ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ทะลุกรอบ |
ผู้เขียน | ดร. ป๋วย อุ่นใจ |
เผยแพร่ |
ทะลุกรอบ | ป๋วย อุ่นใจ
เมนู ‘อุจจาระ’ โอชะจริงหรือ?
“ขี้”อาจจะไม่ได้เป็นอะไรที่ยี้สำหรับทุกคน…
ถ้ามองย้อนกลับไปในจักรวาลแห่งงานวิจัย มีรายงานอยู่เต็มไปหมดว่า “ขี้” นั้นเป็นเมนูที่สัตว์หลายประเภทนั้นสวาปามอย่างตั้งใจ ทั้งนก เป็ด ห่าน กระต่าย ไปจนถึงน้องหมาผู้มีเล็บอันเงางามที่เป็นที่รักของหลายคนก็เอากับเขาด้วย!
พฤติกรรมกินอุจจาระนี้ เรียกว่า Coprophagy (มาจาก copro ที่แปลว่าอาจม และ phagy คือการกิน) ซึ่งยี้มากสำหรับผม แค่ให้เอานิ้วจิ้ม ยังไม่อยากจะแตะเลย
ประเด็นคือ “ขี้มีประโยชน์อะไรกันแน่กับร่างกาย ทำไมน้องสัตว์มากมายถึงได้ยอมกิน…”
คำถามนี้น่าสนใจ
นึกย้อนกลับไปถึงทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) ที่ว่าลักษณะหรือพฤติกรรมที่ยังคงพบดำรงอยู่ในกลุ่มประชากรสิ่งมีชีวิตควรจะต้องมีส่วนในการเพิ่มความสามารถในการอยู่รอด และการสืบทอดเผ่าพันธุ์ไปสู่รุ่นลูกหลานเหลนโหลน หรือที่ตามตำรามักใช้คำแทนว่าฟิตเนส (fitness)
ก็ฟังดูเข้าใจได้ เพราะถ้าอยู่ไม่รอด สิ่งมีชีวิตนั้นก็จบ และถ้าสืบทอดส่งต่อพันธุกรรมไปสู่รุ่นต่อไปไม่ได้ ประชากรสิ่งมีชีวิตนั้นก็จะค่อยๆ ลดน้อยถอยลงจนสิ้นไป ท้ายที่สุด สปีชีส์นั้นก็สูญพันธุ์
ว่ากันตามดาร์วิน ถ้าไม่มีประโยชน์ต่อการอยู่รอด หรือการสืบพันธุ์ ยังไง ไม่น่าจะรอด คงจะถูกคัดเลือกทิ้งไปในกลุ่มประชากร
นั่นหมายความว่า “ขี้” ต้องมีดีกว่าที่คิด และน่าจะต้องช่วยเพิ่มฟิตเนสให้กับสิ่งมีชีวิต (ที่กินมันเข้าไป) ไม่มากก็น้อย
ซึ่งนั่นเป็นความจริงสำหรับสิ่งมีชีวิตหลายชนิด แต่สำหรับมนุษย์อาจจะไม่
หลายตำราบอกว่า ทางเดินอาหารของมนุษย์นั้นพัฒนามาค่อนข้างดีและมีสังคมจุลินทรีย์ (หรือที่เรามักเรียกกันว่า ไมโครไบโอม) ที่ค่อนข้างสมบูรณ์สามารถทำงานได้ตั้งแต่ลืมตาดูโลก ไม่จำเป็นต้องเสาะแสวงหาจุลินทรีย์อะไรใส่ลงไปเพิ่มเติม การกินอุจจาระซึ่งเป็นของเสียเข้าไปจึงไม่มีความจำเป็น แถมยังเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อก่อโรคอีก
ความแตกต่างจากสัตว์อีกหลายประเภท ทั้งนกและกระต่ายที่มีพฤติกรรมการกินอุจจาระที่ชัดเจน
สำหรับนก ขณะที่เกิดมาใหม่ๆ ลูกนกอาจจะยังมีสังคมจุลินทรีย์ที่ยังไม่สมบูรณ์เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ และเพื่อเติมจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์กลับเข้าไป ลูกนกหลายชนิดทั้งนกกระจอก นกบั้งรอก นกกระตั้วจะขยอกกินอุจจาระของแม่นกเข้าไป
การเพิ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์และดูดซึมสารอาหารเพิ่มเติมจุลินทรีย์พวกนี้นอกจากจะช่วยเสริมเติมให้ระบบย่อยอาหารของลูกนกสมบูรณ์แล้ว ยังช่วยกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย
แต่พฤติกรรมการกินอุจจาระในสุนัขนั้น จุดประสงค์นั้นจะแตกต่างจากนกอย่างสิ้นเชิง
เพราะตัวที่กินไม่ใช่ตัวลูก แต่เป็นตัวแม่ ทั้งนี้ ก็เพื่อทำความสะอาดและป้องกันการหมักหมมของสิ่งปฏิกูลในรัง เป็นการสกัดกั้นมิให้กลิ่นไม่พึงประสงค์นี้โชยออกไปยั่วยวนเรียกพวกผู้ล่าหรือพวกพาหะนำโรคเข้ามาสู่ลูก
นอกจากแม่สุนัขแล้ว ยังเคยมีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เดวิส (University of California Davis) นำโดย เบนจามิน ฮาร์ต (Benjamin Hart) เผยในวารสาร Veterinary Medicine and Science ในปี 2018 ว่า จากการสำรวจพฤติกรรมสุนัข 1,400 บ้านในสหรัฐอเมริกาพบว่าราวๆ หนึ่งในสี่ของน้องหมาที่สำรวจมาเคยกินอาจม
และมีมากถึงราวๆ 16 เปอร์เซ็นต์ที่กินแล้วติดใจ และกินซ้ำจนเป็นนิสัย
นิโคลัส ดอดแมน (Nicholas Dodman) สัตวแพทย์จากมหาวิทยาลัยทัฟต์ (Tuft University) เชื่อว่าพฤติกรรมแบบนี้น่าจะเป็นสัญชาตญาณที่หลงเหลือมาจากสุนัขป่าที่กินอุจจาระให้ลูกในช่วงสามปีแรกของชีวิต
แต่สำหรับสุนัขบ้าน พฤติกรรมยี้ๆ แบบนี้ ไม่ได้พบในทุกสายพันธุ์ จากการสำรวจพบว่าราวๆ 41 เปอร์เซ็นต์ของสุนัขสายพันธุ์เชตแลนด์ชีพด๊อก (Shetland sheepdogs) เคยสวาปามอาจม ในขณะที่ผลสำรวจสุนัขตะมุตะมิอย่างพุดเดิล ไม่พบตัวไหนเลยที่จะมีรสนิยมชื่นชมอุจจาระ
ในความเป็นจริง พฤติกรรมเปิบพิสดารของน้องจะไม่ได้น่ากลัวอะไรมากสำหรับน้องหมา แม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้างกับการติดเชื้อพยาธิหรือปรสิตอื่นๆ เพราะญาติของพวกมันอย่างหมาป่าเองก็กินกันจนเป็นนิจสิน และส่วนมากก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรร้ายแรง
แต่สำหรับเจ้าของส่วนใหญ่ พฤติกรรมแบบนี้คืออนันตริยกรรม ที่ไม่ว่าจะให้ทำใจสักกี่ที ก็ยังทำใจได้ยาก ยิ่งกินเสร็จแล้วมาประจบเลียหน้านี่ไม่ต้องพูดถึง ถือว่าไม่พึงประสงค์อย่างรุนแรง
จนมีผลิตภัณฑ์ช่วยลดพฤติกรรมนิยมอุจจาระของน้องออกมาวางขายมากมายในท้องตลาด
แต่สินค้าพวกนี้ เมลิสซา เบน (Melissa Bain) สัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพฤติกรรมสัตว์จากเดวิส ผู้ทำการสำรวจในปี 2018 ให้ความเห็นว่า “อย่าไปเสียตังค์เลย ไม่ได้ผลหรอก” จากการทดลองของเธอ อาหารสิบเอ็ดยี่ห้อที่มีวางขายอยู่ในตลาดมีประสิทธิภาพในการดัดนิสัยต่ำเตี้ยเรี่ยดิน อย่างดีก็ได้ไม่เกิน 2 เปอร์เซ็นต์
แล้วจะทำยังไงหากอยากแก้พฤติกรรมนี้?
ดอดแมนแนะนำว่า พอน้องปล่อยออกมาปั๊บ ก็ไปเก็บทิ้งให้ไว ให้น้องหมาไม่มีเวลาได้เปิบนั่นแหละ จึงจะเวิร์กสุด แต่คำถามก็คือ ใครกันจะมีเวลาไปนั่งเฝ้า
แต่ในสัตว์บางประเภท อย่างเช่น กระต่าย การกินอุจจาระนี่เป็นอะไรที่สำคัญมาก และถ้ามีใครอุตริไปนั่งเฝ้ารอกระต่ายถ่ายทุกข์อาจจะต้องแปลกใจ เพราะก้อนอุจจาระที่กระต่ายถ่ายออกมา ไม่ได้มีแค่แบบที่เราเห็นเป็นปกติ ที่เป็นเม็ดๆ กลมๆ แห้งๆ
แต่มีอุจจาระแบบพิเศษที่เรียกว่าเซโคโทรป (cecotrope) หรือก้อนมูลรูปพวงองุ่นที่พอปล่อยออกมาปุ๊บ น้องจะรีบกินกลับเข้าไปทันที
เพราะด้วยกลไกในการย่อยอาหารอันแปลกประหลาดของกระต่าย ทำให้มูลพวงองุ่นนี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก เพื่อให้ได้สารอาหารครบครัน พวกมันต้องกินมูลพวงองุ่นนี้กลับเข้าไปย่อยและดูดซึมอีกรอบ
สิ่งที่พิลึกกึกกือในเรื่องนี้ก็คือในสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร การจะย่อยเซลลูโลสในพืชให้เพอร์เฟ็กต์นั้นจะต้องอาศัยการหมักจากจุลินทรีย์ เพราะตัวสัตว์เองนั้นขาดเอนไซม์ในการย่อยองค์ประกอบของผนังเซลล์ของพืช
ในวัว (และสัตว์เคี้ยวเอื้องอื่นๆ) ที่มีสี่กระเพาะ (ผ้าขี้ริ้ว รังผึ้ง สามสิบกลีบ และกระเพาะแท้) การหมักส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในกระเพาะผ้าขี้ริ้ว และเมื่อจุลินทรีย์หมักไปได้สักระยะ วัวก็จะสำรอกอาหารออกมาและเคี้ยวใหม่
และเรอเอาของเสียที่เกิดจากการหมัก เช่น ก๊าซมีเทน ออกมา ก่อนจะที่กลืนกลับไปให้จุลินทรีย์ในกระเพาะหมักต่อ พอหมักๆ เคี้ยวๆ ไปสักระยะ กากอาหารที่หมักได้ที่เรียบร้อยแล้วก็จะถูกส่งต่อไปยังลำไส้เพื่อย่อยและดูดซึมสารอาหารจำเป็น
สำหรับวัวและพวกเคี้ยวเอื้อง การหมักโดยจุลินทรีย์นั้นเกิดขึ้นที่กระเพาะก่อนที่อาหารจะถูกส่งไปยังลำไส้ การย่อยอาหารแบบนี้เรียกว่า (foregut fermentation) หรือ “การหมักก่อนถึงลำไส้”
แต่ในกรณีของกระต่ายนั้นจะต่างไป เพราะการหมักในทางเดินอาหารของกระต่ายนั้นจะเกิดขึ้นในลำไส้ใหญ่ส่วนซีกัม (Cecum) ซึ่งจะอยู่ถัดจากลำไส้เล็กไป ทำให้การดูดซึมสารอาหารและวิตามินต่างๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายนั้นทำได้น้อย สารอาหารและวิตามินสำคัญหลายตัวที่ได้จากการหมัก อาทิ วิตามิน B complex และวิตามิน K จึงมักหลุดออกมากับมูลที่ถ่ายออกมาเสียเป็นส่วนใหญ่
นั่นหมายความว่า “เซโคโทรป” หรือมูลที่ได้มาจากการหมักในซีกัมของกระต่ายนี้ จึงแตกต่างไปจากมูลธรรมดาที่เป็นเม็ดแข็งๆ กลมๆ อย่างสิ้นเชิง ลักษณะของมันจะดูชุ่มฉ่ำและเกาะกันเป็นแผงเหมือนพวงองุ่น และนั่นทำให้หลายคนตั้งชื่อให้มูลชนิดนี้ว่า “มูลพวงองุ่น” มูลนี้อุดมไปด้วยธาตุอาหารและวิตามิน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้แทบจะในทันทีหลังจากปล่อยออกมา น้องจะเร่งรีบเขมือบกลับเข้าไปอีกรอบอย่างรวดเร็ว
พวงมูลที่ถูกกินกลับเข้าไปใหม่ จะถูกย่อยต่ออีกรอบ และในการย่อยรอบสองนี้ กระต่ายจะสามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างเต็มที่ ไม่มีสารอาหารสำคัญใดๆ ที่จะสูญเสียไปโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามิน B complex และวิตามิน K ที่ทรงคุณค่า
กระบวนการหมักทั้งหมดในท้องกระต่ายนั้นเกิดขึ้นในบริเวณหลังลำไส้เล็ก จึงมีชื่อที่ถูกเรียกขานว่า “การหมักหลังจากลำไส้” หรือ hindgut fermentation
กระบวนการนี้เป็นอะไรที่แปลกประหลาดมาก ย่อยรอบแรกไม่จบ เลยกินเข้าไปอีกรอบให้ย่อยอีกตลบ เพื่อที่จะได้ดูดเก็บเอาธาตุอาหาร สารสำคัญให้ครบ ไม่ตกหล่น
แต่ที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือพฤติกรรมนิยมอาจมในนกอพยพ ในปี 2024 บาบารา ดริโก (Barbara Drigo) นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซาธ์ออสเตรเลีย (University of South Australia) ได้ตีพิมพ์ผลงานเรื่องพฤติกรรมนกอพยพ เธอรายงานว่าพบนกมากมายมีรสนิยมชมชอบอุจจาระด้วยเช่นกัน และไม่ใช่แค่นกเด็กที่ทางเดินอาหารยังพัฒนาไม่เต็มที่ แต่นกโตก็มีรสนิยมประหลาดเช่นกัน
ทางทีมวิจัยเชื่อว่าพฤติกรรมประหลาดนี้อาจจะเป็นหนึ่งในกลไกที่พวกนกใช้เพื่อปรับตัวให้เข้ากับอาหารการกินในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาที่พวกมันอพยพย้ายถิ่นฐาน
อุปมาก็เหมือนกับคนที่เดินทางข้ามทวีปไปยังบ้านเมืองใหม่ ประสบพบเจออาหารอะไร ก็กิน ก็จัด ครั้นเปิบพิสดารมากไป เสาะท้อง ก็ต้องหาทางปรับสมดุล เช่น หาโยเกิร์ตมากินเพื่อเสริมเติมจุลินทรีย์ดีๆ อาจจะเป็นพวกโปรไบโอติกส์ (probiotics) เข้าไปเพื่อช่วยให้ทางเดินอาหารกลับมาทำงานได้เป็นปกติ
กลยุทธ์ของนกก็ใกล้เคียงกัน แต่คำถามก็คือ แล้วพวกมันจะหาแหล่งจุลินทรีย์ดีๆ ได้ที่ไหน อย่าลืมว่านกนั้นไม่มีร้านโยเกิร์ตให้ช้อปเหมือนคน
สำหรับคำตอบน่าจะคาดเดาได้ไม่ยาก แอบใบ้ให้ว่า อย่างน้อย ที่ปล่อยออกไป ก็พอจะมั่นใจได้ว่าน่าจะมีจุลินทรีย์ที่ดีๆ หลุดออกไปด้วยใช่น้อย
ถ้าเปิบพิสดารจนเสาะท้อง ก็ต้องกินกลับเข้ามาช่วยเสริมทัพสู้เชื้อก่อโรคปนเปื้อนในอาหารประหลาดที่พวกมันสุ่มสี่สุ่มห้ากินเข้าไปตอนเข้าไปในถิ่นใหม่
“นี่อาจจะเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้พวกนกอพยพอยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมที่แหล่งอาหารไม่แน่นอน” ดริโกกล่าว
“การกินอุจจาระจะปรับแต่งแบคทีเรียและจุลินทรีย์ในทางเดินอาหารของนก ช่วยให้มันสามารถปรับตัวเข้าสู่สภาพแวดล้อมใหม่ได้”
แน่นอนว่าในสังคมมนุษย์ การกินอุจจาระนั้นอาจจะไม่เป็นสิ่งจำเป็น และที่จริง พฤติกรรมเช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจเสียด้วย
ซึ่งแปลก เพราะถ้ามองย้อนกลับไปในเหล่าสรรพสัตว์ พฤติกรรมสุดพิเรนทร์อย่างการกินอุจจาระเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นกลยุทธ์ในเชิงวิวัฒนาการที่น่าสนใจที่จะช่วยให้สัตว์สามารถปรับตัวเพื่อการอยู่รอดและการสืบทอดเผ่าพันธุ์ต่อไปได้
บางทีกลไกหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในธรรมชาติก็มีอะไรลึกล้ำเกินกว่าที่เราจะจินตนาการ แม้แต่เรื่องธรรมดาๆ ที่หลายคนต้องร้องยี้อย่างเรื่องขี้ก็ยังมีอะไรให้เราประหลาดใจ เพราะบางที “ขี้” ก็อาจจะมีคุณค่า (ทางโภชนาการ) มากกว่าที่คิด
ในเวลานี้ ในวงการแพทย์มีการพัฒนาและประยุกต์ใช้ขี้มาเป็นแหล่งสังคมจุลินทรีย์ที่ดีเพื่อการปลูกถ่ายเพื่อรักษาโรคต่างๆ ในทางเดินอาหารที่เรียกว่า fecal microbiota transplantation หรือ FMT อย่างเช่น โรคลำไส้อักเสบรุนแรงที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Clostridioides difficile โรคไขมันพอกตับ โรคอ้วน ไมเกรน ไปจนถึงโรคมะเร็ง
และมันก็เวิร์กด้วยในหลายๆ เคส ในกรณีนี้อาจจะต้องกิน (แบบใส่แคปซูล) หรือไม่ก็สอด
เรื่องนี้เป็นอีกเทรนด์ที่น่าติดตามในวงการแพทย์ มีคนสนใจมาก ถึงขนาดที่ว่าในหลายประเทศต่างก็มีการจัดตั้งธนาคารรับฝากขี้เป็นของตัวเองแล้ว เพราะถ้ามองในมุมวิวัฒนาการ การกินขี้นั้นไม่ได้หมายถึงการกินแค่กาก แต่อาจจะเป็นไมโครไบโอมที่มีประโยชน์ที่อาจจะนำมาใช้เพื่อรักษาโรคได้
แต่เดี๋ยวนะ นอกจากเรื่อง FMT แล้ว จริงหรือที่คนไม่กินอุจจาระ? จะเชื่อมั้ยถ้าผมจะบอกว่าในสังคมมนุษย์ บางที “ขี้” ก็อาจจะมีคุณค่า มีราคา และโอชารสมากกว่าที่คิด
เคยได้ยินเรื่องราวของ “โกปี๊ลูวัค (Kopi Luwak)” กาแฟขี้ชะมดที่ขึ้นชื่อลือชาว่าราคาแพงดุเดือดร้อนรุ่มยิ่งกว่าอุณหภูมิกาแฟ หรือชาขี้แพนด้า (Panda Dung Tea) ที่ถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในชาที่มีราคาแพงที่สุดในโลก ที่สนนราคาถึงแก้วละราวๆ 200 เหรียญสหรัฐ หรือราวๆ 6,000 บาทกันมั้ยล่ะครับ
เรียกว่าเจอราคาเข้าไป ถึงขั้นมือสั่นกันเลยทีเดียว
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า don’t judge a book by its cover อย่าเพิ่งรีบตัดสินอะไรเร็วไป แม้จะเป็นเรื่องขี้ก็ตาม เพราะถ้ามองให้ดี ในหลายกรณี ขี้อาจจะมีคุณค่าได้มากกว่าที่คิดก็เป็นได้
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022