ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
ความเป็นปึกแผ่นทางวัฒนธรรมเพื่อการเมืองรัฐอยุธยา ถูกผนึกด้วยภาษาและวรรณกรรมไทย เพื่อสร้างความเป็นอยุธยามากกว่าสร้างความเป็นไทย
ภาษาและวรรณกรรมไทยมีอำนาจเมื่อการบริหารราชการรวมศูนย์ของรัฐอยุธยากระทำผ่านตัวหนังสือ เช่น สารตราของเสนาบดีใน (อยุธยา) เมืองหลวง (ซึ่งโดยหลักการต้องผ่านพระบรมราชวินิจฉัยแล้ว) ส่งถึงเจ้าเมืองต่างๆ และ/หรือใบบอกของเจ้าเมืองที่ส่งถึงเสนาบดีซึ่งอยู่ในเมืองหลวง
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการเมืองการปกครองของอยุธยามีลักษณะรวบอำนาจรวมศูนย์สูงมาก ขณะเดียวกันก็เบียดขับอำนาจท้องถิ่นและอำนาจของผู้อาจแข่งบารมีกษัตริย์อยุธยาออกไป เช่น พระภิกษุที่ทรงคุณวิเศษด้านต่างๆ, นักปราชญ์, กวี, ฤๅษี, เศรษฐี, ตระกูลเก่าแก่ในท้องถิ่น, ช่างฝีมือ ฯลฯ บุคคลเหล่านี้ล้วนถูกดึงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวงจรอำนาจ-บารมีของกษัตริย์ หรือหากแข็งข้อก็ถูกกีดกันจนไม่สามารถแสดงพลังอำนาจ-บารมีของตนได้อย่างอิสระ
ด้วยเหตุดังนั้น (1.) สำนึกของประชาชน (ไพร่บ้านพลเมือง) จึงมีศูนย์กลางอยู่ที่ความยิ่งใหญ่ของ “กรุงศรีอยุธยา” มากกว่าความเป็นไทย และ (2.) ไม่พบวรรณกรรมลายลักษณ์อักษรที่ผลิตขึ้นในท้องถิ่น, กฎหมายท้องถิ่น, พงศาวดารท้องถิ่น ฯลฯ
[สรุปจากหนังสือ ว่างแผ่นดินฯ ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ มูลนิธิโครงการตำราฯ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2562 หน้า 104-105]
อยุธยาหลังติดต่อค้าขายกับตะวันตก ถูกเรียกจากชาวยุโรปว่า “ราชอาณาจักรสยาม” ของชาวสยาม พูดภาษาไทย จากนั้นภาษาและวรรณกรรมไทย ลดความเข้มข้นทางพิธีกรรมที่มีมาแต่เดิม แล้วเพิ่มความเป็นสากลมากขึ้นด้วยการรับวัฒนธรรมนานาชาติเข้ามาสอดแทรกประสมประสานโดยเฉพาะแนวคิดแบบตะวันตกที่เรียกสัจนิยม (Realism) และปัจเจกนิยม (Individualism)
วัฒนธรรมนานาชาติแพร่หลายเข้าถึงอยุธยามากับการค้า แล้วฟักตัวอยู่ในกลุ่มชนชั้นนำตั้งแต่ก่อนเสียกรุงครั้งแรก พ.ศ.2112 สืบเนื่องถึงสมัยหลังจากนั้น
ส่วนวรรณกรรมตามขนบเดิมยังมีสืบเนื่องต่อมาด้วยภาษาสำนวนโวหารลดความซับซ้อน ทำให้อ่านเข้าใจไม่ยาก
ภาษาอยุธยา
สมัยแรก ราชสำนักรัฐอยุธยาพูดภาษาเขมร ใช้อักษรเขมร [สืบเนื่องจากรัฐอโยธยาที่สถาปนาโดยกลุ่มสยาม (ลุ่มน้ำมูล-ลุ่มน้ำท่าจีน) กับกลุ่มขอม (ละโว้)] มีภาษาเขมรกับภาษาไทยเป็นภาษาราชการ แต่เจ้านายขุนนางข้าราชการบางส่วนพูดภาษาไทย โดยใช้อักษรเขมรเขียนภาษาไทย
ความเป็นเขมรของอยุธยาสมัยแรกมีเหตุจากกษัตริย์อยุธยาสืบบรรพชนจากวงศ์กษัตริย์กัมพูชาแห่งเมืองพระนครหลวง (มีพระนามในตำนานว่า “ปทุมสุริยวงศ์” เชื่อว่าตรงกับ “ชัยวรรมันที่ 7” กรุงศรียโศธร หรือ “นครธม”) พบหลักฐานเอกสารราชการเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งสมมุติเรียกตอนนี้ว่า “คู่มือทูตอยุธยาไปยุโรป” ทำขึ้นโดยนักปราชญ์ราชบัณฑิตแผ่นดินพระนารายณ์ เพื่อให้ทูตอยุธยาที่จะไปยุโรปได้อ่านแล้วจำไปตอบเมื่อถูกถามจากราชสำนักยุโรป
มีตอนหนึ่งแนะนำทูตสยามอยุธยาเมื่อถูกถามว่ากษัตริย์อยุธยาองค์ปัจจุบันสืบตระกูลมาแต่ใด?
ให้ตอบว่าพระเจ้าแผ่นดินองค์ปัจจุบัน (คือพระนารายณ์) สืบสันตติวงศ์จากปฐมบรรพชนซึ่งสืบทอดอำนาจถึงสมเด็จพระยโศธรฯ ผู้ก่อตั้งกรุงยโศธร และมีกษัตริย์สืบทอดอำนาจต่อมาอีก…
[เอกสารนี้พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษในวารสาร สยามสมาคม JSS vol. 90.1 & S, (2002) นำเสนอโดย Dr. Michael Smithies ต่อมา ไมเคิล ไรท แปลเป็นภาษาไทย พิมพ์ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกุมภาพันธ์-เมษายน 2548]
สมัยหลัง รัฐอยุธยาประชาชนเป็นชาวสยาม (ลูกผสมจากหลายชาติพันธุ์ชนเผ่าพื้นเมือง) พูดภาษาไทย มีภาษาไทยเป็นภาษาราชการ โดยใช้อักษรเขมรเขียนภาษาไทย (เพราะยังไม่มีอักษรไทย) แล้วยกย่องภาษาเขมรเป็นภาษาเทวราช (ปัจจุบันเรียกราชาศัพท์) เมื่อนานไปได้มีพัฒนาการดัดแปลงอักษรเขมรเป็นอักษรไทย (แต่เจ้านายขุนนางข้าราชการบางส่วนสืบเชื้อสายจากรัฐละโว้ พูดภาษาเขมร เขียนอักษรเขมร เป็นขอม)
อำนาจรวมศูนย์ของภาษาไทย
ภาษาไทยมีอำนาจรวมศูนย์ เริ่มตั้งแต่แผ่นดินเจ้านครอินทร์ จากนั้นจึงเกิดพลังกระตุ้นให้เรียกผู้พูดภาษาไทยว่า “คนไทย” และเรียกอยุธยาว่า “เมืองไทย”
เจ้านครอินทร์เป็นกษัตริย์อยุธยา ลำดับที่ 7 พระนาม “พระนครินทราธิราช” (ระหว่าง พ.ศ.1952-1967) มีความเป็นมาอย่างสั้นๆ ดังนี้ (1.) เป็นโอรสขุนหลวงพะงั่ว (2.) เป็น “พระร่วง” ไปเมืองจีน และได้ช่างจีนทำสังคโลก (3.) เป็นกษัตริย์รัฐสุพรรณภูมิ (เมื่อขุนหลวงพะงั่วสิ้นพระชนม์) (4.) มีโอรส 3 องค์ เจ้าอ้าย, เจ้ายี่, เจ้าสาม ต่อมาเจ้าอ้าย-เจ้ายี่ชนช้างชิงราชสมบัติสิ้นชีวิตทั้งคู่ ดังนั้นเจ้าสามพระยาได้ราชสมบัติเป็นกษัตริย์อยุธยา ลำดับที่ 8
หลังเจ้านครอินทร์จากสุพรรณภูมิเสวยราชย์เป็นกษัตรย์อยุธยา (โดยการสนับสนุนของจีน) ทำให้ภาษาไทยถูกใช้ในราชสำนักอยุธยา นับเป็น “ภาษาราชการ” (ภาษาเดียว) จากนั้นแผ่อำนาจไปนอกราชสำนักถึงบ้านเมืองน้อยใหญ่ลุ่มน้ำต่างๆ เป็นต้นทางประวัติศาสตร์ไทย
ประวัติศาสตร์ประเทศชาติ
ประวัติศาสตร์ประเทศชาติของไทย ซึ่งประกอบด้วยดินแดนและผู้คนชาติพันธุ์ ชนเผ่าพื้นเมือง มีเค้าโครงต้นแบบในบางตอนพระราชดำรัส ร.5 ทรงเปิด “โบราณคดีสโมสร” เมื่อ 118 ปีที่แล้ว ดังนี้
“เราจะค้นหาข้อความเรื่องราวของประเทศสยาม ไม่ว่าเมืองใด ชาติใด วงษ์ใด สมัยใด รวบรวมเรียบเรียงขึ้นเป็นเรื่องราวของประเทศสยาม…”
“กรุงสยามเป็นประเทศที่แยกกันบางคราว รวมกันบ้างบางคราว”
“ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินผู้ที่ปกครองก็ต่างชาติกันบ้าง ต่างวงษ์กันบ้าง…”
[พระราชดำรัส ร.5 พิธีเปิด “โบราณคดีสโมสร” ที่อยุธยา เมื่อ 118 ปีที่แล้ว พ.ศ.2450 (ปลายรัชกาลก่อนสวรรคต 3 ปี)]
ประวัติศาสตร์ประเทศชาติของไทย เมื่ออยุธยาเป็นรัฐประชาชาติ ประกอบด้วยคนหลายชาติพันธุ์ชนเผ่าพื้นเมือง จิตร ภูมิศักดิ์ เคยบอกว่าเป็นเรื่องปกติที่บางสมัยชาติภาษานี้เป็นชนชั้นปกครอง แต่บางสมัยได้ชาติภาษานั้นเป็นชนชั้นปกครอง
ประวัติศาสตร์อยุธยาเป็นประวัติศาสตร์ที่คนทุกชาติพันธุ์ชนเผ่าเป็นเจ้าของ ทั้งเคยมีหุ้นส่วนในดินแดนนี้และในสังคมมาแต่โบราณ ทั้งยังมีต่อไปในอนาคต
ชีวิตในสังคมอยู่รวมกันเป็นรัฐด้วยเศรษฐกิจ-การเมือง และสังคม-วัฒนธรรม มิใช่ด้วยเชื้อชาติ เพราะเชื้อชาติไม่มีจริงในโลก แต่ถูกสร้างใหม่แล้วถูกใช้เป็นเครื่องมือล่าอาณานิคม
รัฐหรือสังคมที่รวมกันด้วยเชื้อชาติไม่เคยเป็นจริงมาก่อนในอดีต ดังนั้น ในโลกนี้ที่ผ่านมาไม่เคยมีรัฐเชื้อชาติเดียวโดดๆ ความพยายามสถาปนารัฐเชื้อชาติเดียวโดดๆ ทำให้เกิดความหายนะแก่มนุษยชาติมาแล้ว เช่น ลัทธินาซีของฮิตเลอร์สมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2
[สรุปใหม่จาก “ต้นฉบับงานเขียนเกี่ยวกับ ‘ขอม’ ของ จิตร ภูมิศักดิ์ ที่ค้นพบใหม่” เป็นภาคผนวก 1 ในหนังสือ ข้อเท็จจริงว่าด้วยชนชาติขอม ของ จิตร ภูมิศักดิ์ สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2547 หน้า 176] •
| สุจิตต์ วงษ์เทศ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022