‘นิสสัน เซเรน่า อี-พาวเวอร์ ใหม่’ ขับขี่เหมือนรถไฟฟ้า-ไม่ต้องรอชาร์จ

สันติ จิรพรพนิต

ถือว่าไม่นานเกินรอสำหรับสาวกเครื่องยนต์ “อี-เพาเวอร์” กับการใส่มาในรถเอ็มพีวี “นิสสัน เซเรน่า”

“เซเรน่า” รถยนต์เอ็มพีวี 7 ที่นั่ง เปิดตัวครั้งแรกในไทยเมื่องานมอเตอร์เอ็กซ์โป ปลายปี 2567

ครานั้นมากับขุมพลัง “S-Hybrid” ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในไทยและทั่วโลก

โดยเฉพาะคนที่ยังไม่พร้อมจะไปเล่นรถพลังงานไฟฟ้า หรืออีวี

ด้วยข้อจำกัดในเรื่องการเดินทาง เวลาชาร์จ หรือที่พักอาศัยซึ่งอาจไม่สะดวกกับการติดตั้งวอลล์บ็อกซ์

นิสสันจึงส่งรุ่น “S-Hybrid” มาชิมลางก่อน ปรากฏว่ายอดขายทำได้น่าพอใจ

จึงเร่งเครื่องส่งรุ่นอี-เพาเวอร์ เข้ามาต่อยอดความสำเร็จ

แถมยังเป็นเครื่องยนต์ที่คนไทยคุ้นเคยและเรียกร้องไม่น้อย เพราะได้อารมณ์ไม่ต่างจากการขับรถอีวี แต่ไม่ต้องไปรอชาร์จหากต้องเดินทางไกล

“นิสสัน เซเรน่า อี-เพาเวอร์” จุดเด่นที่สุดคือการขับเคลื่อน แรงส่งหลักมาจากมอเตอร์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง ให้พลังสูงถึง 163 แรงม้า ให้แรงบิด 315 นิวตันเมตร

แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 1.77 kWH

ส่วนเครื่องยนต์มีหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าเท่านั้น จึงใช้บล็อกเล็กลง เป็นเครื่องสันดาปภายในใหม่ ความจุ 1.4 ลิตร 3 สูบ ไดเร็กอินเจ็กชั่น รองรับน้ำมัน E10

พัฒนามาสำหรับเทคโนโลยี อี-เพาเวอร์ โดยตรง ให้ประสิทธิภาพสูงในการสร้างกระแสไฟฟ้า

เหนือชั้นขึ้นไปอีกด้วยเทคโนโลยี Mirror Bore Coating ช่วยลดแรงเสียดทานและลดเสียงจากการสั่นสะเทือน

เน้นให้เครื่องยนต์เดินเรียบและเงียบมากขึ้น ซึ่งความเงียบเป็นอีกจุดเด่นของรถยนต์ไฟฟ้า

นอกเหนือไปจากอัตราเร่งที่แรงตั้งแต่ออกตัว อันเป็นคุณสมบัติเฉพาะของรถยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี

เรียกว่านิสสันพยายามพัฒนาเครื่องยนต์ ซึ่งมีหน้าที่หลักใช้ปั่นไฟให้ทำงานได้ใกล้เคียงกับรถอีวีมากที่สุด

 

ระบบคันเร่งอัจฉริยะ อี-เพดัล สเต็ป (e-Pedal Step) เลือกเปิดการใช้งานได้อย่างอิสระ ให้ความสะดวกในการเร่งและชะลอความเร็วได้ในคันเร่งเดียว

สะดวกสบายเมื่อต้องขับขี่ในเมืองหรือในช่วงการจราจรคับคั่ง

ทั้งมีข้อดีสามารถช่วยเพิ่มการฟื้นฟูพลังงาน ด้วยการชาร์จกระแสไฟฟ้ากลับเข้าแบตเตอรี่ได้ดีมากขึ้น

มีรูปแบบการขับขี่ 3 โหมดหลัก ได้แก่ Standard mode ที่ให้ทั้งความแรงและประหยัด

Sport mode ที่เน้นการตอบสนองรวดเร็ว ขับสนุกสไตล์สปอร์ต

และ Eco Mode ที่เน้นการประหยัดพลังงาน

มีฟังก์ชั่น B ที่เพิ่มแรงหน่วงหรือช่วยเบรก และเพิ่มการฟื้นฟูพลังงาน หรือ Regenerative

รวมถึง EV mode ให้รถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนๆ

โหมดนี้ให้ทั้งความประหยัดมากขึ้น และเงียบขึ้นไม่ต่างจากรถอีวี

ฟีเจอร์ใหม่ที่เสริมเข้ามา คือปุ่มกดสำหรับเลือกตำแหน่งเกียร์ แทนการปรับคันเกียร์อย่างที่คุ้นเคย

เน้นดีไซน์เรียบง่าย สะอาดตา ใช้งานง่าย มีไฟเรืองแสงช่วยให้เห็นชัดเจน

รวมถึง “N Hold Mode” หรือปุ่มเกียร์ว่างเวลาจอดซ้อนคัน สามารถเข็นเดินหน้า-ถอยหลังได้

รวมถึงเบรกมือไฟฟ้า พร้อม Auto Brake Hold เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน

ภาพลักษณ์ใช้แนวคิด “Big Easy Fun”

ความใหญ่ (Big) จากห้องโดยสารที่กว้างที่สุดในกลุ่มรถแบบเดียวกัน กระจกบานใหญ่รอบคันเพิ่มทัศนวิสัย

ความง่ายในทุกการใช้งาน (Easy) จากประตูสไลด์อัตโนมัติแบบแฮนด์ฟรีทั้ง 2 ด้าน และฝาท้ายอเนกประสงค์แบบ Dual Back Door หนึ่งเดียวในตลาดรถยนต์เอ็มพีวี ที่เปิดได้ทั้งแบบเต็มบาน และครึ่งบาน

ความสนุก (Fun) จากความอเนกประสงค์ในการปรับที่นั่งได้ถึง 13 รูปแบบ

ภายนอกดูโฉบเฉี่ยวมากขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด

กระจังหน้าดีไซน์ Next Generation V-Motion

ไฟหน้าฝังกลืนไปกันกระจังแบบ LED โปรเจ็กเตอร์ เปิด-ปิดและปรับระดับอัตโนมัติ

กันชนหน้า และหลัง ดีไซน์สปอร์ตพร้อมสเกิร์ตในตัว

สปอยเลอร์หลังคาและด้านข้างช่วยลดเสียงรบกวนขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง

กระจกบานหน้าและหน้าต่างประตูคู่หน้า เป็นแบบ Acoustic Glass หนา 2 ชั้น ช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอก

ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้วสีทูโทน

ห้องโดยสารทันสมัยสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์คนยุคดิจิทัล

พวงมาลัย 3 ก้านทรงท้ายตัด พร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น

หน้าจอ TFT 12.3 นิ้ว ความละเอียดสูงพร้อมกราฟิกเคลื่อนไหว 3 มิติ สามารถเลือกการแสดงผลหน้าจอตามต้องการ

หน้าจอทัชสกรีน 12.3 นิ้ว เลือกแสดงผลเป็นภาษาไทยได้ พร้อมระบบ Nissan Connect

รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย

มีปุ่ม Camera สำหรับระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ 3 โซน พร้อมระบบฟอกอากาศ Plasmacluster ช่วยลดฝุ่น PM 2.5

เบาะนั่งหุ้มหนังสีดำทั้ง 3 แถว ใช้โครงสร้าง Zero Gravity เน้นความสบายขณะเดินทาง

เบาะแถว 2 แบบ Captain Seat สามารถปรับแยกได้อย่างอิสระ พร้อมโต๊ะอเนกประสงค์แบบพับได้

เบาะแถว 3 สามารถปรับเอนและพับเก็บได้เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุก

มีพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่พร้อมช่องเก็บของใต้พื้นที่ด้านหลัง

ที่วางแก้วมากถึง 17 จุด

ช่องชาร์จ USB-C ทุกแถวที่นั่ง รวมทั้งยังมีช่องชาร์จแบบ Type A ในที่นั่งแถวหน้า และรองรับการชาร์จแบบไร้สาย

 

เทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงรอบคัน 360 องศา Nissan Safety Shield พร้อมระบบป้องกันและปกป้องเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

อาทิ ระบบเตือนก่อนการชนด้านหน้า ที่สามารถตรวจจับรถยนต์ด้านหน้าได้ถึง 2 คัน

ระบบสัญญาณแจ้งหยุดฉุกเฉินอัตโนมัติ ขณะเบรกกะทันหัน

ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ ปรับเปลี่ยนความเร็วตามรถคันหน้าจนถึงหยุดนิ่ง

ระบบป้องกันการชนรถในจุดอับสายตา

ระบบล็อกรถอัตโนมัติ Walk-Away Door Lock พร้อมระบบปลดล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมตเข้าใกล้ตัวรถ เป็นต้น

“นิสสัน เซเรน่า อี-เพาเวอร์ ใหม่” ราคา 1,690,000 บาท •

 

ยานยนต์ สุดสัปดาห์ | สันติ จิรพรพนิต

[email protected]