ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 เมษายน 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | อาชญากรรม |
เผยแพร่ |
อาชญากรรม | อาชญา ข่าวสด
โศกนาฏกรรมตึก สตง.ถล่ม
แผ่นดินไหวหรือทุจริต?
ล่า 3 นอมินี ‘ไชน่า เรลเวย์’
เปิดโปง ‘รง.ศูนย์เหรียญ’
เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ในเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 28 มีนาคม 2568 นับเป็นเหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดที่เคยขึ้นในรอบ 100 ปีของเมียนมา แรงสั่นสะเทือนรับรู้ไปไกลถึงประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ
กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของไทย ซึ่งอยู่ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวมากกว่า 1,000 กิโลเมตร อาคารสูงจำนวนมากล้วนสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือน สร้างความอกสั่นขวัญหายให้กับคนกรุงอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน
ส่วนที่ยังเป็นคำถามคาใจทุกคน คือทั่วประเทศไทยมีอาคารสูงจำนวนหลายพันอาคาร แต่มีเพียงอาคารสูง 30 ชั้นที่กำลังก่อสร้างของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง.แห่งใหม่ ด้วยงบประมาณ 2,136 ล้านบาท บนถนนกำแพงเพชร 2 ใกล้ตลาดนัดสวนจตุจักร เพียงแห่งเดียวที่พังถล่มลงมา
ทั้งยังเป็นอาคารของหน่วยราชการซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินให้ถูกต้อง จึงไม่แปลกที่จะถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่นายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการ สตง. เล่นบทปิดปากเงียบไม่ยอมออกมาพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความไม่พอใจของคนในสังคมก็ยิ่งมากขึ้น
มีรายงานว่าคนงานก่อสร้างทำงานอยู่ในตึก 103 คน มีผู้บาดเจ็บ 9 คน ส่วนที่เหลือถูกตัวอาคารที่ถล่มลงมาทับฝังกลบทั้งเป็น ซึ่งจากการระดมสรรพกำลังคนเข้าค้นหากู้ภัย ทั้งการใช้สุนัข K9 ใช้เครื่องจักรหนัก ท่ามกลางซากปรักหักพัง และเสียงร้องไห้ของครอบครัวเหยื่อตึกถล่ม ผ่านมาร่วม 20 วัน ความหวังในการค้นพบผู้รอดชีวิตแทบไม่มีเหลือ
ภายหลังเกิดเหตุ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมผู้เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่หลายครั้ง พร้อมสั่งการให้เร่งสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงของตึกถล่ม เกิดจากอะไรกันแน่
สุดท้ายแล้วคำตอบถึงสาเหตุของโศกนาฏกรรมครั้งนี้ จึงอยู่ภายใต้กองเศษซากคอนกรีตหนักกว่า 40,000 ตันนั่นเอง

เมื่อเจ้าหน้าที่นำตัวอย่างเหล็กเส้น 7 ประเภท จำนวน 28 ชิ้น จากสถานที่ก่อสร้างไปตรวจสอบที่สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย พบว่าเหล็กที่นำมาตรวจสอบ 28 ท่อน 3 ประเภท 7 ไซซ์ ได้มาตรฐาน 15 ท่อน 5 ไซซ์
ไม่ได้มาตรฐาน 13 ท่อน 2 ไซซ์ คือ ไซซ์ 20 มิลลิเมตร และ 32 มิลลิเมตร ซึ่งทั้ง 2 ขนาด มาจากบริษัทเดียวกัน คือ SKY (บริษัท ซินเคอหยวน) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเหล็ก ที่ใช้เทคโนโลยีเตาหลอมเหล็กชนิด IF (Induction Furnace) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบบเก่า ซึ่งสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สั่งปิดไปในช่วงเดือนธันวาคม 2567 เนื่องจากจำหน่ายเหล็กไม่เป็นไปตามมาตรฐาน
น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ระบุ เหล็กที่ไม่ผ่านมาตรฐานการตรวจสอบครั้งนี้ จะไปดูว่าเป็นเหล็กที่ผลิตระหว่างที่เราสั่งปิดโรงงานของบริษัทหรือไม่ อย่างไร เพราะสั่งปิดไปประมาณ 4 เดือน แต่ดูจากเหล็กน่าจะประมาณ 5 เดือน ก็ต้องตรวจสอบเชิงลึกกันอีกครั้ง หากพบว่ามีการลักลอบนำเหล็กไม่ได้มาตรฐานออกมาใช้ ก็จะโดนดำเนินคดีต่อไป จากปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีอยู่แล้ว
“แม้ว่าเหล็กที่เราตรวจสอบจะพบว่าไม่ได้มาตรฐานบางส่วน แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นสาเหตุหลักในการถล่มของตึก สตง.” น.ส.ฐิติภัสร์ระบุ
ต่อมากระทรวงอุตสาหกรรมได้ทำหนังสือขอข้อมูลชี้แจงข้อเท็จจริงจากซินเคอหยวน ว่าได้ขายเหล็กล็อตที่มีปัญหาให้แก่ตัวแทนจำหน่ายรายใดบ้างหรือไม่ แต่กลับได้คำตอบเพียงแค่ว่า ไม่ได้ขายเหล็กให้โครงการก่อสร้างตึก สตง.โดยตรง จึงไม่สามารถตอบได้
เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบที่บริษัท ซินเคอหยวน ใน อ.บ้านค่าย จ.ระยอง กลับไม่ได้รับความร่วมมือ พยายามปกปิดข้อมูล แต่เจ้าหน้าที่ตรวจพบ ‘ฝุ่นแดง’ ที่เกิดจากกระบวนการหลอมเหล็กในเตาหลอมไฟฟ้า (Electric Arc Furnace : EAF) ลักษณะเป็นผงสีแดงหรือสีน้ำตาลแดง มีองค์ประกอบหลักเป็นโลหะหนักหลายชนิด เช่น เหล็กออกไซด์ สังกะสีออกไซด์ ตะกั่ว แคดเมียม และโครเมียม ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม มากกว่า 43,000 ตัน มูลค่ากว่า 1.7 พันล้านบาท อยู่ภายในโรงงาน
ขัดแย้งกับที่โรงงานถูกสั่งให้หยุดการผลิตตั้งแต่ปลายปี 2567

ขณะที่การตรวจสอบโรงงานเหล็กดำเนินไป ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ก็ลงพื้นที่รวบรวมพยานหลักฐาน สอบปากคำพยานในเหตุการณ์ รวมทั้งตรวจสอบบริษัทที่ดำเนินการก่อสร้าง ก่อนพบว่า
ตึกที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) ดำเนินการก่อสร้างบนพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ 3 งาน คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบฯ ก่อสร้าง 2,560 ล้านบาท เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 โดยผู้ชนะการประกวดราคาการสร้างอาคารดังกล่าว คือ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี (บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด) เสนอราคาต่ำสุด 2,136 ล้านบาท ซึ่งเป็นผู้รับเหมาหลักของโครงการฯ
ส่วนการควบคุมงานก่อสร้าง สตง.ระบุว่า กิจการร่วมค้า PKW (บริษัท พี เอ็น ซิงค์ โครไนซ์ จำกัด บริษัท ว. และสหายคอนซัลแตนตส์ จำกัด และบริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ จำกัด) เป็นผู้ชนะการยื่นข้อเสนองานจ้างควบคุมงาน ด้วยวงเงิน 74.65 ล้านบาท
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ที่แม้บริษัทแม่ในประเทศจีนจะเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการก่อสร้างของประเทศ แต่เมื่อขยายปีกมาทำธุรกิจในเมืองไทย กลับพบความผิดปกติหลายประการ
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ที่ตั้ง 493 ซอยพุทธบูชา แยก 11 แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2561 มีรายชื่อกรรมการ คือ นายชวนหลิง จาง และนายโสภณ มีชัย
ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท สัดส่วนผู้ถือหุ้นสัญชาติไทย 51 ล้านบาท เป็นบุคคล 3 ราย คือ นายโสภณ มีชัย (49% ของ 51 ล้านบาท), นายประจวบ ศิริเขตร (40.8% ของ 51 ล้านบาท) และนายมานัส ศรีอนันท์ (10.2% ของ 51 ล้านบาท) ส่วนสัดส่วนผู้ถือหุ้นสัญชาติจีน 49 ราย เป็นบุคคล 1 ราย คือ นายชวนหลิง จาง
ดีเอสไอระบุว่า บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ส่อว่าจะเป็นการใช้นอมินีคนไทยมาถือหุ้นเกินครึ่ง เพื่อให้มีสิทธิเข้าประมูลงานก่อสร้างของรัฐ
ส่วนที่ต้องร่วมกับบริษัท อิตาเลียนไทย ก็เพราะอิตาเลียนไทย มีคุณสมบัติผ่านเงื่อนไขในการร่วมประมูลงานก่อสร้างของรัฐนั่นเอง
ทั้งพบข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า บริษัท ไชน่าฯ จดทะเบียนเป็นกิจการร่วมค้า ได้มีการประมูลโครงการของภาครัฐไปแล้ว 25 โครงการ มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท โดยที่ตั้งของบริษัท ไชน่าฯ เดียวกันนี้ยังถูกใช้เป็นที่ตั้งของนิติบุคคลอื่นอีก 10 บริษัท ทั้งที่เป็นเพียงตึกแถว 4 ชั้น 5 คูหาที่เช่าอยู่เท่านั้น

วันที่ 10 เมษายน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ ร่วมแถลงผลการสืบสวน โดย พ.ต.ต.ยุทธนาเผยว่า นอกจากความผิดคดีนอมินี ที่รับเป็นคดีพิเศษ ยังมีความผิดอื่นคู่ไปด้วย คือ ความผิดว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (ฮั้วประมูล) ซึ่งจะต้องดูว่าในส่วนคนไทยที่ไปถือหุ้นนั้น ต้องพิสูจน์ว่าเป็นการถือหุ้นโดยอำพรางหรือไม่
ทั้งนี้ มีการไปตรวจสอบยังบ้านพักของนายประจวบ ศิริเขตร (ผู้ถือหุ้น 10.20% หรือ 102,000 หุ้น) ที่ อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด แต่ไม่พบตัว เจอเพียงภรรยา ซึ่งได้ให้ข้อมูลว่า นายประจวบมีรายได้น้อยมาก ทำงานรับจ้างเกี่ยวกับการก่อสร้าง ได้เงินเดือนหมื่นกว่าบาทเท่านั้น
“อีกทั้งนายประจวบกลับมาถึงบ้านก็ไม่ได้พูดคุยถึงเรื่องตึก สตง.ถล่มให้ฟังว่าเกี่ยวข้องกับตนเองอย่างไร ก่อนออกจากบ้านไปแล้ว 2-3 วันก่อนหน้านี้ โดยไม่ได้แจ้งภรรยาว่าออกไปที่ไหน อย่างไร ซึ่งดูแนวโน้มเบื้องต้น ไม่สอดคล้องกับการที่เขาไปถือหุ้นในนิติบุคคลหลายๆ แห่ง จึงเป็นสิ่งบ่งชี้ที่น่าเชื่อได้ว่าเป็นการถือหุ้นอำพราง (นอมินี) นอกจากนี้ ในกรรมการผู้ถือหุ้นชาวไทยอีก 2 ราย คือ นายโสภณ มีชัย และนายมานัส ศรีอนันท์ เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างติดตามตัวเช่นกัน” อธิบดีดีเอสไอกล่าว
พ.ต.ต.ยุทธนาเผยต่อว่า ส่วนสัญญาที่บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด เข้าร่วมค้าและได้รับงานจากภาครัฐ ตั้งแต่ปี 2562-2567 จำนวน 29 สัญญา คณะพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการตรวจสอบเช่นเดียวกัน ตอนนี้เรายังโฟกัสที่คดีนอมินีเป็นหลักก่อน
นอกจากนี้ หากย้อนไปดูในส่วนของ 11 รายชื่อกิจการร่วมค้าของ บริษัท ไชน่า เรลเวย์ จะพบว่าหลายที่ก็ยังไม่ได้เกิดเหตุใดๆ ยังปกติอยู่ ดังนั้น เราจึงไปดูในส่วนของ “กิจการร่วมค้า ไอทีดี ซีอาร์อีซี” เป็นหลักก่อน
สำหรับกรณีบริษัท ซินเคอหยวน สตีล จำกัด ดีเอสไอจะตรวจสอบถึงประเด็นที่เป็นผู้จำหน่ายเหล็กให้กับบริษัทที่เกิดเหตุ ส่วนเรื่องฝุ่นแดงของเหล็ก ทราบว่าเป็นความผิดเกี่ยวกับการออกใบกำกับภาษีปลอม และเป็นเรื่องของมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ซึ่งดีเอสไอจะดำเนินการในขั้นตอนต่อไป



ต่อมาวันที่ 10 เมษายน ที่รัฐสภา นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ และนางพิมพา วภักดิ์เพชร รองผู้ว่าการ สตง. เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน สภาผู้แทนราษฎร หลังเกิดปัญหาด้านภาพลักษณ์ และความน่าเชื่อถือ พร้อมถูกตั้งคำถามถึงเรื่องความโปร่งใส
นายสุทธิพงษ์กล่าวว่า มั่นใจในการปฏฺบัติหน้าที่ แต่ถนนทุกสายวิ่งมาที่ สตง. แมลงวันบินผ่านก็ด่าได้ วันนี้จึงอยากพูดข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้น โดยโครงการนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่พิเศษ ฉะนั้น การก่อสร้างทั้งหมดต้องจ้างออกแบบ และจ้างควบคุมงาน ส่วนเรื่องการป้องกันแผ่นดินไหว ต้องไปถามผู้ออกแบบ ซึ่งเขาก็บอกว่าดำเนินการแล้ว
ระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี ขยาย 2 ครั้ง เนื่องจากโควิด และมีการปรับรูปแบบ แต่ 4 ปีเพิ่งได้ 33% เพราะผู้รับก่อสร้างมีปัญหาเรื่องทุน คณะกรรมการตรวจรับพัสดุจึงมีมติบอกเลิกสัญญา เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 แล้ว และอยู่ระหว่างการเสนอผู้มีอำนาจดำเนินการ แต่ปรากฏว่ามาเกิดเหตุก่อน
รองผู้ว่าการ สตง.ยังระบุอีกว่า ไม่เคยรู้เรื่องบริษัทจีนที่มาร่วม เพราะอิตาเลียนไทยออกหน้ามาตลอด
สาเหตุของตึกถล่มในครั้งนี้จะเกิดจากเหตุแผ่นดินไหว การออกแบบโครงสร้างที่ผิดพลาด การทุจริตก่อสร้างไม่ตรงสเป๊ก หรือจะเป็นหลายสาเหตุรวมกัน ยังเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการสอบสวนหาความจริง
แต่ที่เห็นชัดๆ เวลานี้ คือปัญหาเรื่องรูปแบบการเข้ามาทำธุรกิจของนักธุรกิจชาวจีนบางราย ที่มีลักษณะกินรวบตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ไม่ต่างกับ ‘ทัวร์ศูนย์เหรียญ’ แค่เปลี่ยนเป็น ‘โรงงานศูนย์เหรียญ’ โดยใช้นิมินีคนไทย ผลิตสินค้าไม่มีคุณภาพ กดราคา ทำลายผู้ประกอบการไทย
และที่สำคัญ หากไม่มีข้าราชการร่วมขบวนการรู้เห็น ปัญหาคงไม่ลุกลามกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่เช่นนี้

สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022