วง Pulp รีบูต! กับการรีไซเคิลอดีตอีกครั้งด้วย AI

วง Pulp และผู้ร่วมงานในอัลบั้มใหม่

บทความพิเศษ | ศรัณยู ตรีสุคนธ์

 

วง Pulp รีบูต!

กับการรีไซเคิลอดีตอีกครั้งด้วย AI

 

นอกจาก Oasis, Blur และ Suede ที่ถือเป็นสุดยอดวง “บริตป๊อป” (Britpop) แห่งยุค 90 แล้วก็ยังมี Pulp วงดนตรีจากเมืองเชฟฟิลด์ประเทศอังกฤษที่อีกวงได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน “Big Four” ของซีนดนตรีอัลเทอร์เนทีฟจากสหราชอาณาจักรที่ครั้งหนึ่งเคยแผ่รัศมีความเกรียงไกรไปทั่วโลกเมื่อราวๆ 30 ปีก่อน

หลังจากที่ยุบวงไปในปี 2003 สมาชิกวงได้กลับมารียูเนียนเพื่อทัวร์คอนเสิร์ตด้วยกันอีกครั้งในปี 2011

แต่ก็เดินสายได้เพียง 2 ปีเท่านั้นก็แยกย้ายกันไป ก่อนที่จะกลับมารียูเนียนทัวร์คอนเสิร์ตกันอีกครั้งในปี 2022

และยังคงเล่นดนตรีให้แฟนๆ ในหลายประเทศทั่วโลกได้ชมกันทั้งในแบบคอนเสิร์ตเดี่ยวและบนเวทีในเทศกาลดนตรี

สิ่งที่ทำให้งานเพลงของวง Pulp มีเอกลักษณ์อย่างยากที่จะหาวงดนตรีวงไหนมาลอกเลียนแบบได้ก็คือการถ่ายทอดบทเพลงผ่านการ “เล่าเรื่อง” (Storytelling) จากฝีมือการแต่งของนักร้องนำ จาร์วิส ค็อกเกอร์ ที่รับหน้าที่เป็นผู้แต่งเนื้อเพลงหลักของวง

หากมองในภาพรวมแล้วล่ะก็ บทเพลงของวง Pulp มีโครงสร้างเหมือนบทหนังสั้นเรื่องหนึ่งที่เล่าผ่านความคิด, การกระทำและการตัดสินใจจากตัวละครที่ประสบพบเจอกับหลากหลายเหตุการณ์ในชีวิตที่แตกต่างกันออกไป

โดยแนวคิดหรือคอนเซ็ปต์เพลงของวง Pulp จะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์สังคมผ่านการใช้สำนวนภาษาที่สละสลวย

แต่ก็เต็มไปด้วยความประชดประชันอย่างมีชั้นเชิง

ภาพวง Pulp ที่เจนโดย AI

ล่าสุด Pulp เพิ่งจะปล่อยเพลง Spike Island ซิงเกิลแรกจาก More สตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 8 ของวงที่จะวางจำหน่ายและเปิดให้สตรีมมิ่งฟังกันทั้งชุดในวันที่ 6 มิถุนายนนี้

โดยอัลบั้มชุดนี้แฟนๆ เฝ้ารอฟังกันอย่างใจจดใจจ่อ เพราะว่าเป็นงานเพลงชุดแรกของวงในรอบ 24 ปีต่อจากอัลบั้มชุด We Love Life (2001)

โดย Pulp เลือกที่จะเซ็นสัญญาทำงานเพลงชุดนี้กับค่ายเพลงอิสระขวัญใจคอเพลงอินดี้ทั่วโลกอย่าง Rough Trade ด้วย

Spike Island ยังคงเป็นเพลงที่คงไว้ซึ่งลายเซ็นของวง Pulp อยู่เหมือนเดิมไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาของบทเพลงที่เต็มไปด้วยสำบัดสำนวนซึ่งแสดงให้เห็นถึงฝีปากที่ยังคงคมคายอยู่อย่างไม่เสื่อมคลายของ จาร์วิส ค็อกเกอร์

รวมถึงทำนองดนตรีที่มีความป๊อปติดหูในทุกท่อน ถือเป็นเพลงที่ไว้ลายความเป็น 1 ใน 4 วง “Big Four” แห่งวงการเพลงบริตป๊อป ได้อย่างยอดเยี่ยม

Spike Island เป็นชื่อเกาะขนาด 103 เอเคอร์ที่อยู่ในอ่าวคอร์ก (Cork) ของประเทศไอร์แลนด์ เดิมทีเป็นที่ตั้งของศาสนสถาน หลังจากนั้นถึงได้เปลี่ยนมาเป็นที่ตั้งของป้อมปราการทางการทหาร, เรือนจำ จนกระทั่งปัจจุบันได้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว

โดยครั้งหนึ่ง Spike Island เคยถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับจัดคอนเสิร์ตของวง The Stone Roses ในปี 1990 ที่มีแฟนเพลงมาชม 3 หมื่นชีวิต โดยโชว์นี้มีความสำคัญต่อซีนดนตรี Madchester ซึ่งเป็นวัฒนธรรมทางดนตรีที่ถือกำเนิดขึ้นที่เมืองแมนเชสเตอร์ประเทศอังกฤษในช่วงปลายยุค 80

โดยซีนดนตรีที่นำซาวด์กีตาร์แนวไซคีเลดิกสุดหลอน, กลิ่นอายดนตรีป๊อปจากยุค 60, จังหวะดนตรีเต้นรำในสไตล์ เอซิด เฮาส์ และอินดี้ร็อกมาผสมผสานกันนี้ส่งอิทธิพลอย่างสูงต่อวัฒนธรรมบริตป๊อปในเวลาต่อมา

คอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์นี้ไม่ได้ส่งอิทธิพลแต่เพียงซีนดนตรีเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมแฟชั่นที่ได้รับความนิยมในยุค 90 อย่างกางเกงทรงแบ็กกี้, หมวกทรงบักเก็ตและผมทรงหน้าม้ากะลาครอบ (Mop Haircut) ด้วย

วง Pulp และผู้ร่วมงานในอัลบั้มใหม่

การที่วง Pulp นำชื่อเกาะแห่งนี้มาตั้งเป็นซิงเกิลใหม่ล่าสุดมีความหมายเชิงนัยยะแฝงอยู่ด้วย เพราะถึงแม้ว่าคอนเสิร์ตของวง The Stone Roses จัดขึ้นในพื้นที่เดียวกันกับไซต์ที่ทิ้งขยะสารเคมีขนาดใหญ่และรายล้อมไปด้วยโรงงานอุตสาหกรรมเคมีมากมาย แถมยังถูกก่นด่าด้วยว่าระบบเสียงและการจัดการคอนเสิร์ตนั้นแย่มาก

แต่โชว์ของวง The Stone Roes เมื่อเกือบ 35 ปีที่แล้วก็ยังอยู่ในความทรงจำของแฟนเพลงทั่วโลก เพราะนี่คือคอนเสิร์ตที่ถือเป็นหมุดหมายสำคัญต่อวงการเพลงอัลเทอร์เนทีฟของสหราชอาณาจักรในยุค 90 จริงๆ

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Pulp ได้แรงบันดาลใจมาจากโชว์ของวง The Stone Roses ที่ Spike Island

เพราะก่อนหน้านี้ทางวงเคยนำบรรยากาศที่เต็มไปด้วยพลังอันสดใหม่ของโชว์ในตำนานนี้ไปเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงที่มีชื่อว่า Sorted for E’s and Wizz มาแล้ว

การนำชื่อของเกาะนี้มาใช้ตั้งเป็นชื่อเพลงเลยก็เพื่อเป็นการ “รำลึกถึงวันคืนอันสวยงามในอดีต” หรือช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ของวง Pulp มาแล้ว

กล่าวอย่างรวบรัดก็คือ Spike Island เป็นเพลง “ถวิลหาอดีตอันหอมหวาน” (Nostalgia) ที่ผ่านเลยมาแล้วและไม่มีทางที่จะหวนย้อนกลับคืนไปได้อีก

 

จาร์วิส ค็อกเกอร์ แต่งเพลงใหม่เพลงนี้เพื่อเป็นการปลดเปลื้องพันธนาการให้ตัวเองได้รับอิสรภาพที่แท้จริง

เนื่องจากการได้รับทั้งชื่อเสียงและเงินทองที่ได้รับจากการทำเพลงนั้นทำให้เขารู้สึกผิดต่อตนเอง ทั้งลาภเกียรติยศและคำสรรเสริญที่เคยได้รับมาทำให้เขารู้จักตัวเองน้อยลงเรื่อยๆ

จนในที่สุดเขาก็ไม่รู้เสียแล้วว่าเขาเห็นใครกันแน่ที่ในทุกครั้งที่ได้ส่องกระจก

การสารภาพบาปและการมองเห็นคุณค่าที่แท้จริงของตัวเองก็เหมือนกับคอนเสิร์ตของวง The Stone Roses ที่ Spike Island เพราะถึงแม้ว่ามันจะรายล้อมไปด้วยสิ่งแปลกปลอมอย่างโรงงานอุตสาหกรรมและขยะสารเคมีที่เป็นภัยต่อทางเดินหายใจ แต่โชว์ของสุดยอดวง Madchester ระดับตำนานวงนี้คืออากาศบริสุทธิ์อันสดชื่นรื่นรมย์ที่จะรอเราอยู่ที่เดิมเสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม

โดยความหมายซ่อนเร้นนี้ถูกฉายออกมาอย่างชัดเจนผ่านมิวสิกวิดีโอที่ จาร์วิส ค็อกเกอร์ เป็นคนกำกับเองและใช้ AI เป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดแนวความคิดที่เฉียบคมนี้ด้วย

จาร์วิส ค็อกเกอร์ ได้นำภาพนิ่งที่ แรนคิน และ โดนัลด์ มิลน์ เคยถ่ายสมาชิกวงไว้สำหรับโปรโมตอัลบั้มชุด Different Class ในปี 1995 มาให้ AI ทำการ Generate เพื่อให้ภาพนิ่งเหล่านี้กลับคืนมามีชีวิตอีกครั้ง

แต่ภาพที่ AI เจนออกมากลับเต็มไปด้วยความผิดพลาดจนทำให้ภาพมีความบิดเบี้ยวผิดปกติ

โดยในหลายต่อหลายช่วงภาพนิ่งของสมาชิกวงที่กลายสภาพเป็นภาพเคลื่อนไหวมีอวัยวะและใบหน้าเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้

ซึ่งทั้งหมดนี้เข้ากับคอนเซ็ปต์ของเพลงและอัตลักษณ์ของวง Pulp ได้อย่างน่าสนใจทีเดียว

มีอยู่ท่อนหนึ่งของเพลงที่เขียนว่า “I was wrestling with a coat hanger” ซึ่งไม่ได้แปลว่า “เล่นมวยปล้ำกับไม้แขวนเสื้อ” แบบตรงๆ

หากแต่มันคือการเปรียบเปรยเพื่อให้เห็นภาพรวมที่กว้างขึ้นว่าการที่เรามองเห็นใครก็ไม่รู้ที่เราสร้างตัวตนมันขึ้นมาแทนที่จะมองเห็นมันเป็นเพียงแค่ไม้แขวนเสื้อธรรมดาๆ นั้นเป็นภาพลวงตาที่กัดกินจิตวิญญาณของเราได้มากเพียงใด

ภาพ AI ที่เจนออกมาอย่างผิดปกตินี้คือใครบางคนที่เราไม่รู้จักด้วยซ้ำแต่ก็ยังพยายามจะสร้างมันมีชีวิตขึ้นมาให้ได้ นี่คือคู่ต่อสู้ที่เราไม่มีวันจะเอาชนะได้เลย

การได้เห็นภาพนิ่งของคู่บ่าวสาว, แขกเหรื่อและภาพสมาชิกวงที่เป็นภาพขาวดำบนหน้าปกอัลบั้ม Different Class และสมาชิกวง Pulp ทุกคนในอดีตกลับมามีชีวิตอีกครั้งอาจจะสร้างความว้าวให้กับแฟนเพลง

แต่การป้อนคำสั่ง (Prompt) ด้วยการใส่รายละเอียดแค่เพียงเล็กน้อยลงไปนั้นไม่อาจทำให้วันวานที่ผ่านเลยมาแล้วกลับมาโลดแล่นเหมือนฟื้นคืนชีพได้อย่างแน่นอน

 

ในขณะที่ศิลปินทั่วโลกตั้งคำถามกับ AI ที่จะเข้ามาทำลายงานศิลปะ

วง Pulp กลับเลือกที่จะใช้ AI เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบคุณค่าของความเป็นมนุษย์ผ่านความล้ำสมัยของเทคโนโลยี

สิ่งที่ จาร์วิส ค็อกเกอร์ ต้องการบอกกับเราทุกคนว่าอย่าให้สิ่งเร้าใจภายนอกเข้ามาทำลายคุณค่าความงามภายในจิตใจ

ซึ่งก็เป็นอย่างที่ข้อความในช่วงท้ายของมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ได้ฝากเอาไว้ “เราคงจะต้องหาทางอื่นที่จะทำให้ภาพในอดีตเหล่านี้กลับมามีชีวิตอีกครั้งแล้วล่ะ” และท้ายที่สุดแล้วไม่ว่า “ปัญญาประดิษฐ์” จะล้ำหน้าไปอีกสักกี่ยุคสมัยก็ตาม มันก็ไม่ทีทางเข้าถึงความงามที่เกิดขึ้นจาก “ปัญญามนุษย์” อย่างแน่นอน

นี่คืองานศิลปะที่ใช้ AI ตั้งคำถามเกี่ยวกับการมาถึงและการมีอยู่ของมันเองได้อย่างน่าทึ่งและมีไม่บ่อยครั้งนักที่มิวสิกวิดีโอจะทำหน้าที่เตือนสติให้เราคิดทบทวนตัวเองได้อย่างลึกซึ้งขนาดนี้