เดินหน้าสู่ปีที่ 4 (10) ไม่มีอภินิหารสำหรับกองทัพรัสเซีย

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

ยุทธบทความ | สุรชาติ บำรุงสุข

 

เดินหน้าสู่ปีที่ 4 (10)

ไม่มีอภินิหารสำหรับกองทัพรัสเซีย

 

“การโจมตีเคียฟนั้นทำให้ความรู้สึกถึงความเป็นอัตตลักษณ์และเอกภาพของชาวยูเครนมีความเข้มแข็งมากขึ้น ด้วยการกำเนิดของเหตุผลใหม่ วาทกรรมใหม่ และการมีวีรบุรุษและผู้เสียสละคนใหม่”

Serhii Plokhy

The Russo-Ukrainian War (2023)

 

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า เพียง 1 สัปดาห์ของการเปิดการโจมตีของรัสเซียต่อยูเครนผ่านไปเท่านั้น เห็นได้ชัดเจนว่ากองทัพรัสเซียประสบความล้มเหลวทางยุทธศาสตร์

แผนยุทธการที่คาดหวังในการสร้าง “หัวหาดทางอากาศ” เพื่อจะเป็นเส้นทางของการลำเลียงทางอากาศ ทั้งการส่งกำลังสนับสนุนและการส่งกำลังบำรุง เพื่อที่จะทำให้กำลังส่วนหน้าที่ถูกส่งผ่านสนามบินโฮสโตเมล มีอำนาจเพิ่มเติมในการดำเนินภารกิจยึดเมืองหลวงของยูเครนนั้น แต่เมื่อการยึดหัวหาดทางอากาศประสบความล้มเหลวตั้งแต่ต้น ประกอบกับขบวนยานยนต์และรถรบแบบต่างๆ ที่เป็นดัง “หัวหอก” ที่พุ่งเป้าเข้าสู่เคียฟ ก็ประสบความล้มเหลวในการเปิดการรุกของกำลังรบภาคพื้นดินเช่นกัน

ความล้มเหลวในการปฏิบัติการส่งทางอากาศและการรุกภาคพื้นดิน ไม่ใช่เพียงทำให้โอกาสของการยึดเมืองหลวงของยูเครนไม่เป็นจริงเท่านั้น

หากยังทำให้โอกาสของการยึดประเทศยูเครนตามความคาดหวังของประธานาธิบดีปูติน ก็ไม่เป็นความจริงตามไปด้วยเช่นกัน

สำหรับนักการยุทธศาสตร์และนักการทหารที่นั่งเฝ้ามองปฏิบัติการยุทธ์ของกองทัพรัสเซีย ต่างต้องพากันฉงนใจอย่างมาก กองทัพของมหาอำนาจใหญ่อย่างรัสเซียกลับไม่สามารถที่จะใช้กำลังเข้าจัดการกับยูเครนได้

สภาวะเช่นนี้อาจกล่าวในทางยุทธศาสตร์ได้ว่า ประธานาธิบดีปูตินไม่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วของการใช้เครื่องมือทางทหาร

กล่าวคือ ไม่มี “อภินิหารสงคราม” เช่นในแบบปี 2014 นั่นเอง

 

ล้มเหลวสะสม

ว่าที่จริงใช่แต่ความล้มเหลวที่สนามบินโฮสโตเมลเท่านั้น เราได้เห็นถึงความล้มเหลวในพื้นที่ส่วนอื่นๆ อีก

เช่น การรบที่เมืองเล็กๆ ที่ชื่อ Voznesensk ซึ่งอยู่ห่าง 85 กิโลเมตรไปทางเหนือของเมืองมิโคลายีฟ (Mykolaiv) เมืองนี้เป็นเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่กองทัพรัสเซียจะต้องยึดให้ได้

เพราะการยึดเมืองนี้ได้จะทำให้กองทัพรัสเซียสามารถควบคุมสะพานที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่จะเอื้ออำนวยต่อการเข้ายึดเมืองมิโคลายีฟ ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองหลักของยูเครน

ถ้ายึดมิโคลายีฟได้แล้ว ก็จะเป็นสะพานที่ทอดไปสู่การเคลื่อนกำลังในการยึดโอเดซา (Odessa) อันเป็นเมืองท่าสำคัญของยูเครนทางด้านทะเลดำ

อีกทั้งถ้ากองทัพรัสเซียยึดเมือง Voznesensk ได้สำเร็จ ก็เท่ากับสามารถยึดพื้นที่ทางใต้ของยูเครนได้ทั้งหมด

ฉะนั้น ในทางยุทธศาสตร์ทหารแล้ว เมืองนี้จึงเป็นเป้าหมายในอันดับต้นๆ ที่รัสเซียจะต้องเข้าควบคุมให้ได้

แผนการยุทธ์ครั้งนี้ถูกวางบนความคาดหวังว่า กำลังหน่วยทหารราบยานยนต์ของกองทัพรัสเซียสามารถเคลื่อนไปได้อย่างรวดเร็ว โดยมีสมมุติฐานที่สำคัญประการหนึ่งคือ พลเมืองชาวยูเครนจะออกมาสนับสนุนการเข้ามาของทหารรัสเซียด้วยความยินดี

หรืออีกนัยหนึ่งชาวยูเครนจะไม่ออกมาต่อต้านการละเมิดอธิปไตยของกองทัพรัสเซียแต่อย่างใด

เพราะสมมุติฐานทางชาติพันธุ์ของประธานาธิบดีปูติน คือชาวรัสเซียและชาวยูเครนคือคนคนเดียวกัน ที่แยกออกจากกันไม่ได้

โดยนัยเช่นนี้ ประชาชนชาวยูเครนจะออกมา “มอบช่อดอกไม้” เพื่อต้อนรับการมาของทหารรัสเซีย

คู่ขนานกับการสร้าง “คำบอกเล่า” (narrative) เช่นนี้ ผู้นำรัสเซียยังประกอบสร้างภาพของผู้นำรัฐบาลยูเครนว่าเป็น “ระบอบการปกครองแบบนาซี” ดังนั้น กองทัพรัสเซียจึงต้องแยกรับภารกิจในการปลดปล่อยยูเครนอีกครั้งในยุคปัจจุบัน

ดังนั้น จึงไม่แปลกนักที่ปูตินและบรรดาผู้นำรัสเซียนำเอาความทรงจำเดิมในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาเป็นจินตนาการของยุคปัจจุบัน

พวกเขาจึงเชื่ออย่างมากว่ากองทัพรัสเซียจะเป็น “ผู้ปลดปล่อย” ยูเครนให้หลุดพ้นจากระบอบการปกครองของพวกนาซี

และเมื่อกองทัพรัสเซียมาถึง ชาวยูเครนจะออกมาต้อนรับด้วยความกระตือรือร้นเช่นอดีตในครั้งนั้น

แต่การต้อนรับของชาวยูเครนที่ Voznesensk ไม่ใช่สิ่งที่ผู้นำรัสเซียคาดไว้แต่อย่างใด ทั้งที่ในเมืองมีชุมชนที่พูดภาษารัสเซียอยู่มากกว่า 3 หมื่นคน…

การรับมือกับการรุกเข้ามาของรัสเซียที่เมืองนี้ เป็นภารกิจของกำลังรบประจำการ และกองกำลังประจำถิ่น ที่มีทั้งกำลังพลที่ถูกเกณฑ์เข้ามา และกำลังอาสาสมัครที่ถูกฝึกมาแล้ว

กำลังเหล่านี้ไม่มีรถถัง ไม่มีอาวุธหนัก มีเพียงอาวุธต่อสู้รถถังในแบบของ RPG ที่เป็นอาวุธมาตรฐานของกองทัพรัสเซีย และจรวดต่อต้านรถถังแบบ Javelin ที่ได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐ แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยทหารปืนใหญ่ของยูเครนที่อยู่นอกเมือง

ซึ่งดูแล้วด้วยกำลังขนาดนี้ พวกเขาไม่น่าจะสามารถหยุดยั้งการรุกของหน่วยทหารราบยานยนต์ของรัสเซียได้แต่อย่างใด

 

จรยุทธ์ชุดเล็ก

ไม่น่าเชื่อว่าปฏิบัติการของหน่วยขนาดเล็ก หรือที่ในทางทหารเรียกว่า “small-unit operations” (คู่มือทางทหารของอเมริกันเรียกว่า “small unit tactics”) นั้น มีประสิทธิภาพอย่างมากในการตอบโต้การรุกของกองทหารรัสเซีย

โดยเฉพาะการใช้อาวุธต่อสู้รถถังแบบ Javelin ที่มีขีดความสามารถในการหยุดยั้งรถถังและรถหุ้มเกราะลำเลียงพลของรัสเซีย (BTR) ได้เป็นอย่างดี

หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวในบริบทแบบสงครามกองโจรได้ว่า กองทัพยูเครนที่มีกำลังรบอ่อนแอกว่ารัสเซียอย่างมากนั้น

ใช้ปฏิบัติการแบบ “จรยุทธ์ชุดเล็ก” เป็นเครื่องมือในการสร้างอำนาจทางทหารในสนามรบได้เป็นอย่างดี

อีกทั้งการส่งข้อมูลสนามโดยพลเรือนยูเครน ทำให้การโจมตีของหน่วยทหารปืนใหญ่ยูเครนมีความแม่นยำอย่างมาก

จนเป็นดังคำขวัญของการต่อต้านรัสเซียในครั้งนี้ว่า “ทุกคนช่วย… ทุกคนแชร์” ในการส่งข้อมูลที่ตั้งของหน่วยทหารหรือยานยนต์รัสเซีย (Everyone helped… everyone shared the information)

ส่งผลให้รถถังและรถหุ้มเกราะลำเลียงพลของรัสเซียตกเป็นเป้าการยิงของปืนใหญ่ยูเครน

คงไม่แปลกนักที่จะสรุปในเบื้องต้นว่า ความสูญเสียที่เกิดในช่วงแรกของการบุกเช่นนี้ มีส่วนอย่างมากในการทำลายขวัญกำลังใจของทหารรัสเซีย

และการยิงของหน่วยปืนใหญ่ยูเครนเช่นนี้ ยังมีส่วนโดยตรงในการเหนี่ยวรั้งการส่งกำลังเสริมของกองทัพรัสเซีย

ดังจะเห็นจากสนามรบที่ Voznesensk ว่า ด้วยอำนาจการยิงของหน่วยปืนใหญ่ยูเครนนั้น กองพลน้อยนาวิกโยธินที่ 126 (The 126th Naval Infantry Brigade) ที่มีที่ตั้งอยู่ในไครเมียนั้น ไม่สามารถเดินทางเข้าสนับสนุนปฏิบัติการของหน่วยทหารราบยานยนต์ที่เข้าถึงพื้นที่เป้าหมายนี้ได้แต่อย่างใด และจำเป็นต้องถอนตัวกลับ

สภาวะเช่นนี้ส่งผลให้หน่วยทหารราบของรัสเซียที่มีการจัดเป็น “กลุ่มกองพันทางยุทธวิธี” (Battalion Tactical Group: BTG) ถูกตรึงกำลังอยู่กับที่ ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ หรือไม่กำลังบางส่วนก็ถูกทำลายทิ้ง

[อาจเปรียบเป็นดังการจัด “กองพันพร้อมรบ” ที่มีหน่วยอาวุธอื่นๆ เข้าร่วม ซึ่งการจัดเช่นนี้ ถือเป็นกระดูกสันหลังของกำลังทางบกของกองทัพรัสเซีย และก่อนที่สงครามยูเครนจะเกิดขึ้นนั้น กระทรวงกลาโหมรัสเซียในเดือนสิงหาคม 2021 แถลงว่า กองทัพบกมีกลุ่มกองพันทางยุทธวิธีทั้งหมด 170 ชุด และมีความพร้อมในทางทหาร]

ดังนั้น เพียงแค่ในช่วงแรกของการรุกเข้ายึดเมือง Voznesensk รัสเซียเสียรถถัง รถหุ้มเกราะลำเลียงพล รถติดตั้งเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง และรถบรรทุก 30 คัน จากจำนวนทั้งหมด 43 คัน และเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธแบบ Mi-24 ถูกจรวดต่อต้านอากาศยานยิงตก 1 ลำ

ขณะเดียวกันทหารรัสเซียได้ตัดสินใจทิ้งยานยนต์ที่ยังไม่มีความเสียหายจากการรบในแบบต่างๆ 15 คัน

จนมีคำกล่าวกันเล่นๆ ว่า ผู้สนับสนุนอาวุธรายใหญ่ให้แก่กองทัพยูเครน ได้แก่ กองทัพรัสเซีย

กล่าวคือ ทหารรัสเซียทิ้งอาวุธไว้เป็นจำนวนมากโดยไม่เข้าทำการรบ

อีกทั้งประมาณการว่ารัสเซียเสียทหารที่เมืองนี้มากกว่า 100 นาย

การรบเพียง 2 วันที่เมือง Voznesensk กลายเป็นสัญญาณถึงการสิ้นสุดของ “สงครามสายฟ้าแลบ” ของกองทัพรัสเซียในแนวรบด้านใต้

และส่งผลให้กองทัพรัสเซียถูกผลักดันกลับไปสู่ “แนวควบคุม” เดิม (a line of control) ที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำนีเปอร์ กองทัพรัสเซียแม้จะมีกำลังมากกว่า แต่ต้องกลับเป็นฝ่ายถอยร่นออกจากแนวรบ

ฉะนั้น จากตัวอย่างของการรบที่เมือง Voznesensk ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความล้มเหลวของกองทัพรัสเซีย หรืออาจกล่าวในมิติทางยุทธศาสตร์ได้ว่า เครื่องมือทางทหารไม่เอื้ออำนวยให้ประธานาธิบดีปูตินบรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมืองอย่างที่ต้องการได้แต่อย่างใด

ความล้มเหลวในการใช้เครื่องมือดังกล่าว กำลังกลายเป็น “กับดัก” สงครามที่คร่าชีวิตของนายทหารในระดับต่างๆ และกำลังพลของกองทัพรัสเซียอย่างคาดไม่ถึง

อันเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดของกองทัพรัสเซียนับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา

หรืออาจกล่าวในเวลาต่อมาได้ว่า ยูเครนกำลังจะกลาย “สุสานใหญ่” ของกองทัพรัสเซีย ดังตัวอย่างความสูญเสียของกำลังพลรัสเซียที่เมือง Voznesensk

แต่ในอีกด้านหนึ่ง สงครามยูเครนกำลังเป็นสัญญาณของการเป็น “สงครามทอนกำลัง” ที่จะคร่าชีวิตของทหารและผู้คนเป็นจำนวนมากในอนาคต

 

คำตอบสำหรับปูติน

ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นเช่นนี้กลายเป็นคำตอบอย่างดีสำหรับประธานาธิบดีปูตินว่า ประชาชนชาวยูเครนไม่ได้มองว่ากองทัพรัสเซียคือ “ผู้ปลดปล่อย”

แต่ในสายตาของชาวยูเครนหลายคน ทหารรัสเซียคือกองทัพของ “ผู้รุกราน”

และพวกเขาพร้อมจะต่อต้านอย่างเต็มที่ ชาวยูเครนในยุคหลังประเทศได้รับเอกราชแล้ว ไม่มีจินตนาการและความคิดในแบบที่ผู้นำรัสเซียเชื่อ

ชาวยูเครนเหล่านี้ไม่เอาคอมมิวนิสต์… ไม่เอารัสเซีย… ไม่เอาระบอบอำนาจนิยม… ไม่เอาวาทกรรมของปูติน

พวกเขาในทางตรงข้ามมองสวนทางว่า อนาคตของยูเครนอยู่กับโลกตะวันตกที่เป็นเสรีนิยม และยูเครนต้องเป็นประชาธิปไตย มุมมองเช่นนี้ไม่ง่ายเลยในบริบททางภูมิรัฐศาสตร์ เพราะสำหรับผู้นำรัสเซียแล้ว ทัศนะเช่นนี้คือภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของรัฐรัสเซียในศตวรรษที่ 21 และยังคุกคามโดยตรงต่อเอกภาพและความมั่นคงของรัสเซียอีกด้วย

ในสภาวะเช่นนี้ ผู้นำรัสเซียจึงคาดหวังอย่างมากว่าเซเลนสกีน่าจะอพยพลี้ภัยออกจากยูเครนทันที เมื่อกองทัพรัสเซียข้ามพรมแดนเข้ามา

แต่การคาดคะเนทางการเมืองที่ผิดพลาดก็คือ ผู้นำยูเครนกลับอยู่และนำการต่อสู้ต่อสู้กับรัสเซียอย่างคาดไม่ถึง

จนสงครามยูเครนดูจะเป็นบทพิสูจน์ว่า กองทัพรัสเซียในศตวรรษที่ 21 มีปัญหาภายในมาก และได้ไม่เข้มแข็งมากอย่างที่เราเห็นจากตัวเลขทำเนียบกำลังรบ

จนอาจต้องกล่าวว่า ไม่มี “อภินิหารสงคราม” สำหรับกองทัพรัสเซียในยูเครน!