โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศสงคราม กับระบบทุนนิยมโลก?

ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ

ตุลวิภาคพจนกิจ | ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ

 

โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศสงคราม

กับระบบทุนนิยมโลก?

 

อาทิตย์นี้ผมมีคำถามในพฤติกรรมของรัฐบาลอเมริกันภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับพรรคพวก “MAGA” -ของเขาว่าเราจะทำความเข้าใจในปฏิบัติการทางการเมืองและบัดนี้ขยายไปสู่การเมืองระหว่างประเทศ และสุดท้ายในสิ่งที่สื่อมวลชนเรียกว่า “สงครามการค้า” อย่างไร

ความจริงถ้าไม่คิดมาก เราพอหาคำตอบและคำอธิบายได้จากนักวิเคราะห์การเมืองทั้งในและนอกประเทศไม่น้อย ว่าที่ทรัมป์ทำอะไรไปอย่างแปลกประหลาดพิสดารกว่าประธานาธิบดีและผู้นำรัฐบาลทั้งโลกเพราะเขาเป็นคนหลงตัวเอง

เป็นพ่อค้านักเลงแบบหัวหน้ามาเฟีย ชอบและถนัดใน “ศิลปะของการต่อรอง”

เป็นนักแสดงรายการทีวี และ ฯลฯ

แต่ทั้งหมดเป็นบุคลิกและอุปนิสัยสันดานรวมถึงสติปัญญาของเขา

ซึ่งไม่อาจใช้อธิบายถึงการตัดสินใจทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวในครอบครัว หากแต่นี่เป็นกิจการของบ้านเมืองและสังคมทั้งหมด ยังไม่ต้องพูดถึงว่ารวมถึงประเทศทั้งโลกด้วย

อีกประการหนึ่ง ลักษณะส่วนตัวทั้งหลายทรัมป์มีอยู่นานแล้วแต่ก็ไม่เคยถูกนำออกมาใช้ในลักษณะที่เขากำลังทำอยู่ขณะนี้ แสดงว่าต้องมีปัจจัยอื่นนอกเหนือจากคุณลักษณะนิสัยใจคออันเป็นตัวตนของเขาเอง

ผมจึงหันไปหาเครื่องมือวิเคราะห์ทางสังคม

อันแรกอยู่ในสำนักโครงสร้างหน้าที่ทางสังคม ซึ่งมีสาขาแยกย่อยไปมากมาย

สำนักที่ผมคุ้นและชอบพอมากหน่อยเรียกว่าสำนักประวัติศาสตร์วัตถุนิยม ซึ่งสรุปสั้นๆ ได้ว่าพฤติกรรมของคนมีอิทธิพลจากโครงสร้างสังคมที่เขาอยู่และดำรงชีวิต

โครงสร้างสังคมที่สำคัญคือความสัมพันธ์ทางการผลิต ดูว่าเขาอยู่อย่างไรกับปัจจัยในการผลิตของเขา เป็นเจ้าของหรือผู้ใช้แรงงาน

ในกรณีของทรัมป์ ชัดเจนว่าเขาเป็นเจ้าของเงินทุนมหาศาลที่ใช้ในการทำอสังหาริมทรัพย์ของตระกูล

ลักษณะของการผลิต เขาไม่ใช่เป็นนายทุนอุตสาหกรรม หากแต่เป็นนายทุนพ่อค้าซึ่งลักษณะเด่นของมันคือการอิงแอบอาศัยอำนาจรัฐและกฎหมายในการประกอบกิจการที่ทำให้ได้กำไร

กล่าวได้ว่าธุรกิจอสังหาฯ ของทรัมป์ผ่านมาหลายฉาก จากล้มละลายมาถึงการเป็นมหาเศรษฐี จึงไม่น่าแปลกใจที่เขามีประสบการณ์และความเห็นส่วนตัวมากในเรื่องเกี่ยวกับการเงิน ธนาคารและตลาดหุ้น

จนถึงวันนี้ที่ทำให้เขาประกาศ “สงครามการค้า” กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะกับจีน วิธีการของเขาคือทำลายตลาดของคู่ต่อสู้ให้พังพินาศ

บิดเบือนกฎหมายให้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ และโฆษณาหลอกผู้ซื้อผู้บริโภคหน้าโง่ทั้งหลายให้เชื่อในผลงานของเขาอย่างลืมตาไม่ขึ้น

ทั้งหมดนี้ปรากฏเป็นจริงในระดับประเทศและโลกเมื่อเครื่องมือสื่อสารในระบบดิจิทัลได้รับการค้นคว้าและสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้

ทรัมป์เป็นผู้นำรัฐบาลคนแรกๆ ที่ใช้ทวิตเตอร์ของตนเองทุกวันส่งข้อความถึงสมาชิกนับร้อยล้านทุกชั่วโมงด้วยคำพูดที่แทงใจดำและไม่เคารพในกฎกติกาหรือมารยาทใดๆ ในโลก

ปัจจัยสำคัญต่อมาคือระบบการเมืองอเมริกัน ที่เปิดโอกาสให้ทรัมป์เจาะช่องโหว่ของระบบสองพรรคที่ลึกๆ ไม่เป็นประชาธิปไตยแท้

อำนาจการนำของพรรคอยู่ภายใต้อำนาจเงินของนายทุน จึงไม่ยากที่ทรัมป์เจาะช่องโหว่นี้ของพรรครีพับลิกัน แล้วนำเอาเครือข่ายนายทุนของเขาเข้ามาครอบงำ

กระทั่งบงการการเลือกตั้งไพรมารี่ของสมาชิกพรรคทุกคนว่าใครจะได้หรือไม่ได้ ขึ้นอยู่กับความพอใจของทรัมป์

เขาไม่ลังเลที่จะประกาศให้สมาชิกพรรคทุกคนรู้ว่า สิ่งที่ทรัมป์ต้องการคือความจงรักภักดีไม่ใช่ความเก่งกล้าสามารถและใบปริญญาจากฮาร์วาร์ดหรือเยล

ปัจจัยสุดท้ายคือระบบโลก นับแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา เมื่อระบบเศรษฐกิจการเมืองแบบทุนนิยมก้าวขึ้นมาเป็นระบบการผลิตที่ครอบงำเหนือระบบการผลิตอื่นๆ ทั้งหมด และส่งผลต่อระบบการเมืองและสังคมของประเทศในโลก สหรัฐซึ่งกำลังทำสงครามเอกราชจากอังกฤษก็ได้รับผลสะเทือนนี้เหมือนกัน

เรามักมองว่าอเมริกาก็เหมือนยุโรป คือคนยุโรปที่อพยพมาตั้งรกรากในอาณานิคมอเมริกา

จากนั้นเมื่อสร้างประเทศใหม่ก็เดินตามรอยยุโรป ไม่ว่าในระบบการเมืองการปกครอง ระบบกฎหมายและวัฒนธรรม

ข้อนี้ถูกครึ่งเดียว ความจริงแล้วคลื่นการปฏิวัติกระฎุมพียุโรปนั้นสร้างผลสะเทือนที่ไม่เหมือนในยุโรป ด้านหนึ่งมันสร้างระบบการเมืองกระฎุมพีแบบยุโรปขึ้นในภาคเหนือ แต่ตรงกันข้ามกระแสการปฏิวัติกลับสร้างระบบการเมืองและเศรษฐกิจของระบอบทาสขึ้นในภาคใต้

ภาคเหนือพัฒนาเข้าสู่การเป็นสังคมกระฎุมพีและการผลิตทุนอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานรับจ้างแบบที่เกิดในยุโรป

แต่ภาคใต้กลับขยายการใช้แรงงานทาสผิวดำในการผลิตที่เป็นเกษตรกรรมในไร่ฝ้าย ยาสูบ ข้าวและคราม มีอุตสาหกรรมพื้นบ้านจำนวนหนึ่งที่ไม่ใช้แรงงานรับจ้างเลย ผลทางสังคมที่ตามมาจากการมีโครงสร้างเศรษฐกิจระบบทาส คือชนชั้นนายทาสภาคใต้หันไปสถาปนาอุดมการณ์แบบก่อนทุนนิยม (precapitalist) แต่ไม่ใช่ระบบฟิวดัลยุโรป ด้วยการเน้นความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ระหว่างนายกับทาส ยอมรับความคิดเรื่องเสรีภาพของปัจเจกบุคคลแต่ต้องยอมรับการเป็นเจ้าของคนอื่นที่เป็นทาสด้วย

นักประวัติศาสตร์ระบบทาสภาคใต้เสนอทฤษฎีพ่อขุนอุปถัมภ์ (paternalism) ในการอธิบายการดำรงอยู่ของระบบทาสในภาคใต้ว่าไม่ใช่ระบบกดขี่ทารุณแบบทาสโรมัน หากแต่มีเหตุผลและประสิทธิภาพเพราะมันได้รับอิทธิพลจากระบบทุนนิยมโลกและอุดมการณ์เสรีนิยมกระฎุมพี

 

คนทั่วไปคงจำได้ถึงสงครามกลางเมืองในสหรัฐระหว่างปี ค.ศ.1860-1865 ที่คร่าชีวิตคนอเมริกันทั้งภาคเหนือและใต้รวมกว่าห้าแสนคน นับเป็นตัวเลขความสูญเสียในการรบที่สูงที่สุดในประวัติการสงครามของอเมริกา

อะไรคือสาเหตุของการทำสงครามอันรุนแรงนี้

คำตอบที่ให้กันมาที่ง่ายและจำได้ดีที่สุดคือเพราะภาคเหนือต้องการเลิกทาสในภาคใต้

ถามว่าหากปัญหามีแค่นั้นเรื่องเดียว ทำไมถึงไม่หาทางเจรจาต่อรองกันเล่ากับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเท่านั้นเอง

นี่คือความยุ่งยากของโลกสมัยใหม่ โดยเฉพาะนับแต่ระบบทุนนิยมโลกและเครื่องเคียงทางอุดมการณ์และวัฒนธรรมล้วนได้รับแรงสะเทือนที่สั่นคลอนระบบความคิดความเชื่อแบบจารีตและดั้งเดิมลงไป

ความคิดกลายเป็นพลังเหมือนอาวุธเช่นกัน

เมื่อระบอบปกครองแบบทาสในภาคใต้ในกลางศตวรรษที่ 19 ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่าต้องพิทักษ์รักษาระบบทาสไว้ในภาคใต้ชั่วชีวิตและชั่วกาลนาน ถึงกับประกาศเป็นปรปักษ์กับระบบทุนนิยมกระฎุมพี

ปัญญาชนนักคิดนักศาสนาภาคใต้เป็นกลุ่มคนแรกๆ ในอเมริกาที่ต่อต้านและประณามระบบทุนนิยมและการขูดรีดแรงงานรับจ้าง ก่อนพวกคอมมิวนิสต์และสังคมนิยมจะเกิดในอเมริกาหรือยุโรปด้วย

พวกนั้นเรียกทาสผิวดำว่า “ประชาชน” (people) แต่ปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นอย่างไม่เท่าเทียม อย่างไม่มีศักดิ์ศรีและความเป็นคน ทัศนะต่อประชาชนในภาคใต้จึงกำกับด้วยคติเหยียดเชื้อชาติสีผิว (racism)

 

ข้อนี้ลองสังเกตท่าทีและจุดยืนในการปลุกระดมและเสนอนโยบายของทรัมป์และคณะว่ามองประชาชนของเขาอย่างไร

ทำไมถึงต้องเรียก “คนขาวเป็นเจ้า” (White Supremacist)

ทำไมถึงต่อต้านผู้อพยพต่างชาติอย่างแรง

ทั้งหมดนี้เป็นอุดมการณ์และความคิดการเมืองของชนชั้นนายทาสภาคใต้มาก่อนแล้ว

พวกนั้นโจมตีนายทุนภาคเหนือว่าเป็นคนนำเข้าทาสผิวดำจากแอฟริกาและละตินอเมริกาแล้วขายให้เจ้าของไร่ภาคใต้ การเลิกทาสจึงเป็นการทำลายทรัพย์สินส่วนตัวของคนใต้ไม่ใช่การแก้ปัญหา

ตอนนี้ทรัมป์โจมตีพรรคเดโมแครตว่าเป็นคนเปิดทางให้ผู้อพยพทั้งถูกและผิดกฎหมายเข้าประเทศมานับล้าน สร้างปัญหาและอาชญากรรมแก่ “ประชาชน” ของทรัมป์อย่างมาก ทางแก้คือการเนรเทศกลับไปประเทศต้นทาง

การต่อสู้ระหว่างภาคเหนือกับภาคใต้ในเรื่องระบบทาสกินเวลาราว 50 ปีก่อนประกาศสงครามด้วยอาวุธ

น่าสนใจมากว่ากลุ่มคนที่นายทาสภาคใต้ไม่ชอบและห้ามเข้ามาในภาคใต้คือพวกนักต่อต้านทาส (abolitionist) ที่ผมเรียกว่าเป็นพวกเอ็นจีโอรุ่นแรกของโลกสมัยใหม่

พวกนี้เป็นปัญญาชน นักคิด นักศาสนา อาจารย์และนักเขียน ที่โด่งดังสุดคือ วิลเลียม ลอยด์ แกร์ริสัน ผู้ก่อตั้งขบวนการเลิกทาส (Abolition movement) ทำงานร่วมกับพวกเควกเกอร์ในการหาทางทำลายระบบทาสให้สิ้น

ขบวนการเลิกทาสจึงมีแนวร่วมกับขบวนการสตรีนิยมและอดีตทาส พวกนี้คือฐานของลัทธิเสรีนิยมและความเท่าเทียมทางเพศและสีผิว

ทั้งหมดนี้ในปัจจุบันคือศัตรูคู่อาฆาตของโดนัลด์ ทรัมป์ และสาวก ในนโยบายที่ทรัมป์เรียกว่า “ความหลากหลาย ความเท่าเทียมและความครอบคลุม (Diversity Equity Inclusive – DEI) ที่ต้องทำลายให้สิ้น

 

ในวาระสุดท้าย ระบอบทาสและชนชั้นนายทาสภาคใต้ไม่เพียงแต่ท้าทายและเป็นปฏิปักษ์กับระบอบการเมืองกระฎุมพีภาคเหนือ

หากแต่ยังยกระดับไปสู่การประกาศสงครามและสกัดกั้นการเติบใหญ่และขยายตัวของระบบทุนนิยมโลกอีกด้วย

การประกาศสงครามกับภาคเหนือ ไม่ใช่แค่ปัญหาการทหารหรือเศรษฐกิจ หากแต่ลึกลงไปมันคือการประกาศสงครามกับระบบทุนนิยมโลก

ด้วยความเชื่อว่าระบบทุนและแรงงานรับจ้างคือระบบไร้ศีลธรรมและกดขี่เจ้าของทรัพย์สินย่อยๆ อย่างถ้วนหน้า

ทางออกที่ระบบทาสภาคใต้เสนอให้ได้แก่ การสร้างระบบทาสให้เป็นระบบแรงงานทั่วไป แทนที่ระบบแรงงานเสรีด้วยระบบแรงงานมีพันธะสัญญา

เศรษฐกิจการเมืองภาคใต้จึงวิพากษ์ระบบการค้าเสรีว่าเป็นระบบที่ทำลายศีลธรรม เพราะมันส่งเสริมความเห็นแก่ตัวของแต่ละคน

ระบบทาสที่นักคิดภาคใต้เรียกชื่อใหม่ว่าระบบประกันสังคม (Warrannteeism) จึงเป็นทางออกแทนที่ระบบแรงงานเสรี

ทั้งหมดนี้รวมศูนย์ในอารยธรรมใหม่ที่ภาคใต้จะสร้างขึ้นมาในนามของ “อารยธรรมภาคใต้” (Southern Civilization)

 

ผมไม่คิดว่าทรัมป์และคณะจะมีความคิดและความเข้าในในประวัติศาสตร์ของอเมริกาภาคใต้สมัยเป็นระบบทาสจนถึงกับจะรื้อทิ้งและสร้างอเมริกาใหม่ในภาพลักษณ์ของอเมริกายุคทาสแต่อย่างใด

ผมสนุกและหาคำตอบให้แก่ตัวเองในการเสนอและปฏิบัตินโยบายการเมืองและอื่นๆ ของรัฐบาลทรัมป์ ด้วยการกลับไปอ่านประวัติศาสตร์ยุคทาสอีกครั้ง

เพราะหลายครั้งที่ฟังและดูการแสดงท่าทีและคำพูดของทรัมป์และคณะ มีหลายเรื่องหลายความรู้สึกที่ทำให้ดูเหมือนตัวละคนในอดีตเหล่านั้นฟื้นขึ้นมาและกล่าวถ้อยคำในวาระต่างๆ ที่แตกต่างไปตามบริบทโลก

แต่ที่สะกิดใจผมคือความคล้ายคลึงและร่องรอยของคติความเชื่อที่คิดว่ามันสลายไปหมดแล้วตามกาลเวลา

บัดนี้เงาของร่องรอยในอดีตของระบบเศรษฐกิจการเมืองหนึ่งที่บังอาจท้าทายระบบทุนนิยมได้เชิดหัวขึ้นมา

พูดสั้นๆ นโยบายทรัมป์คือการประกาศสงครามกับระบบทุนนิยมโลก