูบาอาจารย์
นี่คือภาวะของการทำให้เหลือแค่ “น้ำเงินแท้” ผมไม่ได้ปฏิเสธ “น้ำเงินแท้” แต่ “น้ำเงินแท้” จำเป็นจะต้องคิด เพื่อที่จะดึงให้เห็นว่าเราจะสร้างอนาคตของสังคมไทยร่วมกันได้อย่างไร
ถ้าหากรัฐบาลเพื่อไทยสามารถที่จะระดมความคิดจากคุณพันศักดิ์ (วิญญรัตน์) และคนอื่นๆ คนรุ่นเก่า คนรุ่นใหม่ ลองมานั่งนึกซิว่า “โครงการทางการเมือง” ของสังคมไทยต่อไปคืออะไร แน่นอน คุณอาจจะบวก “น้ำเงินแท้” มาด้วย ก็ไม่เป็นไร แต่มันจะเดินต่อไปอย่างไร เพื่อทำให้เราทั้งสังคมรู้สึกมีความหวัง
ถ้าเป็นภาวะยักแย่ยักยันแบบนี้ โอ้โห! มันทำร้าย (เรา) แบบถึงที่สุดเลย
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022