ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 เมษายน 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ในประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความในประเทศ
บลู & ไวท์
การเมือง ‘เลนขวา’
เบียด ‘แดง-ส้ม’ ตกถนน?
การใส่เกียร์ถอยเต็มกำลังของขั้ว “สีแดง” กรณีกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจร (ที่มีไข่แดงคือกาสิโน) มิใช่เพียงจุดเปลี่ยนสำคัญที่ปะทุขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม ในความสัมพันธ์ของค่ายสีแดงและสีน้ำเงิน
แต่ยังสะท้อนจุดเปลี่ยนสำคัญทางการเมืองใน “ภาพใหญ่” ตอกย้ำความแตกต่างของค่ายสีต่างๆ ในการเมืองไทยอย่างเด่นชัดขึ้น
ยิ่งการลงถนนของขบวนการต้านกาสิโน ยิ่งสะท้อนชัดในการรวมตัวและการก่อรูปของพลังอนุรักษนิยม ในนาม “กลุ่มคนเสื้อขาว”
อันที่จริงคนกลุ่มนี้ไม่ได้หายไปไหน เป็นเพียงแต่พวกเขาพ่ายแพ้ในเกมเลือกตั้งเมื่อปี 2566 สถานการณ์บีบให้พวกเขาต้องยอมจับมือกับศัตรูในอดีต เพื่อขัดขวางศัตรูทางการเมืองใหม่ ไม่ให้เข้าสู่เก้าอี้อำนาจรัฐ
เพียงแต่ประเด็น “กาสิโน” กลายเป็นหมุดหมายใหม่ ให้คนกลุ่มนี้กลับมารวมตัวกันในนามของ “คนเสื้อขาว”
แม้จะเป็นเพียงการเคลื่อนไหวเล็กๆ แต่ก็กระจายหลายจุด และมีแนวร่วมเพิ่มขึ้น เป้าหมายคือเพื่อยกระดับ “รุกคืบ” ทางการเมืองกับขั้วสีแดง อันถือเป็นศัตรูทางการเมืองในอดีต
ภาพใหญ่การเมืองวันนี้จึงสะท้อนการพุ่งขึ้นของกระแสอนุรักษ์ปีกขวา เป็น 2 ส่วน
1. กระแสสีน้ำเงิน
พรรคภูมิใจไทยเล่นบทบาทนำ หลังหันจับมือกับขั้วสีแดงเพื่อสกัดขั้วสีส้มเข้ามามีอำนาจสำเร็จ ภูมิใจไทยก็เล่นบทต่อรองการเมืองกับขั้วสีแดงอย่างเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ย้อนดูการเมือง 2 ปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ชัด กับการขยับวาระ “รุกคืบทางการเมือง” เข้าหาขั้วสีแดง ทั้งประเด็นการเมืองกระทั่งลามมาเรื่องเศรษฐกิจ
เปิดสงครามกันทั้ง “ต่อหน้าและลับหลัง” ไม่ว่าจะเป็นสนามนิติบัญญัติ บริหาร องค์กรอิสระ และสนามท้องถิ่น
การประกาศตัว “ไม่เอากาสิโน” ของไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย เสียงดังฟังชัดกลางสภา ดูเผินๆ เหมือนไม่มีอะไร นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ออกมาชี้แจงว่า “แค่การผิดคิว”
กรณีนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นคอการเมืองก็ดูออกว่า “ไม่ได้ผิดหรอก” ตั้งใจเลยนั่นแหละ เพียงแต่เป็นการเล่นคนละบทบาท
ระหว่างหัวหน้าพรรค ที่ต้องเล่นบทบาทสีน้ำเงิน “ในนามฝ่ายบริหาร” และเลขาธิการพรรค-ลูกชายเนวิน กับบทบาทสีน้ำเงินใน “เกมนิติบัญญัติ”
หากเกมในสภายังไม่ชัดพอ ไปดูการเคลื่อนไหวนอกสภา ไม่ว่าจะเป็น เสี่ยตือ สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ไม่ว่าจะเป็น ชาดา ไทยเศรษฐ์ ที่ล้วนเป็นบุคคลสำคัญระดับนำค่ายสีน้ำเงิน ก็ล้วนเคยออกมาตั้งคำถาม กระทั่งขย่มซ้ำรัฐบาล
หรือจะเป็นเนวิน ชิดชอบ ที่แม้จะมีภาพเข้าออกบ้านจันทร์ส่องหล้า แต่ก็แสดงออกไม่เห็นด้วยกับนโยบายขั้วแดงเช่นเรื่องกาสิโน จนรัฐบาลต้องถอยมาแล้ว
ไม่ต้องแปลกใจกับโอกาสครบรอบ 17 ปีพรรคภูมิใจไทยเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ที่พรรคทำการตัดเอาสีแดงออกจากโลโก้พรรค เปลี่ยนใหม่ให้เป็นสีน้ำเงินทั้งหมด
นายอนุทินให้เหตุผลชัดเจนว่า ตลอดระยะเวลา 16 ปีในเส้นทางการเมืองของพรรค สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจคนภูมิใจไทยไว้ได้ก็คือ ความจงรักภักดีต่อสถาบันสำคัญของชาติ จนถูกเรียกว่า “พรรคสีน้ำเงิน”
นั่นคือการชูธงนำขบวนการ “อนุรักษนิยมใหม่” ของค่ายภูมิใจไทย ซึ่งในนาทีนี้ต้องยอมรับว่าในทางการเมือง ภูมิใจไทยคือพรรคที่ “แข็งแกร่ง” ที่สุด
เป็นพรรค “ปีกขวา” ที่แม้จะชนะเลือกตั้งเป็นลำดับ 3 มีผู้แทนฯ ไม่ถึงร้อยคน แต่กลับยึดกุมการกำหนดทิศทางการบริหารของรัฐบาล และจริงๆ คือสามารถกำหนดวาระสำคัญทางการเมืองไทยได้
2.กระแสสีขาว
นับตั้งแต่การพลิกขั้วเปลี่ยนข้างตั้งรัฐบาลเพื่อไทยสำเร็จ กระแสสีขาวหรือขบวนการการเมืองอนุรักษนิยมเก่าที่พ่ายแพ้เกมเลือกตั้ง (ที่ตัวเองออกแบบกติกามากับมือ) ก็ต้องอยู่ในภาวะบังคับให้ต้อง “จำศีล”
แต่ยี่ห้อ “ทักษิณ” ยังไงก็ยังไว้ใจไม่ได้ กระแสสีขาวเริ่มลงถนนผ่านการปลุกวาระชาตินิยมสู้ประเทศเพื่อนบ้านหลายวาระ ในนามของ คปท. ศปปส. และกองทัพธรรม แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ไร้การขานรับ
พลันเกิดการผลักดัน ร่าง กม.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่มีไส้ในคือประเด็นกาสิโน กลับทำให้พลังสีขาวพุ่งขึ้นมาทันตา
รอบนี้เห็นชัดว่าแนวร่วมการคัดค้านขยายมากขึ้น ตั้งแต่ กลุ่มหมอ นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย ภาคประชาสังคมสายศาสนา กระทั่งราชบัณฑิต
เกิดการลงถนนเคลื่อนขบวนไปรัฐสภา ภาพคนร่วมหนาตามากขึ้น การชุมนุมของศิษย์เก่าหน้าลานพระบรมรูป 2 รัชกาล ที่จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย คือตัวอย่างรูปธรรม
“การขยับทางการเมือง” ของกระแสสีน้ำเงินและสีขาวที่เกิดขึ้นรอบเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้เกมเดินหน้าผลักดันกาสิโนถูกกฎหมายภายใต้ชื่อเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ต้องถูก “ลัดวงจร” หยุดชะงักกะทันหัน
ขั้วสีแดงต้องถอยไม่เป็นท่า ทั้งที่ขึงขังผลักดันต่อสู้มานาน นับว่าส่งผล “เสียหายทางการเมือง” ไม่น้อย
การเมืองหลังจากนี้จึงน่าสนใจ เพราะมีคำถามที่ว่า 2 กระแสปีกขวาที่กำลังพุ่งขึ้นขณะนี้จะดำเนินไปในระยะสั้น ระยะกลาง และจนถึงการเลือกตั้งใหญ่ปี 2570 ทั้ง 2 กระแสสีขาวนี้จะคลี่คลาย เปลี่ยนรูปไปในทิศทางใด
เป็นไปได้ว่าภูมิใจไทยอาจจะไม่ใช่พรรคการเมืองปีกขวาพรรคเดียวในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะต้องไม่ลืมว่า ปีกขวาเก่า-อำนาจอนุรักษ์เดิม-ขบวนการไล่ทักษิณเดิม ก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับการเคลื่อนไหวของกระแสสีน้ำเงินได้อย่างสนิทใจ
ดูรูปธรรมจากการแฉขบวนการไอโอภาคล่าสุดของ ส.ส.พรรคประชาชนก็ได้ เห็นหลักฐานชัดว่า นอกจากผู้มีอิทธิพลพรรคแดงจะต้องเป็นเป้าหมายแล้ว ผู้นำของขั้วสีน้ำเงิน ก็ถูกหมายหัว แปะป้ายไว้ ไม่ต่างกัน
นี่คือร่องรอยของความยัง “ไม่ไว้ใจ” กระแสสีขาว ต่อสีน้ำเงิน แม้จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดก็ตาม
ขณะที่ขั้วสีแดง-เพื่อไทย ที่วันนี้ยังอยู่เส้นทางการเมือง “เลนขวา” อยู่ในสถานการณ์น่าเป็นห่วง
แม้จะครองเก้าอี้ผู้นำฝ่ายบริหารได้ แต่กลับขับเคลื่อนนโยบายที่ใช้หาเสียงไว้ได้ช้ามาก เรือธงหลายนโยบายต้องจอดนิ่ง บ้างก็เปลี่ยนรูปแบบ บ้างทำแล้วแต่ไม่เป็นตามหวัง
นโยบายเศรษฐกิจล่าสุดถูกขั้วสีน้ำเงิน “รุกคืบ” แบบเนียนๆ จนทำอะไรไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงนโยบายการเมือง ที่ขั้วสีแดง โดนขั้วสีน้ำเงิน “รุกฆาต” มานานแล้ว
การพยายามชูธง “อนุรักษนิยม” ของขั้วสีแดง ไม่เป็นผล เพราะถูกขั้วสีน้ำเงินตัดหน้า แสดงบทบาทนำได้ดีกว่า
ยิ่งการเกิดขึ้นของ “ขั้วกระแสสีขาว” จากประเด็นคัดค้านกาสิโน ยิ่งเห็นชัดว่า ฝ่ายอนุรักษนิยมเดิมลึกๆ โดยแท้จริง ก็ไม่สามารถเดินคู่ขนานไปกับค่ายสีแดงได้
ครั้นจะกลับมาถือธงมวลชน เดินสายประชาธิปไตยสู้ระบบการเมืองเก่า ล้างมรดกการเมืองฝ่ายขวา ผลจากการตัดสินใจเปลี่ยนขั้วการเมืองจนวันนี้ ชัดเจนว่าขั้วสีแดงก็ยังไม่สามารถฟื้นศรัทธาการเมืองที่มีเดิมกลับมาได้
ขณะที่กระแสสีส้ม วันนี้ต้องเผชิญชะตากรรม “นิติสงคราม” ที่กับดักระเบิดจะทำงานอีกเมื่อไหร่อีกก็ไม่รู้
ชีวิตทางการเมือง 44 ส.ส.พรรคส้มวันนี้ก็ยังแขวนบนเส้นด้าย มีเปอร์เซ็นต์ที่จะโดนประหารชีวิตทางการเมืองตามรอยแกนนำรุ่น 1 และรุ่น 2
แม้จะทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้ตามมาตรฐานพรรคส้ม แต่การขยับทางการเมืองวาระสำคัญที่ทีมสีส้มขับเน้นยังไม่สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการนิรโทษกรรม แก้รัฐธรรมนูญ ปรับโครงสร้างการเมือง ยังไม่ขยับ
ถนนการเมืองของทุกสีวันนี้เป้าหมายจึงอยู่ที่การเลือกตั้งปี 2570
ทีม “บลู” กระแสน้ำเงิน เดินเครื่องเต็มสูบในเลนการเมืองซีกขวา ที่วันนี้เห็นบทบาทที่ถูกผลักดันให้เด่นชัดผ่าน อนุทิน ชาญวีรกูล และ ไชยชนก ชิดชอบ
ขณะที่ทีม “ไวต์” ขบวนการเสื้อขาว วันนี้เริ่มก่อรูปตั้งตัวได้ ความเคลื่อนไหวระดับมวลชน และภูมิปัญญาเกิดขึ้นแล้ว ที่สุดก็ต้องตั้งตัวเล่นเกมการเมืองในระบบ ขาดแต่เพียงใครจะเป็นผู้เล่น
น่าจับตาบทบาท “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” พร้อมๆ ไปกับความน่าสนใจ ผู้นำเหล่าทัพบางคนที่ขณะนี้ออร่าการเมืองเริ่มเกิด โดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ อาจจะเข้ามาเป็นผู้เล่นในค่ายนี้ก็เป็นได้
ส่วนทีมส้มยังเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม ต้องสู้กับกระบวนการบดขยี้ทางการเมืองของฝ่ายอนุรักษนิยมทุกสี ขอเพียงรักษาตัวรอด ให้ถึงวันเลือกตั้งใหญ่ก็พอ
สนามต่อสู้การเมืองวันนี้จึงเด่นชัดขึ้น ภายใต้การต่อสู้ของกระแสการเมือง 4 สี
สีน้ำเงิน ที่ชูธงนำปีกขวา มีอำนาจต่อรองสูง มีทรัพยากรการต่อสู้พร้อมที่สุด
สีแดง ที่แม้กุมอำนาจบริหาร แต่ก็อ่อนแอในทางการเมือง กลายเป็นตำบลกระสุนตกทางการเมือง (แม้หลายเรื่องจะตั้งใจดี) ยิ่งนานอำนาจต่อรองยิ่งลด
สีขาว ที่เริ่มขยับรวมตัวกันได้มากขึ้น พร้อมเป็นพลังการเมืองสำคัญในอนาคต ขาดเพียงผู้ถือธงนำที่ดี
และสีส้ม ที่ไร้ทรัพยากรและอำนาจ ถูกกระทำผ่านนิติสงคราม แต่มีจุดแข็งคือการต่อสู้ทางความคิด
เลือกตั้ง 2570 ใครจะอยู่ ใครจะไป จะยิ่งเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นนับจากนี้…
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022