ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | My Country Thailand |
ผู้เขียน | ณัฐพล ใจจริง |
เผยแพร่ |
My Country Thailand | ณัฐพล ใจจริง
การปกครองเปลี่ยน-แฟชั่นปรับ
: แฟชั่นสมัยคณะราษฎร-สงคราม (1)
การศึกษาประวัติศาสตร์แฟชั่นไทยที่ผ่านมามักให้ความสำคัญชื่นชมการแต่งกายของราชสำนัก ชนชั้นสูงและขุนนางในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่หรูหราจนดูราวกับเป็นยุคทองของแฟชั่นสยามในอดีต
แต่กลับให้ความสำคัญน้อยกับการแต่งกายแบบเรียบง่ายของยุคสมัยการปฏิวัติ 2475 ที่ประชาชนสามารถแต่งกายได้ด้วยตนเอง
ไม่ต้องพึ่งบ่าวไพร่ให้ช่วยแต่งกายที่สอดคล้องกับสมัยประชาธิปไตย

แฟชั่นของราชสำนัก
การแต่งกายตามแฟชั่นแบบตะวันตกเริ่มเข้าสู่ราชสำนัก ขุนนางและชนชั้นสูง นับแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ความชัดเจนของแฟชั่นตามแบบตะวันตกเด่นชัดขึ้นในเหล่าชนชั้นสูงที่นำโดยราชสำนัก
ครั้งการแต่งกายของสตรีในราชสำนักในสมัยพระจุลจอมเกล้าฯ นั้น เกิดแฟชั่นเปลี่ยนแปลงการห่มสไบตามแบบจารีตไปนิยมสวมเสื้อนิยมใช้ผ้าแพร ไหม ผ้าลูกไม้หรูหรา มีคอตั้งสูง แขนยาวฟูฟ่องหรือระบายลูกไม้เป็นชั้นๆ รอบแขนเสื้อ บางทีเอวเสื้อจีบเข้ารูปตามแบบชาวตะวันตกสมัยวิกตอเรียนแทน บ้างก็สวมหมวกที่ทำจากผ้าลูกไม้และตบแต่งอย่างวิจิตรพิสดาร บ้างคาดเข็มขัด กลัดเข็มกลัดล้อมเพชร ใส่สร้อยคอที่ทำด้วยเพชรและอัญมณีราคาแพง บ้างใส่สร้อยมุก ประกอบนุ่งโจงกระเบน สวมถุงเท้ายาว แต่ใส่ถุงน่องยาวพร้อมสวมรองเท้าส้นสูง เป็นต้น
สำหรับแฟชั่นสมัยพระมงกุฎเกล้าฯ นั้น การแต่งกายของสตรีระยะแรก ยังคงนุ่งผ้าโจงกระเบน เสื้อยังนิยมใช้ลูกไม้หรูหราประดับอยู่ แต่คอลึกกว่าเดิม แขนยาวเสมอข้อศอกแต่แขนเสื้อไม่พอง มีผ้าสไบพาดไหล่รวบตอนหัวไหล่ติดด้วยเข็มกลัดรูปอัญมณี สวมถุงเท้ายาว รองเท้าส้นสูงคล้ายสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ
ต่อมาเริ่มนุ่งซิ่นตามพระราชนิยม เกิดเสื้อแบบใหม่ๆ สำหรับใส่เข้าชุดกับผ้าซิ่นขึ้น ต่อมา สตรีในราชสำนักไว้ผมยาวเกล้ามวยหรือไว้ผมบ๊อบตามแบบตะวันตก ซึ่งสมัยนั้นใช้เครื่องประดับคาดรอบศีรษะด้วย การแต่งกายตามพระราชนิยมจึงได้แพร่หลายออกสู่ประชาชน
สตรีไทยจึงนิยมไว้ผมยาวกันอย่างแพร่หลาย แต่บางคนก็นิยมตัดสั้นแบบที่เรียกว่าทรงซิงเกิล
ต่อมา แฟชั่นปลายสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ นั้น สตรีราชสำนักและสตรีชั้นสูงพากันนิยมแต่งกายตามสไตล์แบบแกสบี้ (Gastby) กล่าวคือ สวมเสื้อแขนสามส่วนตัวยาว จับคู่กับผ้าซิ่นนุ่งที่ดูคล้ายกับกระโปรงสไตล์ตะวันตก และเครื่องประดับ ใส่สายสร้อยและตุ้มหูยาวแบบต่างๆ สวมกำไล กำไลแขน ส่วนผมปล่อยยาวแต่ไม่ประบ่า และเริ่มนิยมดัดเป็นลอน ที่ศีรษะมีผ้าประดับหรือเครื่องประดับคาดหัวตามแบบแฟชั่นสตรีชาวตะวันตกทุกประการ
ทั้งนี้เพราะคนไทยในช่วงนี้ได้มีโอกาสไปศึกษายังต่างประเทศมากขึ้น จึงนำเอาอารยธรรมการแต่งกายเข้ามามากขึ้นตามอิทธิพลของภาพยนตร์ฝรั่ง โดยเฉพาะภาพยนตร์อเมริกันที่แต่งกายหรูหราตามสไตล์แกสบี้ จนสามารถมีอิทธิพลในด้านนำแฟชั่นในหมู่สตรีชั้นสูงที่หันมานุ่งกระโปรงกันบ้าง (บรรณฑรวรรณ ทองคำพงษ์, 2560, 7-25)
ส่วนการแต่งกายของชายที่เป็นข้าราชการ ตลอดจนคนในสังคมชั้นสูงโดยทั่วไป ยังนิยมนุ่งผ้าม่วงโจงกระเบน สวมเสื้อราชปะแตน สวมถุงเท้า รองเท้า สวมหมวกสักหลาดมีปีกหรือหมวกกะโล่ ถือไม้เท้า

แฟชั่นหรูหราควบคู่การมีบ่าวไพร่
ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่มีการแบ่งคนออกเป็นชั้น เป็นพวกเจ้า พวกไพร่ ผู้ปกครอง ผู้ถูกปกครอง มีการจัดระเบียบทางสังคมและการขูดรีดแรงงานผ่านระบบไพร่มาอย่างยาวนานจนสร้างประเพณี ระบบอุปถัมภ์และความเชื่อในความไม่เท่าเทียมกัน ตลอดจนการแบ่งงานกันทำตามแต่ชั้นของผู้คนในสังคม
แฟชั่นตามแบบตะวันตกของสตรีราชสำนักและสตรีชั้นสูงไปร่วมงานสำคัญด้วยการสวมเสื้อที่ฟูฟ่องไปด้วยผ้าลูกไม้ การสวมหมวก การใส่เครื่องประดับศีรษะ เครื่องประดับคอ การคล้องสร้อยสังวาล การนุ่งโจงกระเบน สวมถุงเท้า และรองเท้าส้นสูง
ด้วยเหตุที่ความหรูหรา ความพองของเสื้อและชุดกระโปรง การมีอุปกรณ์และเครื่องประดับในการแต่งกายตั้งแต่ศีรษะ คอ แขนตามแฟชั่นของสตรีราชสำนักและสตรีชั้นสูงของไทยเมื่อครั้งสมบูรณาญาสิทธิราชย์ครั้งนั้น จำเป็นต้องมีบ่าวไพร่เป็นผู้ช่วยในการแต่งกาย

แฟชั่นจากระบอบเก่าสู่ระบอบใหม่
ภายหลังการปฏิวัติ 2475 แล้ว รัฐบาลเห็นว่าการนุ่งผ้าม่วงโจงกระเบน สวมเสื้อราชปะแตนอันเป็นเครื่องแต่งกายตามปกติ หรือในงานพิธีของข้าราชการและสุภาพบุรุษโดยทั่วไปที่สืบมาแต่ครั้งระบอบเก่านั้นล้าสมัย จึงประกาศให้นุ่งกางเกงขายาวแทน แต่ยังไม่เป็นบังคับทีเดียว ยังผ่อนผันให้นุ่งผ้าม่วงได้บ้าง
เมื่อราษฎรทั่วไปเมื่อเห็นข้าราชการนุ่งกางเกงขายาวแทนผ้าม่วงก็ทำตามอย่างกันขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งนิยมแต่งแบบสากลกันมาจนปัจจุบัน ในระยะนี้ไม่นิยมสวมหมวก จนกระทั่งถูกบังคับให้สวมใน สมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม
เมื่อรัฐบาลชุดนี้หมดอำนาจ การบังคับให้สวมหมวกก็ล้มเลิกไปโดยปริยาย การแต่งกายได้พัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปตามลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ส่งเสริมวัฒนธรรมอย่างขนานใหญ่ เป็นจุดของการสร้างชาติในด้านต่างๆ ได้มีการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีไทยมากมายหลายอย่าง
โดยพยายามให้วัฒนธรรมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างชาติ มีการออกพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกาและประกาศต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องการแต่งกายของชาวไทยหลายฉบับ ตลอดจนคำแนะนำในด้านการแต่งกาย แม้ว่าจะมีการนุ่งกระโปรงกันบ้างประปราย แต่ส่วนมากก็ยังนิยมนุ่งโจงกระเบนกันอยู่ รัฐบาลจึงได้วิงวอนให้สตรีไทยเปลี่ยนแปลงการแต่งกายให้สมกับเป็นอารยประเทศ
การนุ่งผ้าม่วงกำลังเสื่อมความนิยม เพราะยุ่งยากสิ้นเปลืองและไม่สะดวก แต่ข้าราชการ และประชาชนโดยทั่วไปยังคงนิยมนุ่งกางเกงแพรดอกสีต่างๆ ออกนอกบ้านอยู่ รัฐบาลจึพยายามชักชวนชายไทยให้เลิกนุ่งกางเกงแพร
พร้อมชี้ชวนให้ประชาชนเห็นว่าการแต่งกายที่สุภาพเรียบร้อยมีส่วนช่วยรัฐบาลในการสร้างชาติต่อไป





สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022