ผ้าไทยในอดีต (2)

ญาดา อารัมภีร
ภาพจากเฟสบุ๊ก: ผนังเก่าเล่าเรื่อง (Sippavish Boonyapornpaviz)

วรรณคดีสมัยสุโขทัยเรื่อง “ไตรภูมิพระร่วง” เล่าถึงพระเจ้าอโศกมหาราช (จุลจักรพรรดิราช) ว่า

“ทั้งฝูงเทพยดาอันอยู่ในน้ำพระสมุทร ก็ย่อมเอาแก้วแหวนเงินทองทั้งหลายมาถวาย แลฝูงนาคราชทั้งหลายเอาผ้าอันงามดั่งดอกชาติบุตรอันบริสุทธิ์บ่มิได้ระคนด้วยด้ายไทย แล้วด้วยไหมเทศวิเศษดั่งผ้าทิพย์ เอามาถวายให้ห่มแลแต่งรองพระองค์”

คำว่า ‘ไหมเทศ’ ที่ใช้ทำ “ผ้าวิเศษดั่งผ้าทิพย์” ชวนให้คิดว่าไทยน่าจะมีการติดต่อกับต่างประเทศแล้วตั้งแต่สมัยสุโขทัย (คำว่า ‘เทศ’ หมายถึง ต่างประเทศ)

ซึ่งก็ไม่แปลก เนื่องจากศิลาจารึกหลักที่ 1 มีข้อความว่า “เบื้องตีนนอนเมืองสุโขทัยนี้มีตลาดปสาน” คำว่า ‘ปสาน’ ไม่ใช่คำไทย กรณีแรกสันนิษฐานกันว่ามาจากคำ ‘พฺสาร’ ในภาษาเขมร กรณีหลังมาจากคำว่า ‘บาซาร์’ ในภาษาเปอร์เซีย ถึงจะมาจากภาษาไหนก็ไม่สำคัญ เพราะทั้ง ‘พฺสาร’ และ ‘บาซาร์’ มีความหมายครือๆ กัน หมายถึง ตลาด หรือที่ขายของนั่นเอง

‘ตลาดปสาน’ ในที่นี้ คงจะเป็นตลาดประจำสำหรับชาวประชาสมัยสุโขทัยซื้อขายสินค้ากัน

อีกทั้งจารึกนี้ยังมีข้อความระบุว่า “เมื่อชั่วพ่อขุนรามคำแหง เมืองสุโขทัยนี้ดี ในน้ำมีปลา ในนามีเข้า เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ ลูท่างเพื่อนจูงวัวไปค้าขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้าง ค้า ใครจักใคร่ค้าม้า ค้า ใครจักใคร่ค้าเงือนค้าทอง ค้า ไพร่ฟ้าหน้าใส” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)

จะเห็นได้ว่าการไม่เก็บ ‘จกอบ’ (จังกอบ) หรือภาษีผ่านด่านในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็นแรงจูงใจสำคัญที่มีส่วนทำให้การค้าขายขยายขอบเขตกว้างไกลออกไป แทนที่จะค้าขายเฉพาะคนในเมืองสุโขทัยด้วยกันเท่านั้น ก็ค้าขายกับคนต่างเมือง คนต่างชาติต่างภาษา สามารถซื้อขายสินค้าสารพัดชนิดได้ตามต้องการ

กรณีที่มีสินค้าจำพวกเดียวกัน เพื่อให้เห็นความแตกต่างก็ใช้คำว่า ‘ไทย’ และ ‘เทศ’ กำกับท้ายสินค้านั้นๆ ก็จะรู้ทันทีว่าเป็นของไทยหรือของเทศ เช่น ด้ายไทย – ไหมเทศ

 

ไม่ต่างจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงเล่าถึงอาหารแขกชนิดหนึ่งไว้ใน “กาพย์เห่ชมเครื่องคาว” วรรณคดีสมัยรัตนโกสินทร์ว่า

“๏ เข้าหุงปรุงอย่างเทศ รสพิเศษใส่ลูกเอ็น

ใครหุงปรุงไม่เป็น เช่นเชิงมิตรประดิษฐ์ทำ ฯ” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)

ศาสตราจารย์ ดร.รื่นฤทัย สัจจพันธุ์ (ราชบัณฑิต) อธิบายว่า “เทศ หมายความว่า ต่างประเทศ ในที่นี้ ‘ข้าวเทศ’ หมายถึง ข้าวหุงใส่เครื่องเทศแบบแขก คนไทยเรียก กะบูลี หรือข้าวบูลี และกลายเป็น ข้าวบุหรี่ (ข้าวหมกไก่) ซึ่งมาจากคำว่า Cabul ในภาษามลายู”

ส่วน ‘ลูกเอ็น’ ที่ใส่ในข้าวชนิดนี้ “พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน” ให้ความหมายว่า ลูกกระวานเทศ ที่เขียนว่า ‘ลูกเอ็น’ นั้น ศาสตราจารย์ ดร.กุสุมา รักษมณี (ราชบัณฑิต) อธิบายว่า “เครื่องเทศชนิดนี้ แขกมุสลิมจะเรียกว่า ‘ลูกเฮ้ล’ แต่แขกฮินดูจะเรียกว่า ‘ลูกเอลา’ ดังนั้น การที่คนไทยออกเสียงแบบไทยว่า ‘ลูกเอ็น’ คงจะออกเสียงตามแขกฮินดู” (หนังสือกาพย์เห่เรือ จากสมัยอยุธยาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช)

นอกจากนี้ใน “กาพย์เห่ชมเครื่องหวาน” แม้รัชกาลที่ 2 จะมิได้ทรงใช้คำว่า ‘ไหมเทศ’ เหมือนในศิลาจารึกหลักที่ 1 แต่น่าสังเกตว่าวัสดุที่สตรีสมัยนั้นใช้ในการเย็บปักถักร้อย คือ ‘ไหมจีน’ ซึ่งเป็น ‘ไหมเทศ’ เช่นกัน

“๏ ฝอยทองเป็นยองใย เหมือนเส้นไหมไข่ของหวาน

คิดความยามเยาวมาลย์ เย็บชุนใช้ไหมทองจีน”

(ความหมายคือ ลักษณะและสีสันของ ‘ฝอยทอง’ ช่างเหมือนเส้นไหมยิ่งนัก ทำให้คิดถึงนางผู้เป็นที่รักใช้ไหมทองของจีนเย็บชุนผ้า)

 

จากสมัยรัตนโกสินทร์ลองย้อนกลับไปพิจารณาข้อความในศิลาจารึกหลักที่ 1 สมัยสุโขทัยอีกครั้ง ตอนกล่าวถึงพระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ได้รับยกย่องว่าเป็น ‘จุลจักรพรรดิราช’

“แลฝูงนาคราชทั้งหลายเอาผ้าอันงามดั่งดอกชาติบุตรอันบริสุทธิ์บ่มิได้ระคนด้วยด้ายไทย แล้วด้วยไหมเทศวิเศษดั่งผ้าทิพย์ เอามาถวายให้ห่มแลแต่งรองพระองค์”

จะเห็นได้ว่าพระมหาธรรมราชาที่ 1 หรือพญาลิไทย ผู้ทรงพระราชนิพนธ์ไตรภูมิพระร่วง ทรงแบ่งแยกอย่างชัดเจนระหว่าง ‘ด้ายไทย’ กับ ‘ไหมเทศ’ ว่าผ้าที่นาคทั้งหลายถวายพระเจ้าอโศกมหาราชนั้น ‘บ่มิได้ระคนด้วยด้ายไทย’ แต่ ‘แล้วด้วยไหมเทศ’ นั่นคือทอผ้านี้ด้วยไหมเทศล้วนๆ ไม่มีด้ายไทยมาปะปนเลย

ผู้เขียนลองคิดดูเล่นๆ ว่า เป็นไปได้ไหมที่ในรัชสมัยของพระองค์ อาณาจักรสุโขทัยยังไม่มี ‘ไหมไทย’ ใช้ทอผ้าไหมอย่างในสมัยปัจจุบัน

ช่วงเวลานั้นอาจจะมีเพียงวัสดุพื้นๆ อย่าง ‘ด้ายไทย’ ใช้กันทั่วไป จึงต้องนำ ‘ไหมเทศ’ วัสดุคุณภาพดีมีราคาแพงจากต่างประเทศ มาสร้างสรรค์ผ้าที่วิเศษเหมือนผ้าทิพย์ให้สมพระเกียรติพระเจ้าอโศกมหาราชผู้มิใช่กษัตริย์ทั่วไป ทรงเป็นถึง ‘จุลจักรพรรดิราช’ ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ทั้งหลาย

แต่คิดอย่างนั้นดูจะขัดแย้งกับ “บันทึกของโจวต้ากวาน” พ.ศ.1839 ที่ว่า

“ชาวเสียน (คนจีนสมัยนั้นเรียกคนไทยว่า ‘เสียน’) ใช้ไหมทอเป็นผ้าแพรบางๆ สีดำ ใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม ผู้หญิงเสียนนั้นเย็บชุนเป็น” (แพร คือ ผ้าที่มีเนื้อลื่น เรียบเป็นมัน เนื้อหนาหรือบางก็ได้ เดิมทอด้วยใยไหม – พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน)

ข้อความในบันทึกชาวจีนยืนยันว่าคนไทยสมัยสุโขทัยนอกจากทอผ้าไหมได้ ยังเย็บผ้าได้ดี มีเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายทำจากไหมใช้กันอย่างแพร่หลาย

ผู้เขียนสงสัยตงิดๆ ว่าถ้าคนไทยสมัยสุโขทัยมีไหมใช้ทอผ้าอย่างที่จีนบันทึกไว้ ทำไม “ไตรภูมิพระร่วง” ตอนนี้ถึงได้ระบุไว้ชัดเจนว่า ผ้าที่บรรดานาคถวายพระเจ้าอโศกมหาราช “บ่มิได้ระคนด้วยด้ายไทย” แต่ “แล้วด้วยไหมเทศ”

ตรงนี้ถ้ามิได้เป็นเพราะว่า คนสมัยสุโขทัยมีแต่ด้ายไทยใช้กัน ยังไม่มีไหมไทย ก็น่าจะพออนุมานได้ว่า คนไทยสมัยนั้นถึงจะมีไหมใช้แล้วอย่างที่จีนบันทึกไว้

เพียงแต่ไหมที่ไทยใช้อาจไม่มีคุณภาพเท่าไหร่นัก หรือไหมที่ใช้ในสมัยนั้นอาจไม่ใช่ไหมของไทย เป็นไหมของชนชาติอื่นที่ได้มาจากการติดต่อค้าขายกันก็เป็นได้

คำว่า ‘ด้ายไทย’ และ ‘ไหมเทศ’ ในที่นี้จึงดูราวกับเป็นการแบ่งชั้นถึงคุณสมบัติของวัสดุที่สมควรจะใช้ทอผ้าสำคัญดังกล่าว

 

จําได้ว่านานมาแล้วผู้เขียนเคยอ่านหนังสือเล่มเล็กๆ บางๆ เล่มหนึ่ง เป็นหนังสืออนุสรณ์งานศพที่คุณพ่อคุณแม่เก็บสะสมไว้ เรื่อง “เสด็จประพาสจันทบุรี” พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

เป็นเรื่องราวโดยละเอียดเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ การทำมาหากิน สินค้าต่างๆ ของจันทบุรี เมืองที่มีผู้คนหลายเชื้อชาติทั้งไทย จีน ญวนอาศัยอยู่รวมๆ กัน

เสียเวลาหาหนังสือเล่มนี้สองวันเต็มๆ แต่ก็คุ้มค่าคุ้มเหนื่อย เพราะทำให้รู้ถึงวัสดุสำหรับทอผ้า อาทิ ด้ายและไหมที่ใช้ในสมัยรัชกาลที่ 5 ตั้งแต่ ‘ด้ายเทศ’ ไปจนถึง ‘ไหมเทศ’ ที่มีทั้งไหมจีน ไหมญวน คุณภาพแตกต่างกัน

ดังที่รัชกาลที่ 5 ทรงเล่าว่า

“ผ้าพื้น ผ้าห่อหมาก ผ้าอาบน้ำ แลแพรนุ่งนั้น พวกผู้หญิงทอที่เมืองจันทบุรี เมืองแกลง เมืองขลุง โดยมาก ใช้ด้ายเทศย้อมสีต่างๆ ทอเปนผ้าพื้นบ้าง ผ้าตาสมุกบ้าง แลผ้าราชวัตรบ้าง มีฝีมือดีกว่าที่กรุงเทพฯ แพรนุ่งนั้นใช้ไหมจีนไหมญวน ทอเปนผ้าไหมบ้าง ด้ายแกมไหมบ้าง เปนแพรเนื้อดีใช้ทนกว่าแพรเมืองจีน ราคาอย่างดีผืนละ ๒๐ บาท อย่างเลว ๘ บาทบ้าง ๖ บาทบ้าง ด้ายแกมไหมผืนละ ๔ บาท แต่ผ้าพื้นนั้นออกจากเมืองปีหนึ่งเพียง ๒๐๐ ผืน ๓๐๐ ผืน ราคาผืนละกึ่งตำลึง แต่ใช้ในพื้นเมืองมาก ด้วยราษฏรในพื้นเมืองนุ่งผ้าพื้นทั้งนั้น ไม่เห็นมีใครนุ่งผ้าลายเลย”

(อักขรวิธีตามต้นฉบับ)

 

น่าสังเกตว่ารัชกาลที่ 5 ไม่ทรงเอ่ยถึงด้ายไทยไหมไทย เอ่ยแต่ ‘ด้ายเทศ ไหมจีน ไหมญวน’ ซึ่งอาจจะมีคุณภาพดีกว่าหรือเป็นที่นิยมมากกว่าด้ายไทยไหมไทย

แม้แต่คำว่า ‘ด้ายแกมไหม’ ที่ใช้ทอเป็นผ้านั้นก็น่าจะใช้ ‘ด้ายเทศ’ ร่วมกับ ‘ไหมเทศ’ เช่น ไหมจีนไหมญวนเสียมากกว่า เนื่องจากทรงเอ่ยนำมาก่อนว่าผู้หญิงที่จันทบุรี เมืองแกลง เมืองขลุง โดยมาก ใช้ ‘ด้ายเทศย้อมสีต่างๆ’ ทอผ้าพื้น ผ้าตาสมุก และผ้าราชวัตร

ทั้งยังทรงชมเชยฝีมือทอผ้าด้วยว่า “มีฝีมือดีกว่าที่กรุงเทพฯ”

ต่อจากนั้นทรงให้รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการทอผ้า แทนที่จะใช้ ‘ไหม’ เท่านั้นอย่างที่เคยทำๆ กันมา ก็ปรับเปลี่ยนใช้วัสดุต่างชนิดผสมผสานกัน เช่น ‘ด้าย’ และ ‘ไหม’

ดังที่ทรงเล่าว่า “แพรนุ่งนั้นใช้ไหมจีนไหมญวน ทอเปนผ้าไหมบ้าง ด้ายแกมไหมบ้าง เปนแพรเนื้อดีใช้ทนกว่าแพรเมืองจีน”

ซึ่งตรงนี้บอกให้รู้ว่า ‘แพรนุ่ง’ ที่ทอด้วยด้ายแกมไหมจีนหรือไหมญวนนั้น เป็นแพรคุณภาพดี ดีทั้งเนื้อผ้าและอายุการใช้งาน ใช้ได้ทนทานนานกว่าแพรเมืองจีนที่ทอด้วยไหมจีนเพียงอย่างเดียว

 

จาก ‘ด้ายไทย – ไหมเทศ’ สมัยสุโขทัยใน “ไตรภูมิพระร่วง” จนถึง ‘ด้ายเทศ – ไหมจีน – ไหมญวน’ สมัยรัตนโกสินทร์ในเรื่อง “เสด็จประพาสจันทบุรี” ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าคนไทยให้ความสำคัญและยกย่อง ‘ของนอก’ มากกว่า ‘ของไทย’ มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมาเป็นกันสมัยนี้เสียเมื่อไหร่

มาถึงตรงนี้ไม่ว่าจะเป็นวรรณคดีหรือเอกสารทางประวัติศาสตร์ ล้วนเป็นหลักฐานยืนยันความสามารถความเชี่ยวชาญการทอผ้าของคนไทยสมัยสุโขทัยได้เป็นอย่างดี

น่าสังเกตว่าแม้คนไทยสมัยนั้นจะสามารถทอผ้าใช้เองโดยอาศัยประสบการณ์และภูมิปัญญาบรรพบุรุษที่สั่งสมสืบทอดต่อๆ กันมา แต่ก็ยังโปรดปรานของนอก นิยมสินค้าจากต่างประเทศ

ชอบสั่งซื้อผ้าจากจีนและอินเดีย และขยายขอบเขตซื้อสินค้าสารพัดแบบจากต่างประเทศตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

เป็นนิสัยประจำชาติที่แก้ยาก เพราะไม่อยากจะแก้ •

 

จ๋าจ๊ะ วรรณคดี | ญาดา อารัมภีร