ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ |
ผู้เขียน | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ |
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
จิบชาที่ไต้หวัน
: ดูเทคโนโลยีจับมือประชาชน
สร้างภูมิคุ้มกันให้สังคม
ในโลกที่หมุนเร็วเกินไป ไทเปมีจังหวะลมหายใจอีกแบบ-ที่ซ่อนอยู่ในบ้านไม้เก่าแสนสงบกลางเมือง บริเวณสวนหลังร้านน้ำชาที่แทรกตัวอยู่ตามตรอกเล็กๆ คุณจะพบโต๊ะเตี้ย เตาไฟร้อนๆ เสียงพิณจีนโบราณคลอเบาๆ และแมวตัวหนึ่งที่ขดตัวหลับบนหมอน ข้างหน้าคุณคือกาน้ำชาดินเผาและถ้วยเล็กๆ ที่รินชาอู่หลงร้อนๆ ทีละหยด ไม่เร่งรีบ ไม่ว้าวุ่น
วัฒนธรรมการดื่มชาแบบ “กงฟูฉา” ของไต้หวันไม่ใช่แค่เรื่องรสชาติ แต่มันคือบทสนทนากับเวลา บทเรียนของความนิ่งท่ามกลางความวุ่นวาย-ความเป็นไต้หวันที่ทั้งอ่อนโยน ละเอียดอ่อน และไม่เหมือนใคร
แต่โลกข้างนอกหมุนเร็วจนเกินไป โลกที่ถูกท้าทายจากทั้งภัยธรรมชาติ ข้อมูลเท็จเต็มโซเชียล และความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ความเข้มแข็งของประเทศไม่ได้วัดจากขนาดทางภูมิศาสตร์หรือเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
หากแต่วัดจาก “ความยืดหยุ่นของสังคม” (social resilience) และความสามารถในการสร้างสรรค์ระบบที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
ผมได้มีโอกาสเยือนไต้หวันในช่วงต้นปีนี้ เพื่อเข้าร่วมเวที Yushan Forum : Asian Dialogue for Innovation and Progress ซึ่งรวมผู้นำด้านความคิด นวัตกรรม และนโยบายสาธารณะจากทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เวทีนี้เน้นย้ำจุดแข็งของไต้หวันในด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน การส่งเสริมนวัตกรรมเพื่อสังคม และความร่วมมือระหว่างประเทศในลักษณะประชาชนสู่ประชาชน (people-to-people connectivity) ซึ่งนับวันจะมีความสำคัญมากขึ้น
Audrey Tang
: เมื่อเทคโนโลยีคือสะพาน ไม่ใช่กำแพง
หนึ่งในประสบการณ์ที่น่าจดจำที่สุดคือการพบกับ Audrey Tang รัฐมนตรีดิจิทัลของไต้หวัน บุคคลผู้มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนภาพของรัฐบาลให้เป็น “แพลตฟอร์มที่เปิดรับความคิดของประชาชน” มากกว่าจะเป็น “หอคอยปิดทองคำอำนาจ” ดังเช่นที่เราเห็นกันทั่วไปในโลก
Audrey Tang เป็นนักพัฒนาโอเพ่นซอร์ส ผู้มีประวัติการเขียนโค้ดมาตั้งแต่อายุ 8 ขวบ และเคยร่วมพัฒนาระบบของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Apple ก่อนจะเข้าสู่ภาครัฐในฐานะ “รัฐมนตรีที่ไม่สังกัดพรรค” ที่ได้รับการแต่งตั้งตั้งแต่อายุ 35 ปี ซึ่งถือว่าอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ไต้หวัน
สิ่งที่ Audrey ทำไม่ใช่แค่การนำเทคโนโลยีมาพัฒนาแอพพ์รัฐบาล แต่คือการปฏิรูปรูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการออกนโยบาย
ยกตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์ม vTaiwan ซึ่งเปิดให้ประชาชนทุกคนเสนอแนวคิด ปรับปรุงร่างกฎหมาย และอภิปรายเชิงนโยบายร่วมกับภาครัฐ โดยใช้ระบบ AI อย่าง Pol.is ที่สามารถจัดกลุ่มความคิดเห็นเพื่อหาจุดร่วมของสังคม แทนที่จะเป็นการโต้เถียงแบบขั้วตรงข้าม
ผลลัพธ์ที่ชัดเจนคือ กฎหมายเกี่ยวกับแพลตฟอร์มรถโดยสาร (เช่น Uber) ซึ่งเคยเป็นข้อขัดแย้งใหญ่ในไต้หวัน ก็สามารถผ่านความเห็นชอบได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน โดยมีความเข้าใจจากทุกฝ่าย-แท็กซี่ดั้งเดิม ภาคธุรกิจใหม่ และผู้บริโภค-โดยแทบไม่มีความขัดแย้งบนท้องถนนเลย
ในช่วงการระบาดของโควิด-19 Audrey ยังมีบทบาทในการออกแบบระบบติดตามและแจ้งเตือนผ่านมือถือที่เรียกว่า Digital Fence ซึ่งสามารถช่วยควบคุมการระบาดโดยไม่กระทบสิทธิส่วนบุคคล
พร้อมทั้งพัฒนา แผนที่หน้ากากแบบเรียลไทม์ (real-time mask availability map) ที่อาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและนักพัฒนาเอกชน ทำให้ประชาชนสามารถรู้ได้ทันทีว่าร้านไหนมีหน้ากากเหลืออยู่
ทั้งหมดนี้อยู่บนหลักการของ “เทคโนโลยีเพื่อความเท่าเทียม”
แนวคิดสำคัญของเธอคือ “radical transparency” หรือความโปร่งใสอย่างสุดขีด ที่ไม่ใช่แค่เปิดเผยข้อมูล แต่เปิดพื้นที่ให้ประชาชนกำหนดทิศทางประเทศร่วมกับรัฐอย่างต่อเนื่อง
จากภัยธรรมชาติ
สู่ความยืดหยุ่นของสังคม
ไต้หวันตั้งอยู่บนวงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) ซึ่งเป็นเขตแผ่นดินไหวที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่กลับสามารถลดผลกระทบจากภัยพิบัติได้อย่างน่าทึ่ง
ตัวอย่างล่าสุดคือเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.4 ที่เมืองฮวาเหลียนเมื่อเมษายน 2024 แม้จะเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 25 ปี แต่การเตรียมการทั้งในระดับโครงสร้างพื้นฐาน กฎหมายการก่อสร้าง และระบบเตือนภัยผ่านมือถือ ทำให้มีผู้เสียชีวิตเพียง 17 ราย
ทั้งที่แผ่นดินไหวในขนาดเดียวกันอาจสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงในที่อื่น
กรณีนี้บ่งชี้ถึง “resilience engineering” ที่ไต้หวันยึดถือ-การออกแบบระบบที่ไม่ใช่แค่ป้องกัน แต่สามารถปรับตัวและฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
ชิพ เกษตร และเศรษฐกิจแห่งอนาคต
เมื่อพูดถึงไต้หวัน หลายคนอาจนึกถึงอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นหัวใจของเทคโนโลยีโลก TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company) ผลิตชิพระดับ 2 นาโนเมตรซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดในปี 2025 นี้ แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่า คือการนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้กับภาคเกษตร
ด้วยระบบเซ็นเซอร์ระดับนาโนและการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง ไต้หวันกำลังพัฒนา agritech ที่ตรวจจับความชื้นในดิน โรคพืช และสารอาหารในแบบเรียลไทม์
ซึ่งนับเป็นโอกาสที่น่าศึกษาสำหรับประเทศไทย
โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประสบปัญหา PM 2.5 และการใช้ทรัพยากรเกษตรอย่างสิ้นเปลือง
ความสัมพันธ์
ระหว่างประชาชนต่อประชาชน
: พลังที่มองไม่เห็นในภูมิรัฐศาสตร์
ปัจจุบันมีแรงงานไทยในไต้หวันมากกว่า 60,000 คน ซึ่งทำงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการ หลายคนส่งเงินกลับบ้าน สร้างเศรษฐกิจท้องถิ่น และทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมวัฒนธรรมโดยไม่รู้ตัว
ขณะเดียวกัน นักศึกษาไทยที่ไปศึกษาต่อในไต้หวันก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับทุนวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม และสิ่งแวดล้อม
ในทางเศรษฐกิจ การค้าระหว่างไทยกับไต้หวันมีมูลค่ารวมกว่า 16.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2023 และการลงทุนโดยตรงจากไต้หวันเพิ่มขึ้นถึง 119.8% ซึ่งแสดงถึงศักยภาพในการขยายความร่วมมือระยะยาว
แม้ในเวทีระหว่างประเทศจะมีความละเอียดอ่อนในเชิงการทูต แต่สิ่งที่ไม่ควรถูกละเลยคือ “พลังของประชาชน” ที่เชื่อมโยงระหว่างไทยกับไต้หวันอย่างลึกซึ้ง และสมควรถูกส่งเสริมในลักษณะที่ให้เกียรติทุกฝ่าย
ไต้หวันไม่ได้สอนเราว่าจะต้องยิ่งใหญ่แค่ไหนถึงจะเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีหรือนวัตกรรม
แต่สอนเราว่า “ประชาชน” ต่างหากคือทรัพยากรที่สำคัญที่สุด เมื่อมีพื้นที่ มีส่วนร่วม และมีระบบที่เปิดกว้าง พวกเขาสามารถร่วมกันสร้างสังคมที่แข็งแรงกว่าอำนาจใดๆ
ปิดท้ายทริปด้วยของแถมที่น่าประทับใจ-ผมมีโอกาสได้พบกับคุณ Anders Fogh Rasmussen อดีตนายกรัฐมนตรีของเดนมาร์ก และอดีตเลขาธิการ NATO ผู้ก่อตั้ง Copenhagen Democracy Summit ที่จัดเป็นประจำทุกปี
และปีนี้ผมได้รับเชิญไปร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับอนาคตของประชาธิปไตยร่วมกับผู้นำจากทั่วโลกอีกครั้ง
ผมกลับมาอยู่ไทย ไปลำพูนช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ใช้เวลากับครอบครัวและลูกสาวอย่างเต็มที่
ก่อนจะเดินทางต่อไปยังโคเปนเฮเกน จากนั้นจาการ์ตา โซล ลอนดอน และกลับไปยังบอสตันในช่วงกลางปี
พบกันที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ครับ-ขอให้ปีใหม่ไทยเป็นปีแห่งความหวังและการเปลี่ยนแปลงที่งดงามสำหรับทุกคน
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022