รื้อย้ายสุสานแต้จิ๋ว กับทางเลือกที่สาม ของการอนุรักษ์และพัฒนา (จบ)

ชาตรี ประกิตนนทการ

พื้นที่ระหว่างบรรทัด | ชาตรี ประกิตนนทการ

 

รื้อย้ายสุสานแต้จิ๋ว

กับทางเลือกที่สาม

ของการอนุรักษ์และพัฒนา (จบ)

 

สุสานแต้จิ๋ว ตั้งอยู่ในพื้นที่กลุ่มสุสานวัดดอน เขตสาทร ถือเป็นกลุ่มสุสานสาธารณะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ มีพื้นที่รวมกันมากถึงราว 156 ไร่ ประกอบไปด้วย สุสานของสมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย (ซึ่งเป็นกรณีขัดแย้งปัจจุบัน), สุสานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และสุสานสมาคมไหหลำ

แต่เดิมบริเวณนี้เรียกว่า “บ้านทวาย” เพราะเคยเป็นย่านชุมชนชาวทวายหรือชาวมอญซึ่งย้ายถิ่นฐานเข้ามาอาศัยในบางกอกยุคต้นรัตนโกสินทร์

เฉพาะสุสานแต้จิ๋ว ก่อตั้งในปี พ.ศ.2442 จากการรวมเงินบริจาคของกลุ่มชาวจีนแต้จิ๋ว 474 รายชื่อ เคยมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดราว 120 ไร่

แรกเริ่มใช้วิธีการบริหารแบบสุสานในสิงคโปร์ ไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยเปิดให้ฝังศพครั้งแรกในเดือนเมษายน พ.ศ.2443

ระยะเวลามากกว่า 126 ปี สุสานผ่านความเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งการรื้อย้ายบางส่วน เปลี่ยนการใช้งาน ถูกเวนคืนทำทางด่วน ปรับพื้นที่เป็นสวนสาธารณะ ฯลฯ

โดยปัจจุบันสุสานมีพื้นที่ (เฉพาะภายในรั้ว) ประมาณ 85 ไร่

(อ่านรายละเอียดเพิ่มในวิทยานพินธ์ของ ศุภณัฐ อรุโณประโยชน์, “แนวทางการอนุรักษ์แฃละพัฒนาภูมิทัศน์สุสานจีนในเขตชั้นในกรุงเทพมหานคร” พ.ศ.2564 และ กนกวรรณ จันทร์พรหม, “การจัดการพื้นที่สาธารณะในเขตเมือง : กรณีศึกษาสุสานแต้จิ๋วกรุงเทพมหานคร” พ.ศ.2560)

แผนผังสุสานแต้จิ๋วในปัจจุบัน
ที่มา : ศุภณัฐ อรุโณประโยชน์, 2564

จากงานศึกษาของศุภณัฐ แสดงให้เห็นว่าในเขตพื้นที่ชั้นในกรุงเทพฯ ในอดีตเคยมีสุสานสาธารณะของคนจีนมากถึง 11 แห่ง แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 7 แห่ง และเกือบทั้งหมดไม่มีการดำเนินการรับศพเข้ามาฝังอีกต่อไป

ในส่วนที่หยุดดำเนินการ หลายแห่งทำการรื้อหลุมศพออกไปและปรับเปลี่ยนการใช้งาน คงเหลือเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ยังคงรักษาหลุมศพไว้ ซึ่งสุสานแต้จิ๋วเป็นหนึ่งในกรณีนี้

ปรากฏการณ์นี้ตั้งอยู่บนทัศนะที่ว่า สุสานคือสิ่งคู่ตรงข้ามกับความเป็นเมืองสมัยใหม่ การพัฒนา เศรษฐกิจ และสวยงาม ซึ่งในด้านหนึ่งก็อาจจะจริง

แต่ในอีกด้านหนึ่ง สุสานคือหลักฐานสำคัญอย่างหนึ่งในการทำความเข้าใจวิถีชีวิตของชาวจีน เพราะวัฒนธรรมความตายของชาวจีนเต็มไปด้วยความซับซ้อน ความเชื่อ และพิธีกรรมที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงมาสู่คนเป็น

ด้วยเหตุนี้ การรื้อย้ายสุสานที่เกิดมากขึ้น (ไม่เฉพาะแค่กรุงเทพฯ แต่ทั่วไปในแทบทุกเมืองใหญ่) จึงทำให้สุสานเก่าที่นับวันจะเหลือน้อยลงทุกทีๆ กลายเป็นมรดกวัฒนธรรมที่มีคุณค่ามากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุสานแต้จิ๋ว ซึ่งเป็นสุสานขนาดใหญ่ที่สุดที่หลงเหลืออยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน

สุสาน Skogskyrkog?rden สตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน
ที่มา : Wikimedia Commons

ความขัดแย้งระหว่างการอนุรักษ์และพัฒนาสุสาน เป็นเสมือนทางแยกที่ต้องเลือกว่าเราจะเดินไปทางใดทางหนึ่งเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง ผมเชื่อว่า เราสามารถสร้างทางเลือกอื่นที่ผสานความขัดแย้งนี้เข้าด้วยกันได้

ส่วนตัวเข้าใจเหตุผลเรื่องการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์นะครับ กลางย่านสาทรแบบนี้ น่าเสียดายที่จะปล่อยให้พื้นที่ไม่สร้างประโยชน์ในเชิงรายได้เลย

แต่ผมคิดว่ามีโมเดลธุรกิจมากมายที่สมาคมแต้จิ๋วฯ สามารถพัฒนาขึ้นบนรากฐานประวัติศาสตร์ของพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาให้สุสานกลับมาดำเนินการธุรกิจรับเก็บอัฐิอีกครั้ง

ชาวจีนสมัยใหม่เริ่มนิยมการเผาศพแทนการฝังมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทำให้ธุรกิจรับจัดงานศพตามประเพณีจีน ก่อนที่จะนำร่างไปเผาตามวัด และย้ายอัฐิมาเก็บรักษาไว้ในอาคารที่สร้างขึ้นเป็นการเฉพาะอย่างสวยงาม พร้อมทั้งออกแบบพื้นที่ประกอบพิธีเช็งเม้งของลูกหลานแนวใหม่ เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น และทำรายได้ไม่น้อยให้กับผู้ประกอบการ มีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จหลายแห่งทั้งในสิงคโปร์ และฮ่องกง

แม้ประเทศไทยจะเริ่มมีธุรกิจแนวนี้บ้างแล้ว แต่ยังไม่มีลักษณะครบวงจรและสวยงามมากพอ อีกทั้งมักจะอยู่ออกไปไกลจากตัวเมืองค่อนข้างมาก

ดังนั้น นี่คือช่องว่างขนาดใหญ่ที่หากสมาคมสามารถเข้ามาเติมเต็มในส่วนนี้ได้ จะทำให้สุสานแต้จิ๋วสามารถพัฒนาโมเดลธุรกิจไปพร้อมกับรักษามรดกทางวัฒนธรรมของตนเองได้

 

เมื่อสร้างเป็นอาคารแล้ว ผมอยากเสนอไปไกลกว่านั้น

สมาคมควรออกแบบพื้นที่บางส่วนของอาคารให้กลายมาเป็นศูนย์หรือหน่วยทางวิชาการที่ทำหน้าที่ศึกษาและรวบรวมข้อมูลว่าด้วย “วัฒนธรรมความตาย” ของชาวจีนโพ้นทะเลในไทย และกว้างออกไปจนถึงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ชาวจีนโพ้นทะเลมิได้เคลื่อนย้ายเข้าไทยเพียงแห่งเดียว แต่เกือบทุกประเทศในภูมิภาคนี้ทั้งเวียดนาม, สิงคโปร์, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และกัมพูชา ทั้งหมดต่างเชื่อมโยงกันทางประวัติศาสตร์ในหลายด้าน ที่อาจสะท้อนให้เราเห็นอีกมุมของมันผ่านพื้นที่สุสานของพวกเขา

ประเด็นนี้ เท่าที่ทราบ ยังไม่มีหน่วยงานหรือสถาบันใดไม่ว่าของประเทศไหนที่สนใจศึกษาเรื่องนี้จริงจัง ซึ่งหากสมาคมมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ภายใต้การสร้างความร่วมมือทางวิชาการทั้งในประเทศและนานาชาติ ทำการก่อตั้งหน่วยงานนี้ขึ้นในประเทศไทย ในพื้นที่สุสานแต้จิ๋ว เชื่อแน่ว่าจะสร้างคุณูปการต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ชาวจีนโพ้นทะเลมหาศาล

อีกทั้งยังเป็นส่วนเสริมที่ทำให้โมเดลธุรกิจสุสานแนวตั้งได้รับความเชื่อถือและเป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน

 

ในส่วนหลุมฝังศพเดิมที่ปัจจุบันมีอยู่ราว 9,900 หลุม กินอาณาบริเวณใหญ่ที่สุดของสุสาน และมีสภาพทางกายภาพที่น่ากลัวในสายตาคนทั่วไป แต่ขณะเดียวกันก็เป็นมรดกวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดของพื้นที่

ผมอยากเสนอให้สมาคมลองพิจารณาการปรับภูมิทัศน์ของสุสานชาวคริสต์ทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึงสุสานชาวจีนในประเทศสิงคโปร์เป็นตัวอย่าง ซึ่งหลายแห่งมีสภาพเงียบสงบ สวยงาม และกลายเป็นพื้นที่ที่คนทั่วไปอยากเดินทางมาเยี่ยมชม

Skogskyrkog?rden สุสานในเมืองสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน คือตัวอย่างชิ้นเยี่ยมที่อยากเอามาเล่าเป็นตัวอย่าง

ตัวสุสานสร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ.2460-2463 บนพื้นที่ซึ่งเคยเป็นบ่อกรวดเก่า และมีต้นสนขึ้นปกคลุม โดยในการออกแบบ สถาปนิกตั้งใจผสมผสานระหว่างพืชพรรณธรรมชาติกับองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ที่ สงบ สวยงาม ภายใต้แรงบันดาลใจจากแบบแผนการฝังศพโบราณและในยุคกลางของชาวนอร์ดิก จนกลายเป็นต้นแบบให้สุสานอีกหลายแห่งต่อมา และในที่สุดได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ.2537

สุสานแต้จิ๋วมีศักยภาพที่จะปรับภูมิทัศน์ให้สงบ สวยงาม และดึงดูดผู้คนให้มาเยี่ยมชมได้ในแบบเดียวกัน ความเก่าแก่ของสุสานก็มากกว่า คุณค่าทางประวัติศาสตร์ก็ไม่แพ้กัน อีกทั้งปัจจุบันสุสานก็เปิดให้เป็นสวนสาธารณะอยู่แล้ว

ดังนั้น หากมีการออกแบบอย่างเหมาะสมภายใต้วิสัยทัศน์ที่มองไปในอนาคตอันยาวไกล เพิ่มต้นไม้ใหญ่ให้มากขึ้น ทำทางเดินเท้าและที่นั่งพักแทรกเข้าไป ฯลฯ

ผมเชื่อว่า พื้นที่ใหญ่โตและเต็มไปด้วยหลุมศพจะเปลี่ยนกลายมาเป็น “สวนสาธารณะประวัติศาสตร์” ที่มีลักษณะเฉพาะตัวโดดเด่นไม่เหมือนใคร ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องย้ายหลุมศพออกเพื่อสร้างเป็นสวนสาธารณะดาดๆ ไร้เอกลักษณ์แบบที่ใครๆ เขาก็ทำกัน

นอกจากนี้ ภายใต้การปรับภูมิทัศน์ครั้งใหญ่ หลุมศพมากมายที่ยังไม่ได้รับการศึกษาค้นคว้าทั้งในแง่ประวัติ รูปแบบศิลปกรรม และตัวอักษรที่จารึกบนหลุม ก็ควรเริ่มต้นเก็บข้อมูลพร้อมไปกับการจัดตั้งศูนย์ศึกษาวัฒนธรรมความตายชาวจีนโพ้นทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามที่กล่าวไปก่อนหน้านี้

หากทำได้จริง ผมเชื่อว่าสุสานแต้จิ๋วในอนาคตก็มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับการยอมรับในระดับสากลเช่นเดียวกับ Skogskyrkog?rden

 

ข้อเสนอทั้งหมด เป็นเพียงหนึ่งในความเป็นไหปได้หลายแนวทางที่สุสานแต้จิ๋วสามารถนำไปต่อยอดสู่อนาคตได้ เป็นทั้งวิธีการที่สามารถเพิ่มผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ให้กับสมาคม แม้อาจจะไม่สูงมากเท่าปล่อยพื้นที่ให้นักลงทุนมาทำคอนโดมิเนียม โรงแรม ห้างสรรพสินค้า หรืออาคารสำนักงาน แต่ก็น่าจะสูงเพียงพอที่จะทำให้การดูแลสุสานแต้จิ๋วไม่เป็นภาระแก่สมาคม

ขณะเดียวกันก็สามารถรักษามรดกทางวัฒนธรรมฮวงซุ้ยแบบโบราณของชาวจีนโพ้นทะเล และรักษาปณิธานของผู้ก่อตั้งรุ่นบุกเบิกเอาไว้ได้ ซึ่งในอนาคตหลายสิบปีหรือร้อยปีข้างหน้า ภายใต้กระแสรื้อทำลายสุสานชาวจีนในเมืองใหญ่ทั่วโลก สุสานแต้จิ๋ว สาทร อาจจะกลายเป็นเพียงหนึ่งในสุสานเก่าไม่กี่แห่งที่หลงเหลืออยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เป็นได้

หากนายกสมาคมแต้จิ๋วฯ ได้อ่านบทความนี้ และยังคิดว่าข้อเสนอนี้เป็นเรื่องตลกที่ไม่มีวันเกิดขึ้นได้จริงในโลกทุนนิยมปัจจุบัน ผมก็เข้าใจได้นะครับ แต่อย่างน้อย ก็อยากเรียกร้องให้ท่านหยุดคิดสักนิด และเปิดพื้นที่ให้กับลูกหลานที่มีร่างบรรพบุรุษฝังอยู่ในสุสาน ตลอดจนภาคประชาสังคมอื่นๆ ได้ลองเสนอ “ทางเลือกที่สาม” ในการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่ให้แก่ท่านรับฟังดูบ้าง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป