หาก ‘บ.ก.ลายจุด’ เป็น ‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ จะหยุดปัญหาการเมืองในประเทศอย่างไร?

“การควบคุม-จัดการสถานการณ์ปัจจุบันของ คสช. นั้น มองว่ารัฐบาลอ่อนไหวมากเป็นพิเศษเพราะรู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง ดังนั้น จึงใช้จุดแข็งของตนเองก็คืออำนาจรัฐเข้าไปดำเนินการในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เพื่อที่จะหวังควบคุมการแสดงออก แต่ว่ามันเลยเถิดไปไกลมาก อย่างที่เราเห็นพวกกลุ่มวัยรุ่นต่างๆ แม้แต่ติ่งเกาหลีก็เอากับเขาด้วยหรือคนทั่วๆ ไปก็เริ่มแต่งเพลงล้อเลียน คสช. ซึ่งต้องมองว่ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้เป็นกลุ่มคนที่มีความมุ่งหวังทางการเมือง หรือเคยเคลื่อนไหว-แสดงความเห็นทางการเมืองมาก่อนเลย แต่ออกมาพูดถึงรัฐบาลกันอย่างพร้อมหน้า ผมว่ามีนัยยะสำคัญอยู่”

นั่นคือมุมมองของ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด ที่เคลื่อนไหวภาคประชาชนมาอย่างต่อเนื่องมองปรากฏการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้น

นายสมบัติมองว่า รัฐบาลพยายามจะกดกลุ่มก้อน หรือกดดันตัวบุคคล และกระแสต่างๆ (แม้ว่าคนเหล่านั้นไม่เคยเคลื่อนไหวการเมืองมาก่อน)

“ส่วนตัวมองว่ามันอยู่ในช่วงต้นของสถานการณ์ว่าจะพลิกผันไปอีกหรือไม่ ซึ่งมันเป็นภาพรวมที่คนทั้งประเทศเห็น และไม่ได้เกิดจากกลุ่มการเมืองนักเคลื่อนไหวหรือนักการเมืองหรือพรรคการเมืองเพื่อที่จะทำลายล้มล้าง คสช. หรือรัฐบาลอะไรเลย มันเป็นความนิยมของ คสช. ที่ลดลง และเป็นสิ่งที่หลายคนเห็นร่วมกัน มองเหมือนกัน ซึ่งต้องยอมรับว่า คสช. ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะได้รับความนิยมอีกต่อไปแล้ว”

“และนอกจากไม่ได้รับความนิยมแล้ว ผมรู้สึกว่าการสืบทอดอำนาจหลังจากนี้มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้จริงๆ ผมว่ามันแย่กว่านั้นมาก กระแสแบบนี้แย่มาก”

บทเรียนของประชาชน-คนหนุน

เหตุและปัจจัยของกองหนุนที่ยังต้องเชียร์ให้ คสช. อยู่ต่อนั้น นายสมบัติมองว่า “ผมคิดว่าคนที่เชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ เขาเชียร์เพราะว่าตอนแรกเขาเหล่านั้นต้องการกำจัดกลุ่มพลังอำนาจกลุ่มของพรรคเพื่อไทยรัฐบาลยิ่งลักษณ์หรือกดคนเสื้อแดงเอาไว้ มันมาจากสาเหตุเหล่านั้นเป็นหลัก มันไม่ใช่เรื่องของความสงบเรียบร้อย แต่อาจจะเพื่อบางคนบ้าง”

“คนที่แอ๊กทีฟและเชียร์อย่างมาก คือคนที่เคยออกมาเคลื่อนไหวและก่อให้เกิดความไม่สงบ มันเป็นเรื่องของการเชื่อว่ารัฐบาลทหาร คสช. จะทำการล้างบางเครือข่ายของพรรคเพื่อไทยและเสื้อแดงได้ แต่ว่ามาถึงปัจจุบันนี้ก็ยังเห็นว่าพรรคเพื่อไทยก็ยังอยู่ หรือกลุ่มคนเสื้อแดงที่ดูเหมือนว่าจะเงียบหายไป แต่ในความเป็นจริงแล้วยังอยู่ครบ แต่ไม่ได้เคลื่อนไหวเท่านั้นเอง บวกกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันหรือว่าความคาดหวังเรื่องการปฏิรูปประเทศใน 3 ปีกว่าที่ผ่านมามันไม่ก่อให้เกิดความคาดหวังในหมู่ประชาชนว่าเขาจะสามารถคาดหวังอะไรจาก คสช. หรือรัฐบาลได้ ไม่ว่าจะปฏิรูปหรือจัดการกับฝ่ายตรงข้าม”

“ที่สำคัญช่วงที่ผ่านมาประชาชนเรียนรู้ว่า เกือบ 4 ปีที่ผ่านมาที่ไม่มีนักการเมือง ปัญหาคอร์รัปชั่นก็ยังไม่ได้หมดไป ผมว่านี่เป็นบทเรียนที่ชัดมาก การตรวจสอบ มันไม่สามารถทำได้เหมือนในรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนหรือนักการเมือง ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่อันตราย” บ.ก.ลายจุดกล่าว

ส่วนปัจจัยหรือตัวแปรใดที่จะทำให้ คสช. ไม่สามารถอยู่ได้นั้น บ.ก.ลายจุดชี้ว่า “ผมมองว่าต้องยอมรับโดยดุษฎีว่าไม่มีคนอุ้มเลย กองหนุนกองเชียร์หายหมด จริงๆ กองหนุนตอนนี้ก็แทบไม่เหลือแล้ว เหลือแต่กลุ่มของสุเทพ เทือกสุบรรณ รวมกับทหารประจำการที่มีอยู่ ในตอนนี้เอาเข้าจริงๆ แล้ว กลุ่มคนสุเทพตอนนี้ก็ไม่ใหญ่พอที่จะอุ้ม พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลได้”

“ตอนนี้น้ำหนักทั้งหมดผมมองว่าไปอยู่บนบ่าของทหารประจำการ คำถามก็คือทหารจะสามารถค้ำอดีตทหารที่เกษียณอายุราชการไปนานแล้วได้อีกนานสักเท่าไหร่ อันนี้เป็นประเด็น”

ประวัติศาสตร์ 2516 ถึง 2561 ซึ่งไม่เหมือนกัน?

ขณะที่เรื่องราวที่เป็นประเด็นสนใจของคนทั้งหลายว่าเหตุการณ์ล่าสัตว์ของเจ้าสัวอิตาเลียนไทย ที่มีคนมองเปรียบเทียบระหว่างเหตุการณ์ปี พ.ศ.2516 จะเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยปัจจุบันหรือไม่นั้น นายสมบัติกล่าวว่า “ผมมองว่าเหตุการณ์นี้เป็นกลุ่มคนคนละกลุ่มกัน การไปล่าสัตว์ป่าครั้งนี้เขายังไม่ได้มีความยึดโยงกับทหาร หรือกับผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ซึ่งผมคิดว่าประเด็นทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงแค่ประเด็นของสิ่งแวดล้อม จะไม่ใช่ประเด็นทางการเมือง แต่ว่าเหตุการณ์นี้มันจะทำให้คนที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม มีพื้นที่แสดงความคิดเห็นอย่างแรงและเป็นสิ่งที่จะล่อเป้ามาก แล้วจะปลุกทำให้กระแสของสังคมเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องต่างๆ มากขึ้นและความไม่พอใจเมื่อมันถูกปลุกขึ้นมา”

“พอคนเหล่านี้ไม่พอใจเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้ววันหนึ่งเกิดข้ามเส้นมาสู่ความไม่พอใจในเรื่องของทางการเมืองด้วย มันจะทำให้เหตุการณ์บานปลายและกระแสมันจะแรงขึ้น ยกกำลังขึ้น”

เสียงเรียกร้องการเลือกตั้งที่ดังขึ้น!

“เสียงเรียกร้องการเลือกตั้งผมคิดว่ามันจะดังขึ้นด้วยเรื่อยๆ และยิ่งมีความพยายามที่จะเตะถ่วงมากขึ้นเท่าไหร่มันจะยิ่งเป็นการสร้างสมดุลของการเรียกร้องมากขึ้นเท่านั้น เราต้องจ่ายแพงนะ ถ้ายังเลื่อนไปเรื่อยๆ และเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก ผมคิดว่า คสช. ไม่ควรเสี่ยงอีก ควรจะทำตามคำมั่นสัญญา แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนคำมั่นสัญญามาหลายหนแล้วก็ตาม แต่ว่าครั้งนี้คุณจะล้มล้างคำสัญญาตัวเองไม่ได้อีกแล้ว” นายสมบัติกล่าว

ถามว่า หากเป็น พล.ประยุทธ์ จะยุติ-แก้ปัญหาอย่างไร บ.ก.ลายจุดกล่าวว่า “ผมจะคิดเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง ว่าผมจะลงอย่างไรให้ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าผมเข้ามายึดอำนาจเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาประเทศ สิ่งที่ผมจะทำก็คือผมจะไม่ทำสิ่งใดก็ตามที่จะก่อให้เกิดชนวนของความขัดแย้งเพิ่มขึ้น นั่นก็คือการเลื่อนเลือกตั้ง โดยผมจะประกาศบอกกล่าวทุกหน่วยงานที่มีอำนาจและเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เช่น ไปเจรจากับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือการเรียกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เข้ามาคุย เรียกพรรคการเมืองเข้ามาหารือว่า เราจะต้องช่วยกันทุกฝ่ายเพื่อจะให้การเลือกตั้งเดินหน้าเกิดขึ้นภายในปีนี้ให้ได้อย่างแข็งขันและช่วยกันที่จะทำให้กระบวนการเลือกตั้งครั้งนี้มันสะอาด สร้างสรรค์ที่สุดเท่าที่มันเคยมีมา ยิ่งกว่าในช่วงเวลาของรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยอีก”

“ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ทำตัวเป็นกรรมการและทำหน้าที่สนับสนุนอย่างเต็มที่เพื่อเกิดการแข่งขันอย่างสร้างสรรค์ ผมมองว่าคนดูจะปรบมือให้ ต้องทำให้คนเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีเจตนาเลยแม้แต่น้อยที่จะสืบทอดอำนาจต่อ และพอเมื่อการเลือกตั้งนั้นเกิดขึ้น กลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ ก็จะยุติความเคลื่อนไหวและเอาใจไปจดจ่อเกี่ยวกับการเลือกตั้งแล้วจะไม่มาคิดเรื่องของการเคลื่อนไหวถล่ม-อัด คสช. อีกต่อไป”

“ประวัติศาสตร์ก็จะบันทึกในช่วงท้ายของ พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาล คสช. ว่าสามารถเล่นเกมในช่วงท้ายได้ดีและทำให้การต่อเนื่องทางการเมืองหลังจากนั้นประสบความสำเร็จ ก็จะทำให้จบแบบสวยๆ ถ้าเป็นผม ผมทำได้แน่นอนง่ายๆ สบายมากไม่เห็นยาก”

เมื่อแย้งว่าที่พูดมาทั้งหมดคิดว่าทำได้จริงหรือ? นายสมบัติตอบว่า “ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับความมุ่งหมายว่า พล.อ.ประยุทธ์มีความมุ่งหมายใด ถ้าความมุ่งหมายเป็นอีกแบบหนึ่งเขาจะออกแบบกระบวนการต่างๆ จัดวางกำลังคนหรือทำให้กระบวนการเลือกตั้งนั้นให้พรรคการเมืองที่เขาคิดว่าเป็นปฏิปักษ์ให้เกิดความเสียเปรียบมากที่สุดเหล่านี้ เป็นต้น ซึ่งจะทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้มันดูไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมและมันก็จะทำให้ประชาชนรู้สึกต่อต้านการวิพากษ์วิจารณ์ก็จะกลับไปที่ พล.อ.ประยุทธ์”

“คือเวลาเราดูบอล มันควรจะดูคู่ต่อสู้บนสนาม เขาไม่สนใจดูกรรมการหรอก แต่กรรมการถูกคนดูจับจ้องก็ต่อเมื่อการทำหน้าที่ไม่มีความแฟร์ หรือออกอาการ ดังนั้น ถ้าตรงไปตรงมาจะไม่มีใครสนใจกรรมการ เขาก็จะสนใจพรรคการเมืองลงเล่นในสนาม แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่กรรมการเป่านกหวีดบ้าๆ บอๆ หรือตัดสินเพี้ยนๆ คราวนี้คนจะเลิกดูบอลแล้วจะหันมาดูแต่กรรมการว่าจะเอาอย่างไร”

ถามว่าทำไมกรรมการถึงไม่ยอมให้เกมนี้เปิดการแข่งขันเสียที? บ.ก.ลายจุดกล่าวว่า “ผมมองว่าที่กรรมการไม่ยอมปล่อยให้ผู้เล่นได้เล่นเกมเพราะกรรมการมีความรู้สึกว่า ตัวเองสามารถเล่นได้ดีกว่าตัวผู้เล่นที่มีอยู่ในสนามนี้ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าที่คุณลงมาเล่นฟุตบอลอยู่ตอนนี้คุณเล่นเกมอำนาจอยู่ในตอนนี้คุณไม่มีฝ่ายค้านนะ เปรียบภาพก็เหมือนการเลี้ยงบอลอยู่บนสนามวิ่งไปวิ่งมาดูเหมือนจะมีความพลิ้ว แต่ถ้าคุณมีฝ่ายค้านคุณจะเล่นได้แย่กว่านี้มากๆ และเขาคิดว่าเขาเล่นได้ดีกว่า หลายครั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดกับประชาชนว่าขอให้ประชาชนเลือกคนที่ดีกว่าเขา เขากลัวว่าคนที่มาจะดีสู้เขาไม่ได้ ผมว่านี่เป็นอาการหลงตัวเองอยู่ไม่น้อย”

“ความน่าเป็นห่วงเดียวของผมในตอนนี้ที่มีอยู่คือ ผมเป็นห่วงว่าคนที่มีอำนาจอยู่ในปัจจุบันนี้เกิดเข้าใจผิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะมีอำนาจต่อ ผมเป็นห่วงความคิดชุดนี้มาก กลัวเขาเข้าใจผิด เพราะว่าคุณไม่มีสิทธิ์ตั้งแต่ต้นแล้ว เป็นความเข้าใจผิด เป็นวิธีคิดที่ผิดอย่างแรง”