กระทรวงหูกวาง สปีดปลดล็อกเมกะโปรเจ็กต์ รั้งคะแนนนิยมรัฐบาล!!

บทความเศรษฐกิจ

 

กระทรวงหูกวาง

สปีดปลดล็อกเมกะโปรเจ็กต์

รั้งคะแนนนิยมรัฐบาล!!

 

ประเมินคะแนนนิยมรัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯ หญิง “อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

หากไม่สามารถสะสางมหากาพย์ทุจริตของตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ถล่มลงช่วงแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ตลอดจนบริหารเศรษฐกิจโชว์สกิลเจรจาการค้ากับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ยังขับเคลื่อนไปได้

แน่นอนว่าความนิยมของนายกฯ อิ๊งค์มีโอกาสดำดิ่ง เพราะถือเป็น 2 โจทย์ร้อนทดสอบความสามารถผู้นำประเทศ

 

กระทรวงคมนาคมจึงเป็นมือไม้หลักที่ผลงานใช้เรียกคะแนนนิยมจากรัฐบาล

แม้เผชิญอุปสรรคหลายระลอกคลื่น แต่ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยังยืนกรานเสียงหนักแน่นว่าช่วงเวลาที่เหลืออีก 8 เดือนของปี 2568 นี้ ประชาชนคนไทยจะได้เห็น ‘ผลงานเป็นรูปธรรม’ ของคมนาคมที่รัฐบาลเคยหาเสียงไว้

หลัง 4 เดือนแรกของปีนี้ ต้องเรียกว่า “เกิดเหตุลบแต่กับคมนาคม”!!

ต้นปีเริ่มด้วยข่าวสลด เมื่อรถบัสโดยสารคณะศึกษาดูงานจากบึงกาฬ ประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำที่ “โค้งมรณะ” เขาศาลปู่โทน คร่าชีวิตไปถึง 17 ราย และบาดเจ็บอีกจำนวนมาก

ทำให้กระทรวงคมนาคม ‘ลงดาบ’ สั่งยกระดับมาตรการความปลอดภัยของการเดินรถโดยสารอย่างจริงจังสักที เพิ่มการจัดระเบียบพนักงานขับรถให้เข้มงวดขึ้น

ผลลัพธ์ที่ตามมาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาดูดีขึ้น มี ‘สัญญาณบวก’ เมื่อสถิติอุบัติเหตุของรถโดยสาร บ.ข.ส. เป็น “ศูนย์” ขณะที่รถร่วม เกิดอุบัติเหตุเพียง 3 ครั้ง ไม่มีผู้เสียชีวิต ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ

ด้านนโยบายเรือธงที่เป็น ‘จุดขาย’ ตั้งแต่ช่วงหาเสียง คือ โครงการ “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” รัฐมนตรีสุริยะยืนยันหนักแน่นว่า จะครอบคลุมรถไฟฟ้าทั้ง 8 สาย ภายในวันที่ 30 กันยายน 2568 นี้

ล่าสุด คมนาคมเตรียมเปิดขั้นตอนการลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่น “ทางรัฐ” เพื่อยืนยันสิทธิ์สำหรับผู้ถือบัตรประชาชนไทย 13 หลัก คาดว่าจะเริ่มให้ลงทะเบียนได้ตั้งแต่เดือนสิงหาคมนี้ พร้อมทั้งเตรียมพัฒนาระบบการชำระเงินในระยะที่ 2 ให้ทันสมัยยิ่งขึ้นด้วยการสแกน QR Code ภายในปี 2569

อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องงบประมาณชดเชยให้กับเอกชนผู้ประกอบการรถไฟฟ้า คาดว่าจะสูงถึง 8,000 ล้านบาทต่อปี ยังคงเป็นคำถามตัวโตๆ ที่หลายฝ่ายสงสัยว่าจะมีการบริหารจัดการอย่างไร

เบื้องต้น รัฐมนตรีสุริยะแจงว่าจะนำเงินจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หรือกองทุน การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) มาใช้ในการชดเชย ภายใต้การขับเคลื่อนร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมฯ

นอกจากนี้ ความคืบหน้าของการเก็บ ‘ค่าธรรมเนียมรถติด’ หรือ Congestion Charge ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการชดเชยรายได้ ก็ยังอยู่ในขั้นตอนของการจ้างที่ปรึกษาเพื่อพิจารณาเกณฑ์และเส้นทาง ซึ่งกระทรวงการคลังจะเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการเรียกเก็บโดยมีกระทรวงคมนาคมเป็นผู้ให้ข้อมูล

ถึงกระนั้น รัฐมนตรีสุริยะก็ยังคง “มั่นใจเกินร้อย” ว่านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย จะช่วยประหยัดค่าเดินทางของประชาชนได้สูงสุดกว่า 50% เมื่อเทียบกับอัตราเดิม ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า “ฝัน” นี้จะกลายเป็น “จริง” ได้ตามที่ประกาศไว้หรือไม่

 

ขณะที่การเดินทางทางน้ำ อีกหนึ่งทางเลือกที่สะดวกและรวดเร็ว ยังคงมีความกังวลเรื่องความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมของท่าเรือ

เรื่องนี้ ‘รัฐมนตรีช่วยหญิงแกร่ง นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม’ ที่กำกับดูแลกรมเจ้าท่า (จท.) ได้ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนในการพลิกโฉมท่าเรือแม่น้ำเจ้าพระยาสู่ “ท่าเรืออัจฉริยะ”

พร้อมเปิดตัว “ท่าเรืออัจฉริยะพระราม 7” ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ถือเป็น “ก้าวแรก” ที่น่าสนใจ ด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ที่ถูกนำมาติดตั้งเพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้โดยสาร ไม่ว่าจะเป็นระบบวัดอุณหภูมิ AI จดจำใบหน้า กล้องวงจรปิด ระบบแจ้งเตือนน้ำหนักโป๊ะ

ปัจจุบัน กรมเจ้าท่า (จท.) มีแผนพัฒนาท่าเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาถึง 29 แห่ง ดำเนินการแล้วเสร็จ 12 แห่ง และอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างอีก 2 แห่ง พร้อมทั้งเตรียมจัดสรรงบประมาณในปี 2568 และของบฯ ในปี 2569 สำหรับพัฒนาท่าเรือที่เหลือ

โดยการยกระดับท่าเรือทั้งหมดให้เป็น “ท่าเรืออัจฉริยะ” ตามเป้าหมาย ต้องอาศัยการลงทุนและบูรณาการจากหลายภาคส่วนอย่างจริงจัง

 

ในส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน ที่มีความล่าช้ามาอย่างยาวนาน ล่าสุดเผชิญความกังวลเรื่องความปลอดภัยภายหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว

ทาง วีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จึงได้ส่งทีมวิศวกรลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา (เฟส 1) อย่างละเอียด เพื่อสร้างความมั่นใจในมาตรฐานความปลอดภัย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากบริษัทไชน่า เรลเวย์ ผู้รับสัมปทานร่วมในการก่อสร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่พังถล่ม มีส่วนร่วมก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเฟส 1 ด้วย ทำให้หลายฝ่ายจับจ้องถึงมาตรฐานและความปลอดภัยของการก่อสร้างโครงการนี้เป็นพิเศษ

ต่อมา ในการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน (JC) ครั้งล่าสุด รัฐมนตรีสุริยะจึงตัดสินใจให้ฝ่ายไทยเป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้าง ออกแบบ และตรวจแบบเองทั้งหมด สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะที่ 2 (เฟส 2) ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย

พร้อมทั้งยืนยันว่าจะใช้วัสดุภายในประเทศเกือบ 100% และจะมีการตรวจสอบระบบอย่างเข้มงวด

การตัดสินใจครั้งนี้ ถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงความต้องการของฝ่ายไทยที่จะ “ควบคุม” คุณภาพและความปลอดภัยของโครงการด้วยตนเองอย่างเต็มที่

 

อีกหนึ่ง “มหากาพย์” โครงการก่อสร้างที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนมาอย่างยาวนาน นั่นคือ “ถนนพระราม 2” ที่มีการก่อสร้างทางด่วนที่ไม่แล้วเสร็จตามกรอบเวลา และเกิดอุบัติเหตุจากการก่อสร้างบ่อยครั้ง จนถูกขนานนามว่าเป็น “ถนนรถติด 7 ชั่วโคตร”

ล่าสุด เจอเหตุการณ์โครงสร้างที่อยู่ระหว่างก่อสร้างทรุดตัว บริเวณหน้าด่านดาวคะนอง ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

แต่ถึงกระนั้น รัฐมนตรีสุริยะก็ยังคงแสดงความมุ่งมั่นที่จะ “ปิดตำนาน” ถนนพระราม 2 ให้ได้ โดยความคืบหน้าของโครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ปัจจุบันมากกว่า 89% และเปิดใช้บางส่วนแล้วเมื่อต้นปี 2568 ที่ผ่านมา

ขณะที่โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 82 (บางขุนเทียน-บ้านแพ้ว) มีความคืบหน้าโดยรวมกว่า 80% และคาดว่าจะเปิดให้ประชาชนทดลองวิ่งได้ภายในปี 2568

ทั้งนี้ กรมทางหลวง และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ยืนยันว่าจะดำเนินการก่อสร้างตามมาตรการความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด และจะเร่งก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้ เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรของประชาชน

สแกนทุกภารกิจคมนาคม 2568 ที่ต้องเร่ง ‘ปลดล็อก’

ส่วนจะเป็นจริงกี่โครงการ เดี๋ยวรู้กัน!!