ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2568 |
---|---|
ผู้เขียน | ธงชัย วินิจจะกูล |
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ | ธงชัย วินิจจะกูล
ผิดฝาผิดตัวคนละเรื่องเดียวกัน
ไม่นานมานี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความแสดงความโกรธเกรี้ยวไม่พอใจต่อการที่ศาลหลายระดับในอเมริกาออกคำสั่งระงับยับยั้งคำสั่งประธานาธิบดีกรณีต่างๆ ซึ่งทำให้รัฐบาลไม่สามารถเดินหน้าตามนโยบายที่เขาต้องการได้
เขากล่าวหาว่าศาลเป็นส่วนหนึ่งของกลไกของ “รัฐพันลึก” (Deep State)
และเขากล่าวด้วยว่าเขากำลังเผชิญกับ “นิติสงคราม” (Lawfare) ซึ่งหมายถึงการที่รัฐพันลึกใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมขัดขวางเขาและรัฐบาล
หันกลับมาดูประเทศไทย คงพอจำกันได้ว่า ในระยะไม่กี่ปีมานี้อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล และนักวิชาการกับนักเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายคน ก็ออกมากล่าวถึงความพยายามของ “รัฐพันลึก” ในประเทศไทยที่ขัดขวางประชาธิปไตยและการเปลี่ยนแปลง ด้วยวิธีการต่างๆ รวมถึงการใช้ “นิติสงคราม” อย่างอยุติธรรม
“รัฐพันลึก” และ “นิติสงคราม” ที่ทั้งทรัมป์และปิยบุตรพูดถึงด้วยคำเดียวกัน (ในคนละภาษา) หมายถึงสิ่งเดียวกันหรือไม่?
ฝ่ายขวาจัดของอเมริกาเชื่อว่าฝ่ายเสรีนิยมเป็นพวกสังคมนิยมซ้ายจัด และเชื่อว่าพวกซ้ายเข้าครอบงำสถาบันทางการเมืองสังคมและระบบกลไกรัฐต่างๆ ทั้งภาครัฐภาคเอกชน ทั้งระบบราชการ บรรษัทธุรกิจต่างๆ สื่อมวลชนหลักๆ แทบทุกแห่ง รวมถึงกระบวนการยุติธรรมด้วย ล้วนอยู่ในมือของฝ่ายเสรีนิยมซ้ายจัด จนมีสถานะเป็นอำนาจลงหลักปักฐาน (establishment) ซึ่งพวกขวาจัดเรียกว่า รัฐพันลึก หรือ Deep State
คำเดียวกันนี้ยังถูกใช้แพร่หลายในโลกตะวันตกโดยเฉพาะฝ่ายขวาจัดในยุโรปอีกด้วย เพราะพวกเขาต่อต้านอำนาจลงหลักปักฐาน (establishment) แบบเสรีประชาธิปไตยของยุโรปตะวันตกเช่นกัน
เพราะในทัศนะฝ่ายขวาจัดเห็นว่าอำนาจหลักเป็นซ้ายสังคมนิยมเกินไปเมื่อเทียบกับนโยบาย แนวคิด และโครงการของฝ่ายขวาจัดที่มุ่งเปลี่ยนแปลงผลักดันสังคมแบบเสรีนิยมประชาธิปไตยให้ไปทางขวาแบบฟาสซิสต์อำนาจนิยมกว่าที่เป็นอยู่
พวกขวาอเมริกันเห็นว่าพวกเดโมแครตและเสรีนิยมเป็นฝ่ายซ้ายเป็นสังคมนิยม
ทั้งๆ ที่เสรีนิยมในอเมริกาหากจับลงไปวางอยู่ในระบบการเมืองของประเทศในยุโรปตะวันตก อย่างมากพวกเขาก็เป็นแค่กลางซ้ายเท่านั้น เพราะไม่ซ้ายเท่าพรรคแรงงานของอังกฤษหรือพรรคสังคมประชาธิปไตยของเยอรมันด้วยซ้ำไป
ไม่ใกล้เคียงกับพรรคคอมมิวนิสต์หรือพรรคสังคมนิยมของหลายประเทศในยุโรปแต่อย่างใด
คนอย่างปิยบุตร แสงกนกกุล นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ปัญญาชนปีกซ้ายของสังคมไทยส่วนใหญ่ มีแนวคิดตรงข้ามกับฝ่ายขวาจัดไม่ว่าแบบทรัมป์หรือในยุโรป
แต่ทว่าอำนาจลงหลักปักฐาน (establishment) หรือสถาบันทางการเมืองและสังคมหลักๆ ในสังคมไทยนั้น มิใช่เป็นเสรีนิยมหรือประชาธิปไตย แต่เป็นอนุรักษนิยมหัวเก่า เพราะเป็นมรดกตกทอดจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และระบอบอภิสิทธิ์ชนแบบศักดินา (รวมถึงกองทัพและระบบศาลยุติธรรมด้วย)
จะเรียกว่า “รัฐพันลึก” ของไทยคือฝ่ายขวาจนถึงขวาจัดก็ไม่ผิด
นิติสงครามที่ทรัมป์โจมตีจึงหมายถึงระบบกระบวนการยุติธรรมที่อยู่บนพื้นฐานของระบอบกฎหมายเป็นใหญ่ (Rule of Law)
ในขณะที่นิติสงครามที่ปิยบุตรพูดถึงนั้นหมายถึงกระบวนการยุติธรรมที่อยู่บนพื้นฐานของนิติศาสตร์แบบไทยๆ ที่ให้อภิสิทธิ์แก่รัฐเพื่อความมั่นคงของอำนาจอภิสิทธิ์ด้วยการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน
[การระบุว่าใครเป็นซ้าย กลางซ้าย กลาง กลางขวา ขวา ส่วนใหญ่จะสัมพัทธ์ (relative) กับบริบทของแต่ละสังคม ณ ช่วงเวลาหนึ่งๆ แถมเมื่อทาบกับบริบทระดับโลกยังอาจจะต่างออกไปอีกด้วย เช่น อภิสิทธิ์ชนไทยอาจถือว่าพรรคประชาชนซ้ายมากทั้งๆ ที่แนวคิดนโยบายของพรรคนี้ไม่เกินไปกว่ากลางซ้ายของโลกตะวันตกเลย อภิสิทธิ์ชนไทยมองจากจุดยืนที่ขวามากจึงเห็นว่าพวกเขาซ้ายมากไปเอง]
ยังมีกรณีใหญ่เล็กอีกมากที่เปรียบเทียบแล้วดูเหมือนจะคล้ายกัน แต่อันที่จริงอาจจะตรงกันข้ามกันเลยก็เป็นได้
พรรครีพับลิกันของสหรัฐอเมริกาต้องการลดทอนอำนาจของรัฐบาลกลางของประเทศ เพราะเห็นว่าเข้ามายุ่งย่ามบงการชีวิตและการตัดสินใจของแต่ละมลรัฐมากเกินไป
พวกเขาต้องการลดทอนอำนาจของรัฐบาลในแต่ละมลรัฐซึ่งเขาเห็นว่าเข้ามายุ่งย่ามกับตลาดเสรีและการใช้ชีวิตของปัจเจกบุคคลมากเกินไป แทนที่จะให้ผู้คนดูแลตัวเอง
ในขณะที่ฝ่ายเสรีนิยมของอเมริกาซึ่งมีพรรคเดโมแครตเป็นตัวแทน กลับเห็นว่าบทบาทของรัฐบาลกลางและรัฐบาลระดับมลรัฐจำเป็นต้องกำกับควบคุมดูแลการแข่งขันในตลาดให้เป็นธรรม
ต้องอำนวยให้มีสวัสดิการและหลักประกันพื้นฐาน (safety net) ของชีวิตพลเมืองโดยเฉพาะของคนผู้อ่อนแอหรือเสียเปรียบ
ที่สำคัญได้แก่ การศึกษา การสาธารณสุข และระบบเงินสวัสดิการ กิจการเหล่านี้ต้องใช้งบประมาณ บุคลากร และระบบที่ไม่แสวงกำไรแต่มีค่าใช้จ่ายมากพอควร
หันกลับมาดูในประเทศไทย เราก็พบความคิดและข้อเรียกร้องที่ให้ลดขนาดและลดอำนาจของรัฐราชการไทย หากดูอย่างผิวเผินก็อาจจะนึกว่าคล้ายพวกรีพับลิกันของสหรัฐอเมริกา
แต่ในประเทศไทยความคิดและข้อเรียกร้องแบบนี้กลับไม่ได้มาจากปีกขวาของสังคมไทย เพราะรัฐราชการที่ใหญ่โตเทอะทะของไทยนั้น มิได้มีไว้เพื่อส่งเสริมการศึกษา สาธารณสุข หรือสวัสดิการของประชาชน แต่มีไว้เป็นกลไกสนับสนุนอภิสิทธิ์ชน และเป็นกองกำลังถาวรค้ำจุนอำนาจของชนชั้นอภิสิทธิ์ที่ไม่ต้องการประชาธิปไตย
กองทัพจึงใหญ่โตเกินจำเป็นทั้งๆ ที่แทบไม่เคยรบกับศัตรูเพราะมีไว้ขู่บังคับกำราบประชาชนที่ไม่ยอมศิโรราบ
ทั้งรัฐและฝ่ายที่ต้องการให้รัฐเล็กลงและจำกัดอำนาจลงในโลกตะวันตกและในไทย ล้วนมีคุณสมบัติแทบตรงกันข้าม จุดยืนตรงข้ามกันลิบลับ
ในสังคมไทยเอง ก็มีกรณีที่เกิดการเปรียบเทียบอย่างผิดฝาผิดตัวให้เห็นมากมาย
ตัวอย่างที่รู้จักกันดี เช่น การเปรียบนิ้วมือที่ไม่เท่ากันกับความเป็นมนุษย์ที่ไม่มีทางเท่ากัน การเปรียบเช่นนี้บอกถึงความสามารถในการใช้ปัญญาของผู้เทียบเองและคนที่เชื่อว่าตื้นเขินเพียงใด แต่ไม่ช่วยอธิบายว่าคนไม่เท่ากันแต่อย่างใด
ตัวอย่างที่ยากขึ้นหน่อย เช่น การเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือปล่อยนักโทษการเมือง มักจะมีเสียงตอบโต้จากนักแบกฝ่ายรัฐบาลจำนวนหนึ่งว่า ทำไมคนทำผิดกฎหมายถึงควรได้รับอภิสิทธิ์พิเศษ ไหนว่าต่อต้านอภิสิทธิ์ชนไม่ใช่หรือ ไหนว่าเรียกร้องให้กฎหมายเป็นใหญ่ไม่ใช่หรือ แต่ทำไมในกรณีนี้กลับเรียกร้องให้ไม่เคารพกฎหมาย?
ความผิดฝาผิดตัวอยู่ตรงที่ว่า คนพวกหนึ่งใช้ตุลาการวิบัติเพื่อคุ้มครองอำนาจของอภิสิทธิ์ชน โดยลดทอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน
การกระทำเช่นนี้ขัดอย่างสิ้นเชิงกับหลักการพื้นฐานของ Rule of Law เป็นการทำลายระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่พึงจะเป็น
คนที่บอกให้เรายอมสยบอยู่ใต้การใช้กฎหมายเพื่อทำลายความยุติธรรมเช่นนี้จึงเท่ากับสนับสนุนการละเมิดหลักการของ Rule of Law และให้คงตุลาการวิบัติต่อไป
แต่การปล่อยนักโทษการเมืองที่ต่อสู้กับความอยุติธรรมของตุลาการวิบัติ จึงมิใช่การทำให้พวกเขากลายเป็นอภิสิทธิ์ชนแต่เป็นการปลดปล่อยเหยื่อของระบบกฎหมายที่อยุติธรรม ล้มล้างผลพวงของการรัฐประหาร ปรับผิดให้เป็นถูก
การปล่อยนักโทษการเมืองช่างตรงกันข้ามกับการใช้เส้นสายดีลกันในหมู่อภิสิทธิ์ชน เพื่อให้บางคนได้รับอภิสิทธิ์จากระบบกฎหมายยิ่งขึ้นไปอีก
ทั้งๆ ที่ดีลแบบนั้นมีผลทำร้ายระบอบประชาธิปไตยและทำลายโอกาสของประเทศอย่างมาก
แถมทำให้ละเลยนักโทษการเมืองและเหยื่ออื่นๆ ของตุลาการวิบัตินานขึ้นไปอีก
อาจมีข้อแย้งว่าใครจะเห็นว่ากฎหมายปัจจุบันยุติธรรมหรือไม่ ใครเป็นเหยื่อหรือเป็นผู้ละเมิดกฎหมาย ใครกันแน่ได้รับข้อยกเว้น เหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกัน
แต่ความต่างที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การเรียกร้องให้ปลดปล่อยนักโทษการเมืองและแก้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมต่างๆ รวมถึงการล้างผลพวงของการรัฐประหารและผลักดันให้ระบบกฎหมายของไทยเข้ารูปเข้ารอยนั้น ไม่เคยเรียกร้องให้กระทำโดยดีลลับระหว่างคนมีอำนาจไม่กี่คน แต่ให้กระทำการอย่างเปิดเผย สาธารณะ ผ่านกระบวนการรัฐสภาตามที่ควรจะเป็น
ในขณะที่การใช้กฎหมายย่ำยีข่มเหงประชาชนมักอ้างความมั่นคง เพื่อยกเว้นไม่ต้องทำตามหลักของกฎหมายปกติ กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงรวมทั้ง 112 ด้วยล้วนทำเช่นนี้ทั้งนั้น
ดีลลับเพื่อให้อภิสิทธิ์แก่บางคนทำกันลับหลัง อาศัยการลวงโลกซ้ำแล้วซ้ำเล่าแม้กระทั่งต้องแสดงจำอวดป่วยเจียนตายเหล่านี้เป็นวิธีการค้ำจุนอภิสิทธิ์ทางกฎหมาย
ยังมีอีกหลายกรณีที่ “ทำตามกฎหมาย” เพื่อสร้างอภิสิทธิ์ ทำทุจริต หรือเพื่อลอยนวลพ้นผิด เหล่านี้ไม่ใช่การเคารพกฎหมายและไม่ใช่เพื่อความยุติธรรม
อย่าสักแต่เทียบอย่างผิดฝาผิดตัว
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022