นางแบกแหกส้ม | คำ ผกา

คำ ผกา

คำ ผกา

 

นางแบกแหกส้ม

 

มีคนตั้งข้อสังเกตว่ากลยุทธ์สำคัญของเหล่านางแบก นายแบกของพรรคเพื่อไทยที่ใช้อยู่เป็นประจำคือ “ป้ายสี” พรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล จนมาถึงพรรคประชาชนว่าเป็น “สลิ่มเฟสสอง” หรือ ” ประชาธิปปัตย์สาขาสอง” เพื่อแปะป้ายให้พรรคคู่แข่ง (พรรคส้ม) กลายเป็นพรรคฝ่ายอนุรักษนิยม และยกย่องให้พรรคเพื่อไทยเป็นหัวหอกฝ่ายประชาธิปไตย

ฉันต้องการออกมาคัดค้านข้อสังเกตข้างต้นว่าไม่เป็นความจริงและบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างไม่เคารพในหลักฐานเชิงประจักษ์ที่มีอยู่เลย เพราะตัวฉันเองเป็นคนแรกที่เรียกพรรคก้าวไกลว่าเป็น “สลิ่มเฟสสอง” และเป็น “ประชาธิปัตย์สาขาสอง” มีหลักฐานเป็นคลิปรายการ In Her Classroom สามารถย้อนดูได้ที่ https://www.youtube.com/live/O-Zns6fF8Dc?si=5MWWTH0ZO5y2xlAy

ชื่อตอน “สลิ่มวิทยา101” มีสองตอนจบ ออกอากาศเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2022

ซึ่งฉันต่อยอดความคิดนี้มาจากการนำเสนอบนเวทีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี 14 ปีที่แล้วในหัวข้อ “สลิ่มคืออะไร” สามารถดูได้ที่ https://youtu.be/iqRKrTPKu4g?si=YzJPkhmlZWzy-h1h

ดังนั้น การที่ฉันวิเคราะห์ว่า พรรคก้าวไกลคือประชาธิปปัตย์สาขาสองเป็นการวิเคราะห์ของคำผกาในฐานะปัจเจกบุคคล ในฐานะผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองและในฐานะนักเรียนประวัติศาสตร์ที่ใช้เครื่องมือทางประวัติศาสตร์ “อ่าน” สังคมอยู่เสมอ มิพักต้องพูดว่า ณ ปี 2022 ยังไม่มีปรากฏการณ์ “นางแบก” เลยด้วยซ้ำ

การบอกว่าการพรรคก้าวไกลเป็น “สลิ่มเฟสสอง” คือกลยุทธ์ของนางแบกจึงไม่ตรงกับข้อเท็จจริงเลยแม้แต่น้อย

เพราะการบอกว่าสิ่งนี้เป็น “กลยุทธ์” ทำให้สังคมเข้าใจไปได้ว่า นางแบกเป็นกลุ่มก้อนของผู้คนที่มีการจัดตั้งอย่างเป็นระบบ และมีการวางแผนร่วมกันว่าจะใช้กลยุทธ์อะไรในการทำลายคู่แข่ง ทั้งๆ ที่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย

ที่ฉันกล้าเขียนเพราะฉันคือผู้ที่ถูกเรียกว่า “นางแบก” เป็นคนแรก

ขอบันทึกไว้เป็นหลักฐานในการสืบค้นในอนาคตว่าคำว่า “นางแบก” มาจากไหน?

มันเริ่มจากการที่ปิยบุตร แสงกนกกุล โฟสต์ใน x ว่า พรรคเพื่อไทยไปฮั้วกับประวิตร ดึงเกมการอภิปรายยืดเยื้อ ส.ส.เอลวิส พูดอะไรไม่รู้เรื่องทำให้เวลาล่วงเลยจนปิดประชุมแล้วทำให้รังสิมันต์ โรม ไม่ได้อภิปรายเรื่อง “ตั๋วช้าง” เป็นเหตุให้โรมต้องออกมาอภิปรายนอกสภา ในประเด็นตั๋วช้างอันลือลั่น

จากตรงนี้ทำให้ฉันไปอธิบายใน x ว่า ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะฉันโทร.ไปถามคุณสุทิน คลังแสง โทร.ไปถาม ส.ส.หลายคนในพรรค ได้ความตรงกันว่า ได้พยายามส่งสัญญาณ ส่งจดหมายน้อยให้ ส.ส.เอลวิสหยุด แต่เขาไม่หยุด

และตอนนั้นทุกคนไม่คิดว่าประธานสภาคือ คุณชวน หลีกภัย จะสั่งปิดประชุมทั้งๆ ที่ยังมี ส.ส.ตกค้างไม่ได้อภิปราย เพราะปกติจะขยายเวลาออกไปได้

แต่สงครามใน x ทำให้เกิดวาทกรรมใส่ร้ายพรรคเพื่อไทยที่ตอนนั้นเป็นฝ่ายค้านกับพรรคก้าวไกลว่า “ไปฮั้วกับประวิตร”

เพราะฉันออกมาอธิบายเรื่องนี้อย่างหนัก ทำให้มีผู้ใช้ x หรือทวิตเตอร์ ณ เวลานั้นมาเขียนด่าและเรียกฉันว่าเป็น “นางแบก” (โดยคาดหวังให้ฉันโกรธและแก้ตัวว่าฉันไม่ใช่นางแบก บลา บลา) แต่ฉันกลับโควตทวีตนี้ตอบโต้ว่า “ใช่ค่ะ เป็นนางแบก”

และจากวันนั้นเองที่คำว่า “นางแบก” กลายเป็นอัตลักษณ์ของ “คำ ผกา”

และในช่วงใกล้เลือกตั้งมันกลายเป็นปรากฏการณ์ของกลุ่มคนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย

 

คําว่า “นางแบก” จึงมีความหมาย “คนอื่น” เห็นว่ามีความหมายในเชิงลบ “แบก” แปลว่า เข้าข้างสนับสนุนพรรคอย่างหน้ามืดตามัว คอยแก้ตัว แก้ต่างให้แม้พรรคเพื่อไทยทำในสิ่งที่ผิด

เปรียบประหนึ่งเป็นคนงมงาย บ้างก็บอกว่า เป็นนางแบกเพราะมีผลประโยชน์ เพราะถูกจ้าง บ้างก็บอกว่าเป็นนางแบกเพราะโง่ เพราะยึดติดตัวบุคคล

เมื่อความหมายของนางแบกเป็นเช่นนี้ หลายต่อคนจึงมองว่าการเป็นนางแบกเป็นเรื่องน่าอาย

แล้วก็งงทุกครั้งที่นางแบกรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้อับอายอะไรกับอัตลักษณ์นางแบก

ทำไมฉันเฉยๆ กับคำว่า “นางแบก” และทำไมคนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยจึงโอบรับคำว่า “นางแบก” มาใช้เป็นพาโรดี้ จนเกิดเป็นมีมนางแบกมีแม้กระทั่งอินโฟนางแบก หรือเอาไปตั้งเป็นชื่ออวตารของตัวเอง

จนในที่สุดเราปฏิเสธไม่ได้ว่าอัตลักษณ์นางแบกและคำศัพท์นางแบกเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม “ร่วมสมัย” ในมิติประวัติศาสตร์การเมืองไทย

พวกนางแบกไม่เดือดร้อนกับฉายานี้เพราะไม่ได้รู้สึก insecured หรือไม่มั่นคงกับการถูกตราหน้าว่าเป็นคนที่งมงายกับพรรคเพื่อไทย

เพราะคนที่เลือกแล้วว่าจะเชียร์พรรคเพื่อไทยทุกคนรู้ตัวว่า พรรคเพื่อไทย ที่เต็มไปด้วย “ตำหนิ”

และเราก็เลือกเชียร์พรรคนี้เพราะมันดูจับต้องได้ มันไม่หล่อเกินไป มันไม่สมบูรณ์แบบ มันเชย มันโป๊ะบ๊ะ

มันมีส่วนผสมของผู้คนที่หลากหลาย แกนนำก็มีหลายแคแร็กเตอร์ มีทั้งคนแบบอดิศร เพียงเกษ มีแบบนพดล ปัทมะ มีแบบจาตุรนต์ ฉายแวง มีแบบครูมานิตย์ สังข์พุ่ม มีแบบหนุ่มชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ มีแบบเผ่าภูมิ โรจนสกุล ฯลฯ และทุกคนดูเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีใครพูดจากภาษาประหลาดๆ ที่เหมือนหลุดออกมาจากเรื่องสั้นเพื่อชีวิต จิตร ภูมิศักดิ์ ไม่ต้องเป็นสาย สีมา ในนิยายเรื่องปิศาจ

ดังนั้น การเชียร์พรรคเพื่อไทยของกลุ่มที่ภายหลังถูกเรียกและเรียกตัวเองว่า “นางแบก” จึงเป็นสิ่งที่เลือกแล้ว

และรู้ล่วงหน้าด้วยว่า พรรคที่เราเลือกมันจะ “ไม่หล่อ” ไม่ดูอินเตอร์ ไม่ได้พูดจาฉลาดเป็นนักวิชาการ

เพราะเราไม่ได้เลือกนักการเมืองหรือพรรคการเมืองมาเป็น “ไอดอล” เราเลือกมาทำงานแทนเรา

 

แต่ solidarity ของกลุ่มนางแบกมันเกิดจาก “ธรรมชาติ” ของพรรคส้มที่ชอบ “ตีฟู” เรื่องรางทางการเมืองให้อยู่ในภาษานิยายเพื่อชีวิตแบบโรแมนติก การกดขี่ กดทับ รัฐล้มเหลว เราต้องปฏิรูประบบราชการ นักการเมืองไม่เห็นหัวประชาชน

นางแบกมีจริตรำคาญภาษาทางการเมืองแบบนี้ ทุกครั้งที่พรรคส้มหรือด้อมส้ม เขียนอะไรแบบนี้ เหล่านางแบกก็จะออกมาโจมตีทันทีโดยมิได้นัดหมาย

กลุ่มนางแบกจึงค่อยๆ ก่อรูปก่อร่างกันขึ้นมาไม่ต่างอะไรจากกลุ่มคนชอบรถโบราณ กลุ่มคนชอบบอนสี เป็นคอมมูนิตี้ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ

ในบรรดานางแบกบางคนรู้จักกัน เพราะเริ่มนัดหมายเจอกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน

และส่วนมากไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่ละคนที่ตัวตนอยู่ในเฟซบุ๊ก อยู่ใน x และส่วนใหญ่ใช้อวตาร

คอมมูนิตี้ของนางแบกจึงเป็นความสัมพันธ์ในโลกออนไลน์ ในหมู่นางแบกมีบางคนที่ค่อนข้างแอ็กทีฟจัดเวทีคุยในแพลตฟอร์มสเปซบ้าง

ตัวฉันเองเจอกลุ่มนางแบกที่คุยกันใน x เยอะที่สุดคือช่วงหาเสียงเลือกตั้งเพราะเจอเวลามีเวทีปราศรัยใหญ่ๆ เจอแล้วก็จำหน้าได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง

วันที่นับคะแนน กลุ่มนางแบกก็นัดไปเจอกันที่พรรคเพื่อไทย จนเป็นตำนานล้อกันเรื่องบัตรก้นหีบ

 

เล่ามายืดยาวเพื่อจะบอกว่า กลุ่มนางแบกไม่มีวัน และไม่มีทางที่จะอัจฉริยะฉลาดเฉลียววางกลยุทธ์อะไรได้

อีกทั้งไม่ได้มีสายสัมพันธ์อะไรกับพรรคเพื่อไทยเลยนอกจากเป็น “แฟนคลับ”

และที่นางแบกออกมาไฟต์อะไรเยอะๆ ก็เพราะหงุดหงิดที่พรรคเพื่อไทยตอบโต้อะไรช้า งุ่มง่ามตามประสาพรรค ที่มี “วุฒิภาวะ”

หลายต่อหลายครั้งมูฟของนางแบกก็ไม่ค่อยเป็น “คุณ” ต่อพรรคหรอกเพราะวู่วาม หรือมีความ “ห่วง” พรรคมาก ไม่อยากให้มีใครมาว่า เลยชิงด่าพรรคก่อนที่ส้มจะมาด่าอะไรแบบนั้น

การตั้งข้อสังเกตว่า นางแบกด่าพรรคส้มเป็นประชาธิปัตย์สาขาสองคือกลยุทธ์ที่นางแบกคิดค้นมาเพื่อล้มล้างพรรคส้มจึงเป็นการให้เครดิตนางแบกมากเกินไป เพราะนางแบกที่ฉันรู้จักไม่มีใครมีความคิดเป็นระบบขนาดนั้น

ที่สำคัญการบอกว่าพรรคส้มเป็นสลิ่มเฟสสองและเป็นประชาธิปัตย์สาขาสองไม่ใช่การแปะป้ายให้พรรคส้ม (ขอโทษที่ต้องเขียนว่าส้ม ไม่อย่างนั้นต้องเขียนยาวๆ ว่า อนาคตใหม่ ก้าวไกล ประชาชน) เป็นพรรคอนุรักษนิยม

แต่การบอกว่า พรรคส้มเป็นสลิ่มเฟสสองและประชาธิปัตย์สาขาสอง เพราะความเหมือนกันในเรื่องของการนิยามตนเองเป็นพรรคหัวก้าวหน้าสายปฏิรูปที่สุดท้ายจะลงเอยด้วยการดูถูก “คนอื่น” ที่ไม่ใช่โหวตเตอร์ของตัวเองว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย, โง่, ถูกนักการเมืองจูงจมูก, เห็นแก่เงินที่เขาเอามาซื้อไม่กี่ร้อย

หรือแม้กระทั่งมองผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยว่าเป็น “นางแบก” นั่นแหละ

 

กําเนิดของพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่แรกในทางอุดมการณ์คือการต่อสู้กับประชาธิปไตยจอมปลอม ดังความเห็นของ ม.จ.สิทธิพร กฤดากร ว่า

“นายควง อภัยวงศ์ ระมัดระวังไม่ให้มี ‘ประชาธิปไตยจอมปลอม’ เกิดขึ้นอีกได้ในการเลือกและแต่งตั้งสมาชิกรัฐสภา จึงได้ร่วมมือกับคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ภายใต้กรมชัยนาทฯ องค์ประธานอย่างใกล้ชิด และเลือกเฟ้นเอาข้าราชการบำนาญที่ช่ำชองในงานสาขาต่างๆ ประกอบกับพ่อค้าวาณิชที่มีชื่อเสียงและไม่มีข้าราชการประจำหรือสมาชิกพรรคนายควงสักคนเดียว ฉะนั้น เมื่อมีการเลือกตั้งกันใหม่แล้ว รัฐสภาภายใต้รัฐธรรมนูญชั่วคราวจึงประกอบด้วย ส.ส. ที่ราษฎรเลือกตั้ง กับสมาชิกแต่งตั้งที่เป็นอิสระปราศจากอิทธิพลของรัฐบาลทั้งสิ้น จึงเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย คือไม่ใช่ประชาธิปไตย ‘จอมปลอม’…”

และเมื่อจะต้องมีการร่างรัฐธรรมนูญ นายควงเสนอว่า

“…ทว่ามีบางท่านมาปรารภกับผมว่า การร่างรัฐธรรมนูญนี้ถ้าจะให้ดีจริงๆ แล้ว ควรจะเป็นผู้กลางๆ เขาร่าง ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วการร่างจะกลายเป็นพวกมากลากไป แล้วรัฐธรรมนูญจะไม่เป็นของชาวไทยโดยสมบูรณ์ และวิธีการอันใหม่นี้ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ (ม.จ.สิทธิพร) ทรงมีความเห็นว่า ควรจะมีคอนสติติวชั่น แอสเซมปลี คือทางไทยเราแปลอย่างที่ท่านว่าเป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญ”

ส่วน ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช บอกว่า

“รัฐธรรมนูญตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองที่ให้ “นักการเมือง” เป็นผู้ร่างนั้นมัก “กะปลกกะเปลี้ย” เนื่องมาจากอคติของนักการเมือง สมควรใช้สภาร่างรัฐธรรมนูญที่นับว่าเป็นกลาง เมื่อร่างเสร็จก็ออกไป รัฐสภามีหน้าที่บอกว่าจะรับหรือไม่รับ…รัฐธรรมนูญจะต้องร่างด้วยบุคคลที่อ้างได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน รวมถึงต้องให้ได้บุคคลที่ดีที่สุดมาร่าง และเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าประชาชนคนเดินถนนยังไม่มีในรูปที่พอจะร่างได้”

นั่นคือที่มาของการนิยามพรรคส้มว่าเป็นสลิ่มเฟสสอง และประชาธิปัตย์สาขาสอง เพราะหัวใจของความเป็นสลิ่มไม่ใช่ royalist หรือ anti-royalist แต่เป็นเรื่องการเมือง “คนดี” และเห็นว่าประชาธิปไตยเสียงข้างมากมีแนวโน้มจะเป็นเหลวแหลก เพราะ “คนส่วนใหญ่” ไม่ได้เลือก “ตัวแทน” มาทำงานในสภาจากความรู้ความสามารถ แต่เลือกเพราะอามิสสินจ้าง เลือกเพราะระบบอุปถัมภ์

เพราะฉะนั้น เวลาที่เราซึ่งเป็นคนดี มีความสามารถ ตั้งพรรคการเมือง ลงเลือกตั้ง เราจะกลายเป็นเสียงข้างน้อยในสภาเสมอ เพราะในสังคมส่วนใหญ่เป็นคนไม่มีความรู้ พวกเราที่เป็นคนดีจึงมักแพ้เลือกตั้งอยู่ร่ำไป

ดังนั้น ประชาธิปไตยที่อิงอยู่กับเสียงข้างมากในสภา จึงเป็นประชาธิปไตยแบบพวกมากลากไปและเป็นประชาธิปไตยจอมปลอม

นี่คือต้นธารของแนวคิด “สลิ่ม” ในสังคมไทย

และพรรคประชาธิปัตย์มีส่วนร่วมในอุดมการณ์นี้มาตลอดประวัติศาสตร์ของพรรค และเป็นอุดมการณ์ที่พรรคประชาธิปัตย์ภาคภูมิใจ นำเสนอเป็นจุดขายของพรรคมาโดยตลอด

นั่นคือเป็นพรรคการเมืองของคนมีการศึกษา ซื่อสัตย์ บุคลากรในพรรคเป็นนักกฎหมาย เป็นนักเรียนนอก หรือมีสาแหรกเป็นผู้ดีเก่า หากจะเป็นลูกชาวบ้านก็เป็นชวน หลีกภัย ผู้สมถะ

กลุ่มประชาชนที่เป็นโหวตเตอร์ของพรรคประชาธิปัตย์มีทั้งชาวบ้านที่มองว่าตัวเองฉลาดไม่เป็นเหยื่อของนักการเมืองชั่ว ตลอดชีวิตก็นับถือคนแบบคุณชวนลูกแม่ถ้วน ลูกชาวบ้านที่เปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรี ทำงานหนัก ซื่อสัตย์ ในพรรคประชาธิปัตย์ยังมีนักเรียนนอกเทคโนแครตแบบสุรินทร์ พิศสุวรรณ มีธารินทร์ นิมมานเหมินท์ มีศุภชัย พานิชภักดิ์ มีนักปราศรัยที่คมคายแบบไตรรงค์ สุวรรณคีรี มีนักเรียนออกซ์ฟอร์ดที่สมบูรณ์แบบทั้งการศึกษา ชาติตระกูล รูปร่างหน้าตา ภาษาอังกฤษไพเราะแบบอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

สลิ่มเฟสหนึ่งและพรรคประชาธิปปัตย์คือ ฝ่ายอนุรักษนิยมเจ้าที่เชื่อในสามแสนเสียงคุณภาพ

มองว่าประชาธิปไตยในประเทศไทยมันเสื่อมทรามเพราะนักการเมืองโกงกิน ซื้อเสียง เป็นมาเฟียบ้านใหญ่ คัดคนมาลงเลือกตั้งและรับตำแหน่งตามโควต้าผลประโยชน์ สัดส่วนการ “ลงเงิน” ชนะด้วยกระสุน

คนดีๆ คนที่ตั้งใจทำงานเพื่อประชาชนจึงแพ้เลือกตั้งเพราะไม่มีเงิน

ส่วนคนมีการศึกษาเป็นประชากรส่วนน้อย จึงไม่มีตัวแทนคนเหล่านี้ในสภา ส.ส.ในสภา มีแต่คนบ้าๆ บอๆ ดารา ตลก ที่เป็นขวัญใจชาวบ้าน เมื่อเป็นเช่นนี้ประเทศชาติจึงไม่เจริญ ไม่มีประชาธิปไตยที่แท้จริง

และแนวคิดนี้เองนำพาให้ประชาธิปัตย์ไปขึ้นเวทีพันธมิตร ไปกินอาหารดี ดนตรีไพเราะ ไปปิดสนามบิน ไปเป็น กปปส. สุดท้ายไปสนับสนุนให้กองทัพทำรัฐประหาร

 

สลิ่มเฟสสองและประชาธิปัตย์สาขาสองเป็นฝ่ายหัวก้าวหน้าต้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ต้องการแก้กฎหมาย 112 ที่มองว่าประชาธิปไตยในประเทศไทยมันเสื่อมทรามเพราะ “การเมืองเก่า” นักการเมืองบ้านใหญ่โกงกิน ซื้อเสียง คัดคนมาลงเลือกตั้งจากผลประโยชน์ และระบบลูกท่านหลานเธอ nepotism

ทุกการปราศรัยของพรรคส้มจะต้องตอกย้ำกับประชาชนว่าอย่าให้ใครมาซื้อเสียงเราด้วยเงินเพียงน้อยนิด หรือหากแพ้เลือกตั้ง พรรคส้มมักจะบอกว่าพวกเขาแพ้เพราะการซื้อเสียงของบ้านใหญ่

นอกจากนี้ พรรคส้มยังหลงไหลในประชาธิปไตยทางตรง พวกเขาไม่มีความเชื่อมั่นในผู้แทนราษฎร (พรรคอื่น เพราะมีแต่พรรคส้มเท่านั้นที่เป็นนักการเมืองที่ดี เพราะประชาชนเลือกเขาโดยที่เขาไม่ต้องซื้อเสียงแม้แต่บาทเดียว พวกเขาจึงเป็นผู้แทนฯ ที่เหนือผู้แทนฯ)

พวกเขามักเรียกร้องการไลฟ์สดการประชุม เรียกร้องการทำประชามติในทุกเรื่อง เรียกร้องให้ “ถามประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” เพราะเขามองว่าสภานั้นเต็มไปด้วยนักการเมืองที่เข้ามากอบโกยผลประโยชน์ เป็นพวกพ้องของเจ้าสัวนายทุนที่จ้องจะขูดรีดประชาชน

หรือในเวอร์ชั่นใหม่คือเขามองว่าเสียงข้างมากในสภาเป็นเสียงที่ทำทุกอย่างเพื่อ “ชั้น 14”

จุดขายของพรรคส้มคือ มีสายบู๊ปากกล้าแบบวิโรจน์ ลักขณาอดิศร มีสิ่งที่คล้ายอภิสิทธิ์คือพริษฐ์ วัชรสินธุ มีพรรณิการ์ วานิช เป็นสุพัตรา มาศดิตถ์ มีพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มีธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นนักปฏิวัติหมื่นล้าน ร้อยล้านสไตล์ “เขาชื่อกานต์” มีเลือดเนื้อเชื้อไขของสุรินทร์ พิศสุวรรณ คือ ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ มีตัวแทนของมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข คือ ภัคมน หนุนอนันต์ มีนักท้าชนการคอร์รัปชั่นแบบรักชนก ศรีนอก

แค่คำว่า “เราคือการเมืองใหม่” ต่อสู้กับ “การเมืองเก่า” ก็ชัดเจนว่านี่คือจิตวิญญาณร่วมระหว่างพรรคส้มกับประชาธิปัตย์

จิตวิญญาณสลิ่มที่มีร่วมกันคือการไม่เชื่อมั่นใน “ผู้แทนราษฎร” เพียงแต่เฟสหนึ่งไปพึ่งองค์กรอิสระ เฟสสองต้องการโยนทุกอย่างไปที่ “ประชามติ” โดยอ้างว่า ต้องถามประชาชน ต้องให้ประชาชนตัวจริงมีส่วนร่วม และคำที่ใช้พร่ำเพรื่อคือ “เจ้านายของเราคือประชาชน”

ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจล่าสุด ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล แกนนำของพรรคถึงกับหลุดปากออกมาว่า “เสียงข้างมากไม่ได้แปลว่าถูกต้อง”

 

นักวิชาการอย่างธงชัย วินิจจะกูล พยายามจะบอกว่าพรรคเพื่อไทยเหมือนประชาธิปัตย์เพราะไปผสมพันธุ์กับเผด็จการเหมือนอภิสิทธิ์ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร

การบอกเช่นนี้สะท้อนภาวะฟั่นเฟือนของธงชัย เพราะพรรคเพื่อไทยไม่ได้ขึ้นเวทีล้มรัฐบาลพลเรือนเหมือนประชาธิปัตย์ในยุคพันธมิตร

ที่สำคัญการตั้งรัฐบาลผสมของพรรคเพื่อไทยเป็นไปตามกลไกของระบบรัฐสภาทุกประการ นั่นคือพรรคอันดับสองรวบรวมเสียงในสภาที่ทุกเสียงล้วนมาจากการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ หรือรวมไทยสร้างชาติ ส.ส.ของทั้งสองพรรคไม่ได้เป็น ส.ส. เพราะประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้ง หรือประวิตร วงษ์สุวรรณ ตั้ง ทุกคนก็ลงเลือกตั้งในกติกาเดียวกัน และชัดเจนว่าการเลือกตั้งยุติธรรมพอที่จะทำให้ทั้งสองพรรคไม่ได้เป็นแม้แต่พรรคอันดับสามและพรรคอันดับหนึ่งคือก้าวไกลด้วยซ้ำ

ดังนั้น จะบอกว่ากติกานี้เอื้อพรรคการเมืองใดการเมืองหนึ่งก็ไม่เต็มปากเพราะพรรคก้าวไกลคือพรรคที่ได้ ส.ส.อันดับหนึ่ง

เมื่อพรรคอันดับสองคือพรรคเพื่อไทยรวมเสียงข้างมากในสภาได้ ทั้งประยุทธ์และประวิตรก็ไม่ได้เป็นนายกฯ

ร้ายกว่านั้นผ่านไปสองปี พรรคของประวิตรกลายเป็นฝ่ายค้านและทำท่าจะหดเล็กเรียวลง

คนที่เคยมีอิทธิพลอย่างไพบูลย์ นิติตะวัน ก็เงียบหายไปจากสื่อโดยสิ้นเชิง

ส่วนคนที่ยังมีบทบาทอยู่คือคนที่ทำงานกับรัฐบาลได้

ความไม่ลงรอยกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลก็เป็นเรื่องที่สุดแสนจะปกติ และดีสำหรับประชาชน เพราะมันแปลว่าไม่มีใครครอบงำใครได้

ดังนั้น จึงไม่มีอะไร ตรงไหน ที่พรรคเพื่อไทยจะเหมือนกับประชาธิปัตย์แม้แต่น้อย

พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองแบบไหน?

การรัฐประหารสองครั้งทำให้พรรคไทยรักไทยที่ถูกยุบพรรคหลายครั้ง นักการเมืองถูกตัดสิทธิ์เป็นว่าเล่นคนเก่งๆ ต้องรีไทร์ก่อนกำหนด หรือถูกเล่นงานทางการเมืองนานจนร้างเวทีนานเกินไป ทำให้พรรค “แดง” เสียโอกาสในการพัฒนาพรรคให้กลายเป็นสถาบันทางการเมือง

วิกฤตทางการเมือง การรัฐประหาร การลี้ภัยของนายกฯ สองคนทำให้พรรคเพื่อไทยต้องเลือกใช้ “ครอบครัว” เป็นศูนย์กลางของการทำงานเพราะสิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือ “ความไว้ใจ” สิ่งนี้ไม่ใช่จุดอ่อนแต่คือ “ข้อจำกัด”

ฉันในฐานะนางแบกการันตีได้ว่าเหล่านางแบกล้วนแต่แบกพรรคบนฐานของความเข้าใจในข้อจำกัด ไม่ได้แบกเพราะตาบอด

อย่างไรก็ตาม เสน่ห์ที่สำคัญที่สุดของพรรคเพื่อไทยคือการเป็น populism democracy เป็นพรรคการเมืองที่ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นพระมาโปรดสัตว์ มาเอ็นดูเขตคนให้กลายเป็นอารยชน แต่เป็นพรรคการเมืองที่เคารพในความเป็นรากหญ้าของผู้คนและไม่ได้อยากเปลี่ยนแปลงรสนิยม โลกทัศน์ของพวกเขา มีแค่ความปรารถนาเดียวคืออยากเห็นคนไทยรวย!

นี่คือความปรารถนาสูงสุดของพรรคเพื่อไทย

เราจะเห็นด้วยกับวิธีการของเขาหรือไม่ เป็นอีกเรื่อง แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าความร่ำรวยของคนไทยคือความสุขของพรรคเพื่อไทย นโยบายเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ โอดอส ซอฟต์เพาเวอร์ จึงเป็นเรื่องของการอยากเห็นคนรากหญ้ามีกินมีใช้มีเงิน

แต่จะสำเร็จหรือเปล่า เป็นอีกเรื่อง มาถูกทางหรือไม่ เป็นอีกเรื่อง

การตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคการเมืองที่ไม่ได้ลงรอยกันจึงไม่ใช่เรื่องที่รับไม่ได้ตราบเท่าที่มันยังไม่ผิดครรลองของประชาธิปไตย ดีกว่าเป็นฝ่ายค้านอีกสมัยแล้วไม่ได้ทำอะไรเลย

ที่สำคัญพรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้อ้างคุณงามความดีอะไร ก็บอกประชาชนตามตรงว่า “เราอยากเป็นรัฐบาล” มี ส.ส. 141 คนมีโอกาสตั้งรัฐบาล ทำไมจะไม่ตั้ง มีโอกาสเป็นนายกฯ ทำไมจะไม่เป็น

ทำงานไม่ได้หรอก พรรคร่วมหยุมหัวอยู่!

ก็ทำเท่าที่มีปัญญาจะทำ ถ้าทำได้ห่วยมาก เลือกตั้งอีกครั้งก็แพ้ แต่ดีกว่าไม่ได้ลองทำดูสักตั้ง

วิธีคิดแบบนี้ไม่มีวันจะคล้ายกับประชาธิปัตย์เพราะไม่ได้ไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหารที่ไหน และไม่มีทางจะมีความชอบธรรมไปสังหารประชาชนเวลามีม็อบ

ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องแค่นี้ธงชัย วินิจจะกูล จะไม่เข้าใจ

พรรคประชาชนนั่นแหละที่อ้าง “ประชาชน” มาสถาปนาประชาธิปไตยแบบ more than and better ตลอดเวลาที่คล้ายสลิ่มในระดับดีเอ็นเอมากที่สุด

ไม่ต้องห่วงเพื่อไทยหรอก เพราะมันเป็นแค่พรรคโลกียชนธรรมดาๆ มีผู้คนหลากหลายอยู่ร่วมกันไปด่ากันไป ความเบาเนื้อเบาตัวของพรรคเพื่อไทยตอนนี้คือไม่ต้องมาแบกพันธกิจวีรชนอะไรให้ศักดิ์สิทธิ์ อยู่เป็นพรรคการเมืองธรรมดาๆ มีรักโลกโกรธหลงนี่แหละ สบายตัว

ที่เหลือก็ให้ประชาชนตัดสินวันเลือกตั้ง

อ้างอิง : ข้อมูลจากหนังสือ เลือดสีน้ำเงิน ซ้ายไม่จริง ขวาไม่แท้ และประชาธิปไตยในอุดมคติ โดย ปฐมาวดี วิเชียรนิตย์