ลวดลาย ‘อวัยวะเพศหญิง’ บนภาชนะดินเผาบ้านเชียง สัญลักษณ์ของการให้กำเนิดชีวิตอันอุดมสมบูรณ์

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

ภาพจำของลวดลายเขียนสีบนภาชนะดินเผา ในวัฒนธรรม “บ้านเชียง” ซึ่งพบกระจายตัวอยู่สองฟากข้างแม่น้ำโขง ฝั่งไทยพบทั้งเขต จ.อุดรธานี, หนองคาย อีกฟากข้างแม่น้ำมีที่เมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว

ส่วนใหญ่มักนึกถึงลวดลายคดโค้งวกวนไปมา อย่างที่ดูเหมือนจะไม่มีระเบียบแบบแผนอะไรนัก

จนมักจะสรุปกันไปเองอย่างดื้อๆ (และง่ายๆ ไปตามนั้นเอง) ว่า มีลักษณะเชิงนามธรรม มากกว่าจะเป็นภาพเหมือน หรือภาพเชิงสัญลักษณ์ของอะไรบางอย่าง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นักประวัติศาสตร์-โบราณคดี นอกเครื่องแบบ อย่างคุณสุจิตต์ วงษ์เทศ ได้ทำการเปรียบเทียบลวดลายเหล่านี้กับโบราณวัตถุอื่นๆ (ทั้งในแง่ของลวดลาย และบริบทแวดล้อมของวัตถุ) ที่อยู่ในช่วงร่วมสมัยกัน เช่น ขดทองสำริดจากแหล่งโบราณคดีเนินอุโลก จ.นครราชสีมา เป็นต้น ก่อนที่จะเสนอว่า ลวดลายดังกล่าวก็คือ “ขวัญ” ซึ่งมีความหมายสัมพันธ์กับ “พลังชีวิต” (life power, life force) ตามความเชื่อในศาสนาผีของอุษาคเนย์

“ขวัญ” นั้นแตกต่างกับ “วิญญาณ” ที่เราอิมพอร์ตมาจากศาสนาพุทธ หรือพราหมณ์-ฮินดู จากอินเดียทีหลังอยู่มากเลยนะครับ ซึ่งก็แน่นอนด้วยว่า ผู้คนในภูมิภาคอุษาคเนย์ ก่อนที่จะยอมรับนับถือพุทธ หรือพราหมณ์ ซึ่งย่อมหมายรวมถึงผู้คนที่นอนแน่นอนอยู่ในหลุมศพที่บ้านเชียงนั้น ย่อมไม่รู้จักวิญญาณ ตามความเชื่อแบบอินเดีย

ในความเชื่อเรื่อง “วิญญาณ” แบบอินเดียนั้น หากวิญญาณล่องลอยออกจากร่างกายของใครไป คนนั้นย่อมต้องเสียชีวิตแน่

แตกต่างไปจาก “ขวัญ” ที่ออกจากร่างแล้วไม่ตาย เรียกกลับได้ มีพิธีเรียกขวัญ ทำขวัญสารพัด แถมในร่างกายของมนุษย์ยังไม่ได้มีขวัญแค่หน่วยเดียวอีกต่างหาก เพราะมีหลายหน่วย แล้วแต่ว่าชุมชนไหนเชื่อว่ามีขวัญกี่หน่วย แตกต่างกันไปในความเชื่อเฉพาะของแต่ละชุมชน

มากสุดที่มีการสำรวจพบคือ บางชุมชนเชื่อว่าคนเรามีขวัญ 80 หน่วย ถ้าขวัญส่วนไหนหายไปจะทำให้พื้นที่ส่วนที่ขวัญหน่วยนั้นประจำการอยู่เจ็บป่วยขึ้นมา จึงต้องเรียกขวัญกลับมา

นอกจากนี้ ขวัญยังไม่ได้มีเฉพาะในตัวคน หรือสิ่งมีชีวิตเท่านั้น แต่ยังมีในสิ่งของต่างๆ ด้วย

พูดง่ายๆ ว่า ของทุกสิ่งอย่างต่างก็มีขวัญอยู่ในนั้นทั้งหมด ดังนั้น จึงต้องทำขวัญของเหล่านี้ด้วย โดยเฉพาะเครื่องมือทำมาหากินต่างๆ

ที่ยังเห็นชัดๆ ก็คือ พิธีแรกนาขวัญ และพิธีไหว้ครู โดยเฉพาะการไหว้ครูโขนละคร นาฏศิลป์และดนตรีต่างๆ ซึ่งก็คือการเซ่นสรวงบูชา “ผีขวัญ” ที่ตั้งมั่นอยู่ในวัตถุนั่นเอง

และหากลวดลายเหล่านี้จะมีความหมายเป็นอย่างที่คุณสุจิตต์ได้ว่าเอาไว้แล้ว การเขียนลวดลายรูป “ขวัญ” ลงบนภาชนะ ลงในหลุมฝังศพของกลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียง จึงดูจะมีนัยยะที่เกี่ยวข้องกับ “ชีวิตในโลกหน้า” โดยเฉพาะเมื่อผู้คนในอุษาคเนย์นั้น มีความเชื่อว่า “ความตาย” นั้นก็คือ “การเกิดใหม่” ในโลกหน้า (คือโลกของผีขวัญ, ผีบรรพชน) อยู่ด้วยอย่างน่าสนใจมากเลยทีเดียว

 

ผมคงต้องให้ข้อมูลเพิ่มเติมเอาไว้ด้วยว่า ภาชนะเขียนสีแบบนี้พบเฉพาะอยู่ในหลุมฝังศพเท่านั้น ถ้าเป็นเขตที่อยู่อาศัยจะไม่พบภาชนะที่เขียนสีแบบนี้เลย

ดังนั้น การที่พบเฉพาะอยู่ในหลุมฝังศพจึงเป็นเรื่องพิธีกรรมอย่างเห็นได้ชัด และก็แน่นอนด้วยว่าพิธีกรรมที่ว่านี้ก็คือ พิธีฝังศพ ที่เกี่ยวกันอยู่กับความเชื่อเรื่องความตาย และโลกหน้า ซึ่งเป็นโลกของผีบรรพชน

ในกรณีนี้ “พิธีฝังศพ” ก็จึงเป็นเหมือนกับ “พิธีทำขวัญ” ให้กับผู้ตายในโลกนี้ ไป “เกิด” ในโลกหน้า อันเป็นโลกของผีขวัญนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ภาชนะเขียนสีแดงแบบนี้ ก็ไม่ได้มีใช้ในวัฒธรรมบ้านเชียงมาตั้งแต่เริ่มแรกหรอกนะครับ

เพราะเพิ่งเริ่มมีการใช้งานในช่วงปลายของวัฒนธรรมบ้านเชียง คือในช่วงราว 2,300-1,800 ปีมาแล้ว ซึ่งก็ตรงกับช่วงราว พ.ศ.200-700 เท่านั้นเอง

 

การเขียนด้วย “สีแดง” เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะในเกือบๆ ทุกวัฒนธรรมทั่วโลก มักใช้เป็นสีที่หมายถึง เลือด โดยเฉพาะ “เลือดประจำเดือน” ซึ่งหมายถึง “ชีวิต” เพราะผู้หญิงจะมีลูก (คือ แรงงาน และผลผลิตของสังคม) ต้องมีประจำเดือนเสียก่อน

ดังนั้น ในหลายๆ วัฒนธรรมจึงมักจะมีพิธีกรรมเปลี่ยนผ่านจากเด็กเป็นหญิงสาว หลังจากที่เด็กผู้หญิงมีประจำเดือนแล้ว (คำว่า หญิงพรหมจรรย์ สมัยโบราณหมายถึง หญิงที่ยังไม่มีประจำเดือน ไม่ใช่เยื่ออะไรที่มโนขึ้นมากันไปเอง)

“สีแดง” ในสมัยโบราณนั้น ส่วนหนึ่งจะทำขึ้นจาก “ดินเทศ” ซึ่งเป็นดินที่มีส่วนผสมของแร่เหล็ก โดยนักโบราณคดีพบว่า ในหลุมศพของแหล่งโบราณคดีบางแห่งในอุษาคเนย์ของยุคก่อนรับศาสนาจากอินเดียเหล่านี้ มีการโรยดินเทศ ซึ่งเชื่อว่า คือสัญลักษณ์ของเลือดและชีวิต ไว้บนร่างของผู้ตาย เช่นที่แหล่งโบราณคดีบ้านเก่า จ.กาญจนบุรี และแหล่งโบราณคดีโคกพนมดี จ.ชลบุรี อยู่ด้วย เป็นต้น

(น่าสนใจด้วยว่า “สีแดง” เฉดสีดินเทศ (red ochre) แบบที่ว่านี้ ในภาษานอร์สโบราณเรียกว่า “taufr” ส่วนในภาษาแองโกลแซกซอนโบราณเรียกว่า “teafor” โดยเป็นที่ยอมรับกันดีว่า ทั้งสองคำนี้เป็นรากศัพท์ของคำว่า “zauber” ในภาษาเยอรมัน ที่แปลว่า “เวทมนตร์” ดังนั้น จึงไม่แปลกอะไรนักที่ในโลกโบราณมักจะมีการใช้ “ดินเทศ” หรือสีที่ได้จากดินเทศ ในฐานะสัญลักษณ์ของ “เลือด” หรือ “พลังชีวิต” ดังเช่นที่พบในไทยด้วยเช่นกัน)

กลุ่มวัฒนธรรมอื่นๆ ในอุษาคเนย์ ยุคก่อนที่จะยอมรับนับถือเอาศาสนาพุทธ และพราหมณ์-ฮินดู (ซึ่งย่อมหมายรวมถึง การยอมรับเอาระบบสัญลักษณ์ในศาสนาเหล่านี้เข้ามาด้วย) จึงใช้ “สีแดง” ในความหมายถึง “ชีวิต” หรือ “พลังชีวิต” ซึ่งก็ควรที่จะรวมถึงสีแดงบน “ภาชนะดินเผา” ที่พบในหลุมศพของวัฒนธรรมบ้านเชียงด้วยเช่นกัน

ลายเขียนสีรูปอวัยวะเพศหญิง บนภาชนะดินเผาบ้านเชียง จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง

เมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมานี้ ผมเพิ่งจะมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือนพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง จ.อุดรธานี อีกครั้งหนึ่ง หลังจากไม่ได้ไปมาสิบกว่าปีเศษ จึงได้พบว่า ทางพิพิธภัณฑ์เพิ่งจะมีการรีโนเวตการจัดแสดงโบราณวัตถุภายในพิพิธภัณฑ์ใหม่ (ส่วนจะใหม่แค่ไหนผมก็ไม่ทราบได้ แต่ต้องใหม่กว่าครั้งสุดท้ายที่ผมเคยไปเมื่อสิบปีเศษที่แล้วแน่)

และสิ่งที่ผมสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนจากการจัดแสดงใหม่ในครั้งนี้ก็คือ บรรดาภาชนะลายเขียนสีบ้านเชียงที่ถูกนำมาจัดแสดงใหม่นี้ มีอยู่มากเลยทีเดียว (อย่างน้อยเมื่อคะเนด้วยสายตา ก็มากพอๆ กันกับลวดลายคดโค้งที่เป็นสัญลักษณ์ของ “ขวัญ” เลยทีเดียว) ที่เขียนเป็นรูปเครื่องหมายที่โดยทั่วไปแล้ว มักเป็นที่ยอมรับกันว่า คือรูปสัญลักษณ์ของ “อวัยวะเพศหญิง” ในโลกโบราณ

แน่นอนว่า บรรดาภาชนะเขียนสีเหล่านี้ อาจจะเคยถูกจัดแสดงอยู่ก่อนแล้ว ไม่ใช่ของที่ถูกนำออกมาจากคลังเพื่อจัดแสดงใหม่

เพียงแต่ประสบการณ์ของตัวผมเองเมื่อสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ยังไม่เพียงพอที่จะเข้าใจได้ว่ารูปสัญลักษณ์บนลายภาชนะเขียนสีบ้านเชียงในลักษณะนี้ เป็นลายรูปอวัยวะเพศหญิง

 

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับด้วยว่า ลวดลายสัญลักษณ์รูปอวัยวะเพศหญิง บนภาชนะเขียนสีบ้านเชียงนี้ ก็ไม่ได้ถูกคัดเลือกให้เผยแพร่สู่สาธารณชน ทั้งโดยหน่วยงานของรัฐไทยเอง หรือมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้ดำเนินการขุดค้นที่แหล่งโบราณคดีแห่งนี้ด้วย

จนทำให้ภาพจำส่วนใหญ่ของลวดลายบนภาชนะเขียนสีที่บ้านเชียง แทบจะไม่มีรูปของอวัยวะเพศหญิงเลย (เท่าที่ผมพอจะนึกออก มีปรากฏอยู่บนภาพวาดตัวอย่างลวดลายของภาชนะบ้านเชียงในงานของมหาวิทยาลัยเพนฯ เพียง 1-2 ชิ้นเท่านั้น)

ส่วนหนึ่งอาจเกี่ยวข้องกับทัศนะเกี่ยวกับเรื่องเพศ และมายาคติเรื่องความสุภาพ ที่ทำให้รูปสัญลักษณ์อวัยวะเพศหญิงเหล่านี้ถูกเก็บใส่ไว้ในลิ้นชัก เพราะถึงผมจะเรียกว่าเป็นรูปสัญลักษณ์ แต่ถ้าใครเห็นก็คงจะดูออกได้อย่างง่ายๆ ว่า คนที่บ้านเชียงสมัยโน้นเขาวาดรูปอะไรนั่นแหละครับ

แน่นอนว่า ผู้คนที่บ้านเชียงเองก็ไม่ได้เขียนภาพเหล่านี้มาด้วยความทะลึ่งหยาบโลนแต่อย่างใด

เพราะในลัทธิความเชื่อ หรือศาสนาแบบดั้งเดิมของวัฒนธรรมทั้งหลาย มักให้ความสำคัญกับเครื่องเพศทั้งชายและหญิง ในฐานะสัญลักษณ์ของการก่อกำเนิด และความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะในสังคมเกษตรกรรม

ฉากของท้องฟ้าที่มีฝนตกพรำลงบนท้องทุ่งเขียวขจี ไม่ว่าพืชผลที่อยู่ในท้องทุ่งนั้นจะเป็น ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวบาร์เล่ย์ หรือพืชพันธุ์ธัญญาหารชนิดไหนๆ ย่อมทำให้เจ้าของท้องทุ่งยิ้มกริ่มมากกว่าจะร้องไห้ เพราะนั่นทำให้สามารถคาดหวังได้ถึงผลผลิตที่จะผลิดอกออกผลตามมา

ในสังคมที่รู้จักการเกษตรกรรมแล้ว จึงมักจะสร้างบุคลาธิษฐานของ “ท้องฟ้า” ในรูปของ “ผู้ชาย” ที่หลั่ง “ฝน” คือ “เชื้อแห่งชีวิต” ลงมายังพื้น “แผ่นดิน” ที่มักแสดงแทนด้วยรูป “ผู้หญิง” เชื้อแห่งชีวิตเมื่อตกต้องสู่พื้นดินย่อมก่อกำเนิดให้มี “ชีวิต” คือ “ผลผลิต” เหมือนการสังวาสกันของสิ่งมีชีวิตต่างๆ

เครื่องเพศของทั้งชายและหญิง จึงเป็นสัญลักษณ์ของการก่อกำเนิด และความอุดมสมบูรณ์ ไม่ใช่เรื่องอุจาดหยาบคายตามอย่างความคิดในสมัยหลัง

การที่ภาพสัญลักษณ์ของอวัยวะเพศหญิงมาปรากฏอยู่บนลายเขียนสีบนภาชนะดินเผาที่ใส่ลงไปในหลุมศพที่บ้านเชียงนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมากเลยนะครับ

เพราะก็อย่างที่บอกไปแล้วว่า โดยในนัยยะหนึ่งพิธีศพ ก็คือการทำขวัญแรกเกิดในโลกใหม่ให้กับผู้ที่ตายไปจากโลกนี้

และการขุดหลุมฝังศพลงไปในท้องของดินนั้น ในหลายวัฒนธรรมก็แสดงให้เห็นถึงระบบสัญลักษณ์ว่าให้ผู้ตายกลับไปอยู่ในท้องของแม่ ไม่ต่างไปจากผลิตผลต่างๆ ที่ออกดอกออกผลมาจากผืนท้องของพระแม่ธรณี

ลวดลายต่างๆ บนภาชนะเขียนสีที่บ้านเชียง จึงมีความสลับซับซ้อนในทางความคิด ความเชื่อ และมีหน้าที่ในเชิงพิธีกรรมเป็นอย่างมาก หากแต่ไม่ค่อยจะมีผู้สนใจศึกษากันก็เท่านั้น •

 

On History | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ