ในวิกฤตแห่งภัยพิบัติ มีโอกาสสันติภาพซ่อนอยู่ไหม?

สุทธิชัย หยุ่น

กาแฟดำ | สุทธิชัย หยุ่น

 

ในวิกฤตแห่งภัยพิบัติ

มีโอกาสสันติภาพซ่อนอยู่ไหม?

 

พอเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่พม่าเมื่อปลายเดือนมีนาคม หนึ่งในคำถามเกี่ยวกับอนาคตของสงครามในเพื่อนบ้านด้านตะวันตกของเราคือ

โศกนาฏกรรมครั้งประวัติศาสตร์เช่นนี้น่าจะทำให้ทุกฝ่ายในสงครามกลางเมืองที่ยาวนานมากว่า 4 ปีตระหนักถึงความจำเป็นที่จะ “พักรบ” เพื่อทุ่มสรรพกำลังของทุกฝ่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัยหรือไม่?

เพราะความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมย่อมต้องอยู่เหนือการเอาชนะกันด้วยอาวุธ

แต่มิน อ่อง ลาย ผู้นำทางทหารของเมียนมาก็ถูกประณามว่าแม้หลังเกิดแผ่นดินไหวแล้ว เครื่องบินกองทัพอากาศก็ยังบินไปทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายหลายๆ แห่งที่เป็นจุดเกิดภัยพิบัติอย่างไร้ความปรานี

(แม้หลังจากที่นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซีย และในฐานะประธานอาเซียนปีนี้ และคุณทักษิณ ชินวัตร ในฐานะประธานที่ปรึกษาประธานอาเซียน เชิญมิน อ่อง ลาย มาคุยที่กรุงเทพฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว ก็ยังมีการโจมตีกันต่อเนื่อง)

ดังนั้น ความหวังที่จะให้มีการหยุดยิงชั่วคราวเพื่อนำไปสู่การเจรจาที่อาจจะสร้างความไว้วางใจถึงจุดที่จะหยุดรบกันอย่างถาวรเพื่อบรรลุเป้าหมายสันติภาพจึงไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ

ประวัติศาสตร์บอกเราว่าในหลายๆ กรณีปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างรุนแรงก็สามารถนำไปสู่การสงบศึกอย่างถาวรได้…หากทุกฝ่ายมีความจริงใจ

เช่นกรณีสงครามสิ้นสุดหรือหยุดชะงักเพราะภัยธรรมชาติ

ย้อนกลับไปที่มีบันทึกเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ครั้งการรุกรานญี่ปุ่นครั้งที่สองของมองโกล (ค.ศ.1281)

เป็นเหตุการณ์ที่กองเรือมองโกลที่ส่งมาโดยกุบไลข่านถูกทำลายด้วยพายุไต้ฝุ่นขนาดใหญ่ (ต่อมาเรียกว่า “ลมศักดิ์สิทธิ์” หรือกามิกาเซ่) อย่างรุนแรง

ภัยพิบัติครั้งนั้นทำให้มองโกลไม่สามารถพิชิตญี่ปุ่นได้ ทำให้ความพยายามรุกรานครั้งนั้นต้องยุติลง

อีกกรณีหนึ่งคือสงครามฝรั่งเศส-ดัตช์ (ค.ศ.1672-1678)

ในเหตุการณ์นี้ดัตช์ประสบความสำเร็จในการใช้อุทกภัย (เปิดเขื่อนกั้นน้ำเพื่อสร้างแนวน้ำดัตช์) เพื่อหยุดยั้งการรุกรานของฝรั่งเศส

ซึ่งส่งผลให้มีการลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพในที่สุด

ในการปฏิวัติเฮติ (ค.ศ.1791-1804) นั้นเกิดการระบาดของไข้เหลืองครั้งใหญ่

มีผลให้กองกำลังฝรั่งเศสภายใต้การนำของจักรพรรดินโปเลียนได้รับความเสียหาย ทหารฝรั่งเศสถอนทัพและเฮติได้รับเอกราช

สงครามปลดปล่อยบังกลาเทศ (ค.ศ.1971) เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งในเรื่องนี้

พายุไซโคลนโบลาที่รุนแรงในปี ค.ศ.1970 คร่าชีวิตผู้คนไปมากถึง 500,000 คน

รัฐบาลปากีสถานบริหารวิกฤตครั้งนั้นอย่างน่าตำหนิ ทำให้เกิดความโกรธแค้นในปากีสถานตะวันออก (ปัจจุบันคือบังกลาเทศ)

เป็นเหตุเร่งให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราช และนำไปสู่สงครามที่แม้จะสั้นแต่ก็ดุเดือด จบลงด้วยการแยกตัวประกาศเอกราชของบังกลาเทศ

แต่ในหลายกรณี ภัยพิบัติก็อาจมีผลทางตรงกันข้าม นั่นคือทำให้ความไม่มั่นคงรุนแรงขึ้นเพราะขาดแคลนทรัพยากรและความวุ่นวายในการช่วยอพยพผู้ประสบภัย

ประสบการณ์ในอดีตชี้ว่าภัยพิบัติจะนำมาซึ่งสันติภาพหรือไม่นั้นท้ายที่สุดก็ขึ้นอยู่กับเจตจำนงทางการเมืองของฝ่ายที่ขัดแย้งกัน

ทั้งสองฝ่ายพร้อมจะแสดงความมีมนุษยธรรมพอที่จะหันไปร่วมมือแทนที่จะใช้วิกฤตเพื่อผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ทางการสู้รบของตนหรือไม่

ที่ผมยังจำได้ชัดๆ คือตัวอย่างสมัยใหม่ เช่น สึนามิในมหาสมุทรอินเดียเมื่อปี 2004

เหตุการณ์นั้นมีผลทำให้ความขัดแย้งในอาเจะห์ อินโดนีเซีย บรรเทาลงชั่วคราว

ตอกย้ำว่าภัยพิบัติมีส่วนทำให้คู่กรณีตระหนักในความสำคัญของการยุติการสู้รบ หันไปสู่การเจรจาจนสงบศึกได้

แต่ก็ไม่แน่เสมอไป

ในกรณีอื่นๆ เช่น สงครามกลางเมืองซีเรีย ภัยแล้งและภัยธรรมชาติทำให้ความตึงเครียดเลวร้ายลงแทนที่จะช่วยคลี่คลาย

 

แผ่นดินไหวรุนแรงที่ถล่มเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคมปีนี้ สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ยกระดับความทุกข์ทรมานของคนพม่าอย่างหนักหน่วงยิ่ง

ภัยธรรมชาตินี้อาจเป็นตัวเร่งให้เกิดการหยุดยิงระหว่างคณะทหารและกลุ่มต่อต้านติดอาวุธ

มีการตั้งความหวังว่าโศกนาฏกรรมระดับนี้น่าจะปูทางไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน

พอเกิดเหตุแผ่นดินไหว กองกำลังพันธมิตรสามพี่น้อง ซึ่งประกอบด้วยกองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมากองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอาง และกองทัพอาระกัน ได้ประกาศหยุดยิงฝ่ายเดียวเป็นเวลา 1 เดือน

เพื่ออำนวยความสะดวกในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

โดยกองกำลังของพันธมิตรฝ่ายเหนือกลุ่มนี้นี้ให้คำมั่นว่าจะงดเว้นปฏิบัติการรุก ยกเว้นเพื่อป้องกันตนเอง

โดยเน้นย้ำถึงความเร่งด่วนในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่มีประสิทธิภาพแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

แต่ในทางกลับกัน คณะทหารของมิน อ่อง ลาย ถูกวิพากษ์หนักว่าได้ขัดขวางการส่งความช่วยเหลือไปยังผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว

และก็ยังไม่ลดละที่จะโจมตีทางอากาศในพื้นที่ขัดแย้ง

กองทัพถูกกล่าวหาว่าได้ยึดความช่วยเหลือที่จะส่งไปยังผู้ประสบภัยในหลายๆ ภูมิภาค

เพราะหวั่นเกรงกันว่าความช่วยเหลือจะถูกระงับจากพื้นที่ที่กลุ่มกบฏยึดครอง

ที่เกิดความระแวงเช่นนี้เพราะกองทัพพม่าเคยมีประวัติในทางลบเรื่องนี้

เพราะการตอบสนองต่อพายุไซโคลนนาร์กิสในปี 2008 ซึ่งคณะทหารไม่เต็มใจที่จะอำนวยความสะดวกในการช่วยเหลือ

 

แต่เหตุการณ์สึนามิในมหาสมุทรอินเดียเมื่อปี 2004 ซึ่งสร้างความเสียหายต่อจังหวัดอาเจะห์ของอินโดนีเซียอย่างหนักกลายเป็นตัวอย่างที่ดีว่าภัยธรรมชาติสามารถส่งผลต่อความขัดแย้ง

เพราะก่อนเกิดสึนามิ อาเจะห์เป็นเหตุความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลอินโดนีเซียและขบวนการเสรีอาเจะห์ (GAM) ยาวนานต่อเนื่องนานถึง 30 ปี

ภัยพิบัติครั้งใหญ่ทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องทบทวนจุดยืนของตนใหม่

ท้ายที่สุดก็นำไปสู่การลงนามในข้อตกลงสันติภาพที่เฮลซิงกิในเดือนสิงหาคม 2005

ภายใต้ข้อตกลงนี้ ขบวนการเสรีอาเจะห์ตกลงที่จะปลดอาวุธและยกเลิกข้อเรียกร้องเอกราชอย่างสมบูรณ์

ขณะที่รัฐบาลอินโดนีเซียให้สิทธิปกครองตนเองมากขึ้นแก่จังหวัดอาเจะห์ และอำนวยความสะดวกในการมีตัวแทนทางการเมืองสำหรับอดีตกลุ่มกบฏ

ตัวอย่างอาเจะห์จะนำมาใช้ในเมียนมาได้ไหม?

 

หากวาดฉากทัศน์ที่น่าจะเป็น (ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยอมรับ แต่ก็ไม่เสียหายที่จะลอง) ก็อาจจะเป็นในแนวนี้

เริ่มต้นด้วยการการหยุดยิงร่วมกัน

การหยุดยิงโดยอาศัยการหยุดยิงฝ่ายเดียวที่ประกาศโดยกลุ่มพันธมิตรสามภราดรภาพ หากตามมาด้วยการหยุดยิงของคณะทหารที่จริงใจก็อาจปูทางสู่บรรยากาศที่เอื้อต่อความพยายามด้านมนุษยธรรมและการสร้างความไว้วางใจต่อกันและกัน

จากนั้นก็ก้าวสู่การสนทนาแบบครอบคลุมที่ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมาร่วมโต๊ะพูดคุย

จากนั้นก็อาจจะนำไปสู่การไกล่เกลี่ยและการสนับสนุนระหว่างประเทศ

ซึ่งก็อาจจะหมายรวมถึงการเชิญชวน “คนกลาง” เพื่อ “อำนวยความสะดวก” ในการเจรจา

โดยใช้แบบจำลองที่ประสบความสำเร็จมาก่อนหน้านี้ เช่น การเจรจาที่ฟินแลนด์เป็นตัวกลางในอาเจะห์

หลักสำคัญที่ทุกฝ่ายน่าจะรับได้คือการยืนยันหลักการด้านมนุษยธรรม

เพื่อรับรองการเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างไม่มีอุปสรรคสำหรับประชาชนชาวพม่าที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด โดยไม่คำนึงถึงว่าฝ่ายไหนสามารถควบคุมดินแดนส่วนไหนของประเทศ

แนวทางเช่นนี้หลายฝ่ายอาจจะบอกว่าเป็นภาพ “โลกสวย” ที่เป็นไปได้ยาก

แต่ในวิกฤตที่หนักหน่วงรุนแรงสำหรับพม่าอย่างนี้ ไม่มีอะไรเลวร้ายกว่าการไม่พยายามจะแสวงหาสูตรที่จะเปิดทางให้พักรบเพื่อนำไปสู่การเจรจาหาทางสู่สันติภาพอย่างถาวร

ไม่ว่าเส้นทางนั้นจะดูขรุขระ เต็มไปด้วยหลุมบ่อและทุ่นระเบิดที่พร้อมจะทำลายความหวังดีทั้งหลายทั้งปวงได้ต่อหน้าต่อตา

แต่ตราบที่มนุษย์ยังมีลมหายใจ ย่อมจะสิ้นหวังไม่ได้

ประวัติศาสตร์มีไว้เรียนรู้และสร้างอนาคตที่เรืองรองได้เสมอ