ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ยานยนต์ |
ผู้เขียน | สันติ จิรพรพนิต |
เผยแพร่ |
ถือว่าไม่นานเกินรอสำหรับสาวกเครื่องยนต์ “อี-เพาเวอร์” กับการใส่มาในรถเอ็มพีวี “นิสสัน เซเรน่า”
“เซเรน่า” รถยนต์เอ็มพีวี 7 ที่นั่ง เปิดตัวครั้งแรกในไทยเมื่องานมอเตอร์เอ็กซ์โป ปลายปี 2567
ครานั้นมากับขุมพลัง “S-Hybrid” ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในไทยและทั่วโลก
โดยเฉพาะคนที่ยังไม่พร้อมจะไปเล่นรถพลังงานไฟฟ้า หรืออีวี
ด้วยข้อจำกัดในเรื่องการเดินทาง เวลาชาร์จ หรือที่พักอาศัยซึ่งอาจไม่สะดวกกับการติดตั้งวอลล์บ็อกซ์
นิสสันจึงส่งรุ่น “S-Hybrid” มาชิมลางก่อน ปรากฏว่ายอดขายทำได้น่าพอใจ
จึงเร่งเครื่องส่งรุ่นอี-เพาเวอร์ เข้ามาต่อยอดความสำเร็จ
แถมยังเป็นเครื่องยนต์ที่คนไทยคุ้นเคยและเรียกร้องไม่น้อย เพราะได้อารมณ์ไม่ต่างจากการขับรถอีวี แต่ไม่ต้องไปรอชาร์จหากต้องเดินทางไกล
“นิสสัน เซเรน่า อี-เพาเวอร์” จุดเด่นที่สุดคือการขับเคลื่อน แรงส่งหลักมาจากมอเตอร์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง ให้พลังสูงถึง 163 แรงม้า ให้แรงบิด 315 นิวตันเมตร
แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 1.77 kWH
ส่วนเครื่องยนต์มีหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าเท่านั้น จึงใช้บล็อกเล็กลง เป็นเครื่องสันดาปภายในใหม่ ความจุ 1.4 ลิตร 3 สูบ ไดเร็กอินเจ็กชั่น รองรับน้ำมัน E10
พัฒนามาสำหรับเทคโนโลยี อี-เพาเวอร์ โดยตรง ให้ประสิทธิภาพสูงในการสร้างกระแสไฟฟ้า
เหนือชั้นขึ้นไปอีกด้วยเทคโนโลยี Mirror Bore Coating ช่วยลดแรงเสียดทานและลดเสียงจากการสั่นสะเทือน
เน้นให้เครื่องยนต์เดินเรียบและเงียบมากขึ้น ซึ่งความเงียบเป็นอีกจุดเด่นของรถยนต์ไฟฟ้า
นอกเหนือไปจากอัตราเร่งที่แรงตั้งแต่ออกตัว อันเป็นคุณสมบัติเฉพาะของรถยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี
เรียกว่านิสสันพยายามพัฒนาเครื่องยนต์ ซึ่งมีหน้าที่หลักใช้ปั่นไฟให้ทำงานได้ใกล้เคียงกับรถอีวีมากที่สุด
ระบบคันเร่งอัจฉริยะ อี-เพดัล สเต็ป (e-Pedal Step) เลือกเปิดการใช้งานได้อย่างอิสระ ให้ความสะดวกในการเร่งและชะลอความเร็วได้ในคันเร่งเดียว
สะดวกสบายเมื่อต้องขับขี่ในเมืองหรือในช่วงการจราจรคับคั่ง
ทั้งมีข้อดีสามารถช่วยเพิ่มการฟื้นฟูพลังงาน ด้วยการชาร์จกระแสไฟฟ้ากลับเข้าแบตเตอรี่ได้ดีมากขึ้น
มีรูปแบบการขับขี่ 3 โหมดหลัก ได้แก่ Standard mode ที่ให้ทั้งความแรงและประหยัด
Sport mode ที่เน้นการตอบสนองรวดเร็ว ขับสนุกสไตล์สปอร์ต
และ Eco Mode ที่เน้นการประหยัดพลังงาน
มีฟังก์ชั่น B ที่เพิ่มแรงหน่วงหรือช่วยเบรก และเพิ่มการฟื้นฟูพลังงาน หรือ Regenerative
รวมถึง EV mode ให้รถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนๆ
โหมดนี้ให้ทั้งความประหยัดมากขึ้น และเงียบขึ้นไม่ต่างจากรถอีวี
ฟีเจอร์ใหม่ที่เสริมเข้ามา คือปุ่มกดสำหรับเลือกตำแหน่งเกียร์ แทนการปรับคันเกียร์อย่างที่คุ้นเคย
เน้นดีไซน์เรียบง่าย สะอาดตา ใช้งานง่าย มีไฟเรืองแสงช่วยให้เห็นชัดเจน
รวมถึง “N Hold Mode” หรือปุ่มเกียร์ว่างเวลาจอดซ้อนคัน สามารถเข็นเดินหน้า-ถอยหลังได้
รวมถึงเบรกมือไฟฟ้า พร้อม Auto Brake Hold เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน
ภาพลักษณ์ใช้แนวคิด “Big Easy Fun”
ความใหญ่ (Big) จากห้องโดยสารที่กว้างที่สุดในกลุ่มรถแบบเดียวกัน กระจกบานใหญ่รอบคันเพิ่มทัศนวิสัย
ความง่ายในทุกการใช้งาน (Easy) จากประตูสไลด์อัตโนมัติแบบแฮนด์ฟรีทั้ง 2 ด้าน และฝาท้ายอเนกประสงค์แบบ Dual Back Door หนึ่งเดียวในตลาดรถยนต์เอ็มพีวี ที่เปิดได้ทั้งแบบเต็มบาน และครึ่งบาน
ความสนุก (Fun) จากความอเนกประสงค์ในการปรับที่นั่งได้ถึง 13 รูปแบบ
ภายนอกดูโฉบเฉี่ยวมากขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด
กระจังหน้าดีไซน์ Next Generation V-Motion
ไฟหน้าฝังกลืนไปกันกระจังแบบ LED โปรเจ็กเตอร์ เปิด-ปิดและปรับระดับอัตโนมัติ
กันชนหน้า และหลัง ดีไซน์สปอร์ตพร้อมสเกิร์ตในตัว
สปอยเลอร์หลังคาและด้านข้างช่วยลดเสียงรบกวนขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง
กระจกบานหน้าและหน้าต่างประตูคู่หน้า เป็นแบบ Acoustic Glass หนา 2 ชั้น ช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอก
ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้วสีทูโทน
ห้องโดยสารทันสมัยสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์คนยุคดิจิทัล
พวงมาลัย 3 ก้านทรงท้ายตัด พร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น
หน้าจอ TFT 12.3 นิ้ว ความละเอียดสูงพร้อมกราฟิกเคลื่อนไหว 3 มิติ สามารถเลือกการแสดงผลหน้าจอตามต้องการ
หน้าจอทัชสกรีน 12.3 นิ้ว เลือกแสดงผลเป็นภาษาไทยได้ พร้อมระบบ Nissan Connect
รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย
มีปุ่ม Camera สำหรับระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง
ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ 3 โซน พร้อมระบบฟอกอากาศ Plasmacluster ช่วยลดฝุ่น PM 2.5
เบาะนั่งหุ้มหนังสีดำทั้ง 3 แถว ใช้โครงสร้าง Zero Gravity เน้นความสบายขณะเดินทาง
เบาะแถว 2 แบบ Captain Seat สามารถปรับแยกได้อย่างอิสระ พร้อมโต๊ะอเนกประสงค์แบบพับได้
เบาะแถว 3 สามารถปรับเอนและพับเก็บได้เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุก
มีพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่พร้อมช่องเก็บของใต้พื้นที่ด้านหลัง
ที่วางแก้วมากถึง 17 จุด
ช่องชาร์จ USB-C ทุกแถวที่นั่ง รวมทั้งยังมีช่องชาร์จแบบ Type A ในที่นั่งแถวหน้า และรองรับการชาร์จแบบไร้สาย
เทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงรอบคัน 360 องศา Nissan Safety Shield พร้อมระบบป้องกันและปกป้องเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
อาทิ ระบบเตือนก่อนการชนด้านหน้า ที่สามารถตรวจจับรถยนต์ด้านหน้าได้ถึง 2 คัน
ระบบสัญญาณแจ้งหยุดฉุกเฉินอัตโนมัติ ขณะเบรกกะทันหัน
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ ปรับเปลี่ยนความเร็วตามรถคันหน้าจนถึงหยุดนิ่ง
ระบบป้องกันการชนรถในจุดอับสายตา
ระบบล็อกรถอัตโนมัติ Walk-Away Door Lock พร้อมระบบปลดล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมตเข้าใกล้ตัวรถ เป็นต้น
“นิสสัน เซเรน่า อี-เพาเวอร์ ใหม่” ราคา 1,690,000 บาท •
ยานยนต์ สุดสัปดาห์ | สันติ จิรพรพนิต
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022